ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าดั้งเดิมของไทย รูปร่างคล้ายกับ “มุราลี” ของประเทศอินเดียซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอกของพระกฤษณะ และเหมือนกับ “ซากุฮาชิ” ของญี่ปุ่น แตกต่างกันตรงที่มุราลีใช้การเป่าด้านข้าง แต่ขลุ่ยและซากุฮาชิใช้การเป่าตรงกลาง ส่วนที่มาของชื่อขลุ่ยนั้น มีการสันนิษฐานว่ามาจากเสียงของขลุ่ย หรือเรียกตามเสียงที่ได้ยิน (ธนิต อยู่โพธิ์, 2523: 68)
นอกจากนี้ขลุ่ยยังเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าของไทย ที่มีวิวัฒนาการเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของชนชาติต่าง ๆ มาตั้งแต่อดีต เช่น วัฒนธรรมมอญ วัฒนธรรมขอม และ วัฒนธรรมจีนตอนใต้มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน เครื่องเป่าที่มนุษย์รู้จักตั้งแต่อดีต คือ หลอดไม้รวกทำมาจากไม้ไผ่รวกหรือเขาสัตว์ เรียกว่า “สิงคะ” ใช้เป่าเป็นสัญญาณในการล่าสัตว์ คล้ายกับเครื่องดนตรีของฝรั่งที่เรียกว่า Horn โดยมีการเจาะรู และทำลิ้นให้เกิดเสียง และนำมาบรรเลงเป็นทำนองเกิดเป็นเครื่องดนตรีอีกจำพวกหนึ่ง คือ ขลุ่ย ปี่ และแคน (วัฒน จูฑะวิภาต, 2542: 6)
เครื่องดนตรีประเภท แคน ปี่ ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่มีวัฒนธรรมอยู่ทั่วโลก ซึ่งในแต่ละวัฒนธรรมมีความโดนเด่นเป็นเอกลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นวัฒนธรรมนั้น ๆ ในสังคมไทยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ามีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานผ่านกระบวนการทางสังคม ความคิด ความเชื่อ และประเพณี ในแต่ละยุคสมัย ซึ่งกระบวนการทางความคิดเหล่านี้ส่งผลให้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าของไทยมีบทบาทหน้าที่สำคัญในสังคม (จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554: 1)
ขลุ่ย ปรากฏหลักฐานตามยุคสมัยต่าง ๆ ดังนี้
สมัยร่วมวัฒนธรรมกับวัฒนธรรมจีนตอนใต้
ขลุ่ยและแคน เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันตามหลักฐานการขุดพบหลุมศพภรรยาของเจ้าเมืองไทยที่แม่น้ำฮวงโห ซึ่งภายในหีบบรรจุสมบัติอันเป็นของรักของท่าน ซึ่งมีของสำคัญ 3 ชิ้น ได้แก่ ขลุ่ย 1 เลา แคน 1 เต้า และขิม 1 ตัว ภายในมีอักษรจารึกศักราชไว้นับอายุจนถึงปัจจุบันได้ 2,000 กว่าปี ด้วยเหตุนี้ขลุ่ยและแคนจึงนับเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีอายุยาวนานที่สุด (อุทิศ นาค-สวัสดิ์ , 2525: 1)
ในสมัยโบราณเมื่อประมาณ 1,662 ปีมาแล้ว ชนชาติไทยตั้งถิ่นฐานในตอนกลางระหว่างลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียงในทางตอนใต้ของประเทศจีน มีอาณาจักรไทยชื่อ ฉ่องหวู่ (Tsaung - Wu) ตั้งอยู่ในมณฑลฮูนาน กวางตุ้ง และกวางสี ประชาชนพลเมืองแห่งนี้มีความสามารถในเรื่องศิลปะโดยเฉพาะดนตรี ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 310 - 313 กระษัตริย์ไทยในสมัยนั้นก่อตั้งอาณาจักรขึ้นในดินแดนของประเทศจีนทางตอนใต้ คือ เมืองน่าน และมีประชากรบางส่วนที่อพยพไปทางตะวันตกเป็นพวกไทยอาหม ไทยอัสสัม และพวกที่อพยพไปทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นพวกไทยใหญ่ ไทยลื้อ และไทยเขิน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนี้ได้มีการขุดพบขลุ่ยโบราณ ในสุสานทางตอนใต้ของจีน และพบขลุ่ยกับแคนในหลุมศพของหัวหน้าชนชาติไต (จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554 : 4 - 8)
สมัยการแพร่วัฒนธรรมของอินเดีย
อินเดียเป็นชาติที่ความสัมพันธ์กับชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลาเกือบ2,000 ปี โดยใช้เส้นทางทั้งทางบกและทางน้ำ ผ่านทางอ่าวเมาะตามะ คอคอดกระ และเดินเท้าข้ามไปลงเรือฝั่งตรงข้ามเพื่อไปยัง กัมพูชา จามปา และจีน สมัย 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราชถึงคริสต์ศตวรรษที่ 2 หรือ 670 - 350 ปีก่อนพุทธกาลเป็นสมัยของพระเวท ดนตรีในสมัยนั้นมีหน้าที่บรรเลงประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและบรรเลงขับกล่อมในงานรื่นเริง แบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีที่บรรเลงเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องสายและกลุ่มเครื่องเป่า ซึ่งกลุ่มเครื่องเป่าที่ปรากฏในวรรณคดีสมัยพระเวท ได้แก่ ตูณวะ นาฑิ บากุระ เวณุ และขลุ่ย ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสังข์ ในสมัยก่อนอินเดียมีขลุ่ยหลายชนิด เช่น Bansi, Bansuri, Kuzhai, Vamshi, และMurti ในยุคพระเวทเรียกขลุ่ยว่า Nali ทำมาจากไม้ไผ่เจาะรู ในสมัยนั้นการตั้งสายวีณา หรือพิณ ต้องใช้ขลุ่ยเป็นเครื่องเทียบเสียง ชาติไทยและอินเดียมีการติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล ดังปรากฏในคัมภีร์และชาดกทางพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาของอินเดียนั้นเป็นการเข้ามาเพื่อค้าขายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ตามมา คือ การเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม หนึ่งในวัฒนธรรมที่ถูกเผยแพร่ คือ วัฒนธรรมดนตรี อารยะธรรมอินเดียที่เข้ามานั้นก่อให้เกิดการเลียนแบบและการผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่เรียกว่าวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภาคกลาง และได้แพร่หลายออกไป เครื่องดนตรีที่พบในประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 ส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมอินเดียในศาสนาฮินดู ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมศาสนา เครื่องดนตรีที่พบได้บ่อย คือ สังข์ และบัณเฑาะว์ ในพุทธศตวรรษที่ 16เครื่องดนตรีที่ถูกกล่าวถึงในจารึกพร้อม ๆ กัน ได้แก่ สังข์ บัณเฑาะว์ พิณ กลอง และขลุ่ย ซึ่งเครื่องดนตรีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของฮินดู โดยขลุ่ยเกี่ยวข้องกับพระกฤษณะ พิณและบัณเฑาะว์เกี่ยวข้องกับพระอิศวร และสังข์เกี่ยวข้องกับพระนารายณ์ ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าขลุ่ยในยุคแรกที่เป็นต้นแบบของขลุ่ยเพียงออ มีต้นกำเนิดในแถบวัฒนธรรมชาวสุวรรณภูมิ บริเวณนี้มีดนตรีที่เป็นวัฒนธรรมร่วมกันไม่ได้แบ่งว่าเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ไทย มอญ เขมร ลาว และพม่า ซึ่งหลังจากที่มีการแบ่งแยกอาณาเขตเป็นประเทศต่าง ๆ จึงปรากฏให้เห็นเครื่องดนตรีที่เป่าทางตรงอย่างขลุ่ยเพียงออว่ามีอยู่ทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554: 9 -17)
สมัยสุโขทัย
ในสมัยสุโขทัยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึก หลักที่ 1 ศิลาจารึกหลักที่ 8 ศิลาจารึกวัดพระยืน และไตรภูมิพระร่วง เกี่ยวกับ ฆ้อง กลอง ปี่ และแตรสังข์ แต่ไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับขลุ่ย (วัฒน จูฑะวิภาต, 2542: 7)
สมัยกรุงศรีอยุธยา
อุทิศ นาคสวัสดิ์ (2525: 2) ได้กล่าวว่า ขลุ่ย ปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นจากกฎมณเฑียรบาล ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991- 2031) โดยออกกฎมณเฑียรบาลสั่งห้ามเล่นดนตรี เนื่องจากเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะขลุ่ย ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนในเขตพระราชฐาน กฎมณเฑียรบาล ตอนที่ 15 “แลร้อง เป่าขลุ่ย เป่าปี่ ตีทับ ขับรำ โห่ร้อง นี่นั้น ไอยการ หมื่นโทวาริก ถ้าจับได้ โทษ 3 ประการ” กฎมณเฑียรบาล ตอนที่ 20 “ร้องเพลงเรือ เป่าปี่ เป่าขลุ่ย สีซอ ตีจะเข้ กระจับปี่ ตีโทน โห่นร้องนี่นั่น”
กฎมณเฑียรบาล
“อนึ่งในท่อน้ำ ในสระแก้ว ผู้ใดขี่เรือคฤ เรือประทุน เรือกูบ และเรือมีศาสตราวุธ และใสหมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนั่งมาด้วยกัน อนึ่งชเลาะตีด่ากัน ร้องเพลง เป่าปี เป่าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ กระจีบปี่ ตีโทนทับ โห่ร้องนี่นั่น อนึ่งพิริยะหมู่แขก ขอม ลาว พม่า เมง มอญ มสุม แสง จีน จาม ชวา นานาประเทษทั้งปวง และเข้ามาเดิรในท้ายสนมก็ดี ทั้งนี้ไอยการ ขุนสนมห้าม ถ้ามิได้ห้ามปรามเกาะกุมเอามาถึงศาลาให้แก่เจ้าน้ำเจ้าท่าแลให้นานาประเทษไปมาในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย”
จากกฎมณเฑียรบาล ปรากฏเครื่องดนตรี ได้แก่ ขลุ่ย ซอ ปี่ จะเข้ กระจับปี่ โทน แสดงให้เห็นว่าเครื่องดนตรีจำพวก ขลุ่ย ซอ กระจับปี่ และโทน ที่อยู่ในวงเครื่องสายเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ชาวบ้านในสมัยอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการพัฒนาวงเครื่องสายให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ขลุ่ยมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มีการพัฒนาให้มีหลายขนาด มีระดับเสียงที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับการผสมวงดนตรีไทยในประเภทต่าง ๆ กล่าวได้ว่า การพัฒนาของขลุ่ย เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นควบคู่กับการพัฒนาของวงเครื่องสายและวงมโหรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีครบทั้งสี่ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า (จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554: 22 - 24)
นอกจากนี้ ธนิต อยู่โพธิ์ (2523: 109 - 113) ได้กล่าวถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่า มีการนำขลุ่ยเข้าไปผสมในวงมโหรี และวงเครื่องสายประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
"วงมโหรีเครื่องแปด" เป็นวงที่ถูกผสมวงขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเพิ่มลดเครื่องดนตรีตามยุคสมัยของแต่ละรัชกาลมาเรื่อย ๆ จนสมบูรณ์ที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 4 ประกอบไปด้วย ซอสามสาย ระนาด ฆ้องวงใหญ่ จะเข้ (นำมาแทนกระจับปี่) ขลุ่ย ทับหรือโทน รำมะนา ฉิ่ง
"วงมโหรีเครื่องเดี่ยว" เป็นวงที่เกิดจากการเพิ่มซออู้ กับซอด้วงเข้ามาอย่างละ 1 คัน เพื่อให้วงมีความหลากหลาย ประกอบไปด้วย ซอสามสาย ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ จะเข้ ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ ซอด้วง โทน รำมะนา ฉิ่ง
"วงมโหรีเครื่องคู่" เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประดิษฐ์คิดค้นระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นมา เพื่อบรรเลงคู่กับระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ และนำมาบรรเลงร่วมในวงมโหรีเครื่องเล็ก นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มจำนวนของซออู้ ซอด้วง และจะเข้ เป็นอย่างละ 2 เครื่อง เพิ่มขลุ่ยหลิบที่มีเสียงแหลมสูงคู่กับขลุ่ยเพียงออ เพิ่มซอสามสายหลิบที่มีเสียงแหลมสูงคู่กับซอสามสาย และเพิ่มฉาบเล็กบรรเลงคู่กับฉิ่ง เกิดเป็นวงมโหรีขนาดใหญ่ที่มีเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันเป็นคู่ จึงเรียกว่า “วงมโหรีเครื่องคู่” ประกอบไปด้วย ซอสามสาย ซอสามสายหลิบ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก จะเข้ 2 ตัว ซออู้ 2 คัน ซอด้วง 2 คัน ขลุ่ยเพียงอ ขลุ่ยหลิบ โทน รำมะนา ฉิ่ง ฉาบเล็ก
"วงมโหรีเครื่องใหญ่" เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการเพิ่มระนาด-เอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก และโหม่ง เข้าไป เครื่องดนตรีในวงมโหรีเครื่องใหญ่ประกอบไปด้วย ซอ-สามสาย ซอสามสายหลิบ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ฆ้องวงเล็ก จะเข้ 2 ตัว ซออู้ 2 คัน ซอด้วง 2 คัน ขลุ่ยเพียงอ ขลุ่ยหลิบ โทน รำมะนา ฉิ่ง ฉาบเล็กโหม่ง
"วงเครื่องสายเครื่องใหญ่" ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีที่เป็นเครื่องดำเนินทำนองอย่างละ 2 เครื่อง ได้แก่ ซออู้ 2 คัน ซอด้วง 2 คัน ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลิบ จะเข้ 2 ตัว ฉิ่ง ฉาบเล็ก โทนรำมะนา
"วงเครื่องสายเครื่องเล็ก" ใช้เครื่องดนตรีที่เหมือนกับวงเครื่องสายเครื่องใหญ่ แต่ใช้เป็นเครื่องเดี่ยว ได้แก่ ซออู้ ซอด้วง ขลุ่ยเพียงออ จะเข้ ฉิ่ง โทน รำมะนา
นอกจากนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ ยังมีการนำขลุ่ยไปรวมอยู่ในวงปี่พาทย์ โดยแบ่งการบรรเลงออกเป็น 2 แบบตามลักษณะของไม้ที่ใช้ตี คือ วงที่ใช้ไม้แข็งและวงที่ใช้ไม้นวม ในการบรรเลงปี่พาทย์ไม้แข็งจะใช้ปี่เป็นเครื่องเป่าในวง ส่วนการบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้นวมจะใช้ขลุ่ยในการบรรเลง เพื่อบรรเลงในโอกาสที่ต้องการลดเสียงของวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีความดัง โดยวงปี่พาทย์ที่มีขลุ่ย ประกอบไปด้วย (ธนิต อยู่โพธิ์, 2523: 109 - 113)
"วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า" ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน ฉิ่ง กลองทัด
"วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่" ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
"วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่" ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ ระนาดเอก ระนาด-ทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
"วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก กลองตะโพน 2 ลูก ฆ้องหุ่ย 7 ลูก ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง
สรุปได้ว่า สมัยร่วมวัฒนธรรมกับวัฒนธรรมจีนตอนใต้ มีการขุดพบขลุ่ยโบราณ ในสุสานทางตอนใต้ของจีน และพบขลุ่ยกับแคนในหลุมศพของหัวหน้าชนชาติไต ขุดพบหลุมศพภรรยาของเจ้าเมืองไทยที่แม่น้ำฮวงโห ภายในหีบบรรจุสมบัติอันเป็นของรักของท่านซึ่งมีของสำคัญ 3 ชิ้น ได้แก่ ขลุ่ย 1 เลา แคน 1 เต้า และขิม 1 ตัว สมัยการแพร่วัฒนธรรมของอินเดีย มีการแบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีที่บรรเลงเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มเครื่องสายและกลุ่มเครื่องเป่า บรรเลงประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและบรรเลงขับกล่อมในงานรื่นเริง ในสมัยก่อนอินเดียมีขลุ่ยหลายชนิด เช่น Bansi, Bansuri, Kuzhai, Vamshi, Murti ในยุคพระเวทเรียกขลุ่ยว่า Nali ทำมาจากไม้ไผ่ เจาะรู ชาติไทยและอินเดียมีการติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล จึงมีการเผยแพร่วัฒนธรรมจากอินเดียสู่ไทย กลายเป็นวัฒนธรรมร่วม เรียกว่าวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภาคกลาง สมัยสุโขทัยไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับขลุ่ย สมัยกรุงศรีอยุธยา ขลุ่ย ปรากฏหลักฐานชัดเจนจากกฎมณเฑียรบาล ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยออกกฎมณเฑียรบาลสั่งห้ามเล่นดนตรี เนื่องจากเกิดเสียงดังรบกวนในเขตพระราชฐาน ซึ่งจากกฎมณเฑียรบาลแสดงให้เห็นว่า ขลุ่ย ซอ กระจับปี่ และโทน ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ชาวบ้านสมัยอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ขลุ่ย มีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มีขนาดที่แตกต่างกัน ระดับเสียงแตกต่างกัน กล่าวได้ว่า การพัฒนาของขลุ่ย เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นควบคู่กับการพัฒนาของวงเครื่องสายและวงมโหรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีครบทั้งสี่ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า และได้มีการนำขลุ่ยเข้าไปประสมในวงมโหรี วงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ประเภทต่าง ๆจากหลักฐานที่ปรากฏในยุคสมัยต่าง ๆ พบว่า ขลุ่ยมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน และเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ใกล้ชิดกับคนไทยมาโดยตลอดผ่านการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมมัย ตั้งแต่ยุคสมัยร่วมวัฒนธรรมกับวัฒนธรรมจีนตอนใต้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันขลุ่ยยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในการบรรเลงเป็นอย่างมาก
ขลุ่ย อยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต จากสังคมชาวบ้านไปสู่สังคมราชสำนัก ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีทีทำจากไม้ไผ่ เป็นวัสดุที่หาได้ง่ายจึงเป็นที่นิยมกันมาก ขนาดของขลุ่ยนั้นขึ้นอยู่กับลำของไม้ไผ่หรือวัสดุที่ใช้ทำ ขลุ่ยจึงมีหลายขนาดขึ้นอยู่กับความต้องการของช่างทำขลุ่ย จนกระทั่งมีการนำขลุ่ยไปประสมกับวงดนตรีประเภทต่าง ๆ ทำให้เกิดขลุ่ยประเภทต่าง ๆ (บันลือ พงศ์ ศิริ และ ปี๊บ คงลายทอง, 2525: 100-101; อุทิศ นาคสวัสดิ์, 2525 : 6; วัฒน จูฑะวิภาต, 2542: 11; เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์, 2549: 10-11; จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554: 26-27) ดังนี้
ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยเพียงออ เป็นขลุ่ยที่ระดับเสียงอยูในช่วงปานกลางไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป ลำขลุ่ยมีขนาดปานกลางในอดีตทำมาจากไม้ไผ่ เจาะรูด้วยเหล็กแหลมรนไฟ ขลุ่ยเพียงออเป็นขลุ่ยที่ได้รับความนิยมในการนำไปบรรเลงร่วมกับวงมากที่สุด เนื่องจากมีระเสียงเทียบเท่ากับทางเพียงออบน ใช้บรรเลงในวงมโหรี วงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ไม้นวม และใช้ขลุ่ยเพียงออในการบรรเลงเพลงเดี่ยวเพื่ออวดฝีมือ
ขลุ่ยหลิบ, ขลุ่ยหลีก
ขลุ่ยหลิบ, ขลุ่ยหลีก มีขนาดเล็ก มีเสียงที่แหลมสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ โดยมีระยะหว่างของเสียงที่สูงขึ้นเป็นคู่ 4 จากขลุ่ยเพียงออ ใช้บรรเลงอยู่ในวงมโหรีเครื่องคู่หรือเครื่องใหญ่และวงเครื่องสายเครื่องคู่ โดยจะบรรเลงคู่กับขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลิบจะมีหน้าที่เป็นเครื่องนำในวง เช่นเดียวกับ ซอด้วง จะเข้ ระนาดเอก ส่วนขลุ่ยเพียงออจะทำหน้าที่เป็นเครื่องตาม
ขลุ่ยอู้
ขลุ่ยอู้ เป็นขลุ่ยที่มีขนาดใหญ่และมีเสียงต่ำที่สุด มีเสียงคล้ายซออู้ จึงเรียกว่า “ขลุ่ยอู้” โดยมีเสียงต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออเป็นคู่ 3 ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็นวงที่ต้องการเครื่องดนตรีที่มีเสียงต่ำ ในอดีตขลุ่ยอู้มี 7 รู (รวมรูนิ้วค้ำ) แต่ปัจจุบันมีผู้คิดค้นเจาะรูนิ้วก้อยเพิ่มให้มี 8 รูเหมือนขลุ่ยทั่วไป เนื่องจากขลุ่ยอู้มีขนาดใหญ่ จึงหาไม้รวกที่มีขนาดพอดีสำหรับทำขลุ่ยอู้ยาก จึงนิยมนำไม้เนื้อแข็งมากลึงเป็นท่อน ยาว 20 นิ้ว มาทดแทนไม้รวก ทำให้ขลุ่ยอู้มีราคาแพงกว่าขลุ่ยประเภทอื่น ๆ
ขลุ่ยเคียงออ
ขลุ่ยเคียงออ เป็นขลุ่ยทีมีเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 1 เสียง โดยจะมีเสียงเท่ากับเสียงของทางในของวงปี่พาทย์ นิยมใช้บรรเลงเป็นเครื่องนำแทนปี่ใน บรรเลงในงานที่ต้องการเสียงเบา ขลุ่ยเคียงออพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เนื่องจากมีระดับเสียงเท่าปี่ใน จึงใช้ปี่ในบรรเลงแทนเพราะมีเสียงที่ดังกว่าขลุ่ยเคียงออ
ขลุ่ยรองออ
ขลุ่ยรองออ เป็นขลุ่ยที่มีเสียงต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 1 เสียง และมีขนาดใหญ่ ใช้บรรเลงในวงมโหรีหรือวงเครื่องสายที่ต้องการเสียงที่ต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ ปัจจุบันไม่ได้มีการนำมาใช้แล้วเนื่องจากขาดผู้ที่มีความชำนานในการบรรเลง
ขลุ่ยกรวด
เกิดขึ้นหลังจากที่มีการนำเครื่องดนตรีของตะวันเข้ามาบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีไทยทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีจากสองวัฒนธรรม โดยผสมระหว่างไวโอลิน เปียโน และออร์แกน เกิดเป็นวงเครื่องสายผสม ทำให้มีการคิดค้นขลุ่ยให้สามารถบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีเหล่านี้ได้โดยมีระดับเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 1 เสียง (ใกล้เคียงกับคีย์ C)
สรุปได้ว่า ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่มีการจัดประเภทตามขนาด ระดับเสียง และหน้าที่ในวงดนตรี โดยมีการแบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ ขลุ่ยเพียงออ ใช้บรรเลงในวงมโหรี วงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ขลุ่ยหลิบ หรือ ขลุ่ยหลีก ใช้บรรเลงอยู่ในวงมโหรีเครื่องใหญ่ และวงเครื่องสายเครื่องคู่ ขลุ่ยอู้ ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ขลุ่ยเคียงออ ใช้บรรเลงเป็นเครื่องนำแทนปี่ใน บรรเลงในงานที่ต้องการเสียงเบา ขลุ่ยรองออ ใช้บรรเลงในวงมโหรี หรือ วงเครื่องสายที่ต้องการเสียงที่ต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ และขลุ่ยกรวดที่มีการคิดค้นให้สามารถบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีของตะวันตกได้
ในงานวิจัยเล่มนี้จะศึกษาเกี่ยวกับ “ขลุ่ย” ที่มีต้นแบบมากจากขลุ่ยกรวด ซึ่งเป็นขลุ่ยที่มีระดับใกล้เคียงกับคีย์ C ในดนตรีสากล โดยปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีคีย์ที่หลากหลาย สามารถบรรเลงร่วมกับดนตรีสากลได้ และเหมาะสมที่จะนำมาบรรเลงในบทเพลงไทยลูกทุ่ง
วัสดุที่ใช้ทำขลุ่ย
ในอดีตมนุษย์รู้จักการนำวัสดุจากธรรมชาติมาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรี เช่น มีการนำใบไม้หรือเขาสัตว์มาเป่า ต่อมาได้นำไม้ซาง ไม้อ้อ กอข้าว และไม้ไผ่ มาทำเครื่องเป่า เนื่องจากเป็นวัสดุที่เป็นลำมีรูตรงกลาง จึงง่ายต่อการนำมาพัฒนาและ เจาะรูบังคับเสียงเพิ่มเติม จนกลายเป็นเครื่องดนตรีที่สมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน (จรัญ กาญจนประดิษฐ์, 2554: 8)
นอกจากนี้ รังสี เกษมสุข (2535: 15)ได้กล่าวถึงวัสดุที่นิยมนำมาทำขลุ่ยมากที่สุด คือ ไม้รวก (ไม้ไผ่รวก) เพราะมีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะสมกับการทำขลุ่ย เนื้อไม้มีความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ ทำให้เนื้อเสียงมีความกังวาน สมัยก่อนใช้เหล็กแหลมรนไฟให้ร้อนแดงเพื่อเจาะรูทำเสียง ปัจจุบันมีการใช้ไม้เนื้อแข็ง (ไม้จริง) เช่น ไม่ชินชัน ไม้มะริด ไม้ดำดง ไม้มะเกลือ ไม้พญางิ้วดำ ไม้มะขาม เป็นต้น แต่ก็ให้เสียงที่ไม่เหมือนไม้ไผ่รวกที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณะ แต่ได้ในเรื่องของความทนทาน ความสวยงาม และอายุการใช้งานที่นานขึ้น
บันลือ พงศ์ ศิริ และ ปี๊บ คงลายทอง (2525: 100-101)ได้กล่าวว่า ปัจจุบันนิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง (ไม้จริง) เช่น ไม่ชินชัน ไม้มะริด ไม้ดำดง ไม้มะเกลือ ไม้พญางิ้วดำ ไม้มะขาม มาทำขลุ่ย ซึ่งมีเสียงที่เป็นรองไม้ไผ่รวกแต่ไม่มาก การจะใช้ไม้เนื้อแข็งมาทำขลุ่ย จะต้องใช้ไม้เนื้อแข็งส่วนที่เป็นแก่น (อยู่ด้านในของท่อนไม้) มากลึง และตากให้แห้งสนิท
สรุปได้ว่า มนุษย์รู้จักการนำวัสดุจากธรรมชาติมาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรี เช่น ใบไม้เขาสัตว์ ไม้ซาง ไม้อ้อ กอข้าว และไม้ไผ่ และมีการคิดค้นสร้างเครื่องดนตรีให้มีระดับเสียง จนกลายเป็นเครื่องดนตรีที่สมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน วัสดุที่นิยมนำมาทำขลุ่ยมากที่สุด คือ ไม้ไผ่รวก เพราะหาได้ง่ายและมีลักษณะที่เอื้อต่อการทำขลุ่ย ปัจจุบันมีการใช้ไม้เนื้อแข็งมาทำขลุ่ย เพราะมีความคงทนแข็งแรง แต่เสียงไม่ดีเท่าไม้ไผ่รวก ขลุ่ยไม้เนื้อแข็งมีเสียงเป็นรองไม้รวกไม่มาก หากจะนำไม้เนื้อแข็งมาทำขลุ่ยต้องผ่านการนำไม้มาตากให้แห้งสนิท จึงสามารถนำมาเจาะรู และใส่เสียงขลุ่ยได้
ลักษณะของขลุ่ยที่ดี
อุทิศ นาคสวัสดิ์ (2525: 2 - 4) ได้กล่าวว่า ขลุ่ยที่ดี คือ ขลุ่ยที่ต้องทำมาจากไม้รวกที่แก่จัด จึงจะมีความทนทานไม่แตกรานได้ง่าย ควรเป็นไม้รวกที่มีน้ำหนักดีและตากจนแห้งสนิท โดยให้ดูรายเอียดบนเลาขลุ่ยว่ามีความประณีตในการทำมากน้อยเพียงใด โดยได้ยกตัวอย่างถึงขลุ่ยของ “ครูภู่” เป็นครูช่างทำขลุ่ยที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจนได้เป็นครูบาอาจารย์ด้านการทำขลุ่ย ขลุ่ยที่ดี “ดากขลุ่ย” ต้องทำมาจากไม้สักทองหรือไม้สักหิน และไม้ที่ห้ามใช้คือไม้สักขี้ควาย โดยนำไม้สักมาเหลาเป็นท่อนกลม ๆ ความยาวเท่ากับปากเป่าจนถึงรูปากนกแก้ว นำมาอุดไว้ที่ปากเป่าของขลุ่ย บากด้านหนึ่งของดากขลุ่ยให้ได้องศา เพื่อให้ลมสามารถเดินทางผ่านได้ ดากขลุ่ยและรูปากนกแก้วต้องมีความประณีตจึงจะทำให้ขลุ่ยมีเสียงที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกขลุ่ยที่ดี คือ เสียงต้องไม่เพี้ยน เพราะขลุ่ยที่มีเสียงเพี้ยนจะทำให้ไม่สามารถเป่าบรรเลงเข้ากับวงได้ โดยการทดสอบเสียงขลุ่ยให้เริ่มจากการทกสอบคู่ควง ฟา ซอล ลา ที โด เร และทดสอบโดยการเป่าเสียงคู่แปดขึ้นลงเพื่อเช็คความตรงระหว่างโน้ตเสียงกลางและแหบ
สรุปได้ว่า ขลุ่ยที่ดีต้องมีหลากหลายองค์ประกอบ วัสดุที่ใช้ทำถ้าเป็นไม้รวก (ไม้ไผ่รวก) ต้องแก่จัด แห้งสนิท และมีน้ำหนักที่ดี เวลานำมาทำขลุ่ยจะไม่ทำให้แตกราน รายละเอียดต่าง ๆ บนเลาขลุ่ยต้องมีความประณีต ดากขลุ่ยต้องทำมาจากไม้ที่คุณภาพ เช่น ไม้สักทอง หรือสักหิน และ เสียงขลุ่ยต้องไม่เพี้ยนคู่ควงและคู่แปดต้องตรง จึงจะได้ขลุ่ยที่มีคุณภาพสามารถบรรเลงเข้ากับวงดนตรีไทยได้อย่างกลมกลืน
ในอดีตมนุษย์เราประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากสิ่งของที่อยู่รอบตัว เช่น นำไม้แท่งยาวที่มีขนาดแตกต่างกันมาเรียงร้อยต่อกัน ทำให้มีระดับเสียงที่แตกต่างกันซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นระนาดเอกหรือโปงลาง มนุษย์รู้จักการทำเครื่องเป่าจากหลอดไม้รวกและต้นอ้อ หรือแม้กระทั่งนำเขาสัตว์ที่ได้จากการล่าสัตว์มาดัดแปลงเป็นเครื่องเป่า และมีการพัฒนามาจนถึงขั้นมีการเจาะรู ทำลิ้น และสามารถบรรเลงเป็นเพลงมีทำนองได้ ต่อมามีการพัฒนาไปถึงขั้นที่มีรูปร่างและลักษณะที่ชัดเจน โดยมีการแบ่งแยกเครื่องเป่าเป็น 2 ประเภท คือ เครื่องเป่าแบบลิ้นเดี่ยว ได้แก่ ขลุ่ย สังข์ และเครื่องเป่าแบบลิ้นคู่ ได้แก่ ปี่ใน และปี่นอก เป็นต้น (ธนิต อยู่โพธิ์, 2523: 11 - 68) ในสมัยก่อนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่คนไทยนิยมบรรเลงมาก คือ ปี่อ้อ เพราะทำมาจากวัสดุที่หาได้ง่ายและมีรูปร่างคล้างกับขลุ่ย มีรูบังคับเสียง 7 รู และมีรูค้ำ ความยาวของปี่ ประมาณ 25 เซนติเมตร ตัวเลาทำมาจากไม้รวก และลิ้นทำมาจากไม้อ้อ เหลาบาง ๆ ในสมัยก่อนปี่อ้อบรรเลงอยู่ในวงเครื่องสาย จนมีการนำขลุ่ยเพียงออและ ขลุ่ยหลิบเข้ามาปี่อ้อจึงหายไปทำให้ขลุ่ยกลายเป็นที่นิยมแทน ขลุ่ยเพียงออ มีการสันนิษฐานว่า มีชื่อเรียกมาจากเสียงที่ได้ยิน โดยอ้างอิงไปถึงเครื่องดนตรีของอินเดีย “โคลาลุ” (Kolalu) ที่มีชื่อใกล้เคียงกับขลุ่ย และมีการเรียกชื่อจากเสียงที่ได้ยินเช่นเดียวกัน (จรัญ กาญนประดิษฐ์, 2554: 31 - 33)
ในขณะที่สมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าพบขลุ่ยประเภทใด แต่มีการจารึกหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับขลุ่ยในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งปรากฏชื่อขลุ่ยประเภทต่าง ๆ เช่น ขลุ่ยเพียงออ, ขลุ่ยหลิบ, ขลุ่ยอู้, ขลุ่ยรองออ เป็นต้น (อุทิศ นาคสวัสดิ์, 2525: 1)
วัฒน จูฑะวิภาต (2542: 8 - 11) ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของขลุ่ยว่า ในสมัยก่อนทำมาจากไม้รวก (ไม้ไผ่รวก) เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีรูปร่างเป็นท่อ ทำให้เอื้อต่อการทำขลุ่ย นำมาเจาะรูด้วยเหล็กแหลมรนไฟให้ร้อนแดง เจาะรูบังคับเสียงทั้งหมด 7 รู และรูนิ้วค้ำ 1 รู ใช้ไม้สักทองหรือสักหินเหลาเป็นไม้ดาก อุดที่รูปากเป่า ปาดเรียบให้ได้องศา และเจาะรูปากนกแก้วให้พอดีกับไม้ดาก ในอดีตนิยมขลุ่ยแบบเสียงแหบ จึงมีการเจาะรูเยื่ออยู่ด้านข้างเลาขลุ่ย และนำเยื่อไผ่หรือเยื่อต้นหอมมาติด เพื่อให้เสียงขลุ่ยมีความสั่นกระพือเป็นเอกลักษณ์ ขลุ่ยมีวิวัฒนาการอย่างมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการพัฒนาวงดนตรีไทย มีการจัดประเภทของวงดนตรีไทยชัดเจน ซึ่งแต่ละวงก็มีเครื่องดนตรีแบ่งแยกประเภทชัดเจน เห็นได้ชัดจากเดิมที่มีแต่วงปี่พาทย์ เครื่องห้า ก็มีวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาท์ดึกดำบรรพ์ นอกจากวงดนตรีที่มีการพัฒนายังมีในส่วนของเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ระนาดทุ้ม ระนาดเหล็ก ซอสามสาย กลองสองหน้า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการเข้ามาของตะวันตกทำให้มีการเผยแพร่ทางวัฒนธรรมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะวัฒนธรรมดนตรี เกิดวงเครื่องสายผสม ที่มีผสมผสานกันระหว่างเครื่องดนตรีไทยและเครื่องดนตรีตะวันตก โดยเครื่องดนตรีที่มีการนำมาประสมได้แก่ ไวโอลิน ออร์แกน และเปียโน
ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการคิดค้นขลุ่ยขนาดต่าง ๆ ทั้งใหญ่ กลาง เล็ก เพื่อผสมในวงดนตรีที่เกิดขึ้นมาใหม่ เช่น “ขลุ่ยเพียงออ” ใช้บรรเลงอยู่ในวมโหรี วงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ไม้นวม “ขลุ่ยหลิบ” ใช้บรรเลงในวงเครื่องสายเครื่องคู่ และ “ขลุ่ยอู้” ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ดึกดำ-บรรพ์ มีการคิดค้นขลุ่ย “กรวด” ขึ้นมา เพื่อใช้แทนเสียงของปี่นอกและ ปี่ใน ในวงปี่พาทย์ นอกจากนั้นยังคิดค้นขึ้นมาเพื่อบรรเลงร่วมกับวงดนตรีสากล เนื่องจากในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมบรรเลงเครื่องสายผสม จึงสร้างขลุ่ยกรวดให้มีระเสียงใกล้เคียงกับบันไดเสียง C ซึ่งมีระดับเสียงที่สูงกว่าขลุ่ยเพียงออประมาณ 1 เสียง และมีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร (รังสี เกษมสุข, 2535: 13 - 14)
นอกจากนี้ รุทธเขต ประจวบอารีย์ (2565) ได้กล่าวถึงปัญหาของขลุ่ยกรวด ว่า ยังคงมีระยะห่างของแต่ละโน้ตประมาณ 1 เสียงเช่นเดิม ซึ่งต่างจากระดับเสียงของดนตรีสากลที่มีครึ่งเสียง ศิลปินที่มีชื่อเสียงทางด้านขลุ่ยได้ริเริ่มคิดค้นการทำขลุ่ยให้มีระดับเสียงเทียบเท่าระดับเสียงดนตรีสากล โดยได้รับความร่วมมือจากช่างทำขลุ่ยที่มีฝีมือ ร่วมกันสร้างขลุ่ยที่มีระดับเสียงสากลเลาแรก คือ ขลุ่ยคีย์ C
ศิลปินที่มีชื่อเสียงทางด้านการบรรเลงขลุ่ยเป็นผู้บุกเบิกในการทำให้ขลุ่ยให้สามารถนำมาบรรเลงร่วมกับดนตรีสากลได้ เริ่มจากการทดลองนำขลุ่ยกรวดจากหลายแหล่งมาทดสอบว่าเลาไหนมีเสียงที่ใกล้เคียงกับระดับเสียงสากลมากที่สุด จากนั้นนำมาขลุ่ยกรวดที่ได้มาปรับแต่ง โดยติดสติ๊กเกอร์ที่รูบังคับเสียงบางรู เพื่อให้มีขนาดของรูที่แตกต่างกัน จากนั้นนำขลุ่ยต้นแบบที่ติดสติ๊กเกอร์ไปให้ช่างทำขลุ่ยผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ที่หมู่บ้านลาว ชมชนบางไส้ไก่ คือ ครูอุทิศ อิ่มบุบผา (ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ปรับแต่งขลุ่ยตามแบบที่ได้ทำต้นแบบไว้ เริ่มจากการปรับแต่งรูบังคับเสียงให้มีขนาดที่แตกต่างกัน และลองขยับตำแหน่งของรูบังคับเสียงให้โดยมีความละเอียดของระยะห่างเป็นมิลิเมตร จึงได้ขลุ่ยที่มีเสียงเทียบเท่าระดับเสียงของสากล และสามารถนำมาบรรเลงร่วมกับดนตรีสากลได้อย่างลงตัว (ชุมชน สืบวงษ์, 2552: 40 – 4; รุทธเขต ประจวบอารีย์, 2565)
สรุปได้ว่า วิวัฒนาการของขลุ่ย เริ่มต้นจากมนุษย์นำสิ่งของ หรือ วัสดุที่ใกล้ตัวมาทำเครื่องดนตรี เช่น นำไม่ไผ่ที่มีรูปร่างเป็นปล้องมาเจาะรู และนำไม้อ้อที่มีลักษณะบางมาทำเป็นลิ้น นำมาบรรเลงเป็นทำนอง เรียกว่าปี่อ้อ ในสมัยก่อนนิยมบรรเลงปี่อ้อกันเป็นอย่างมา โดยนำไปบรรเลงอยู่ในวงเครื่องสาย ในภายหลังมีการนำขลุ่ยเข้ามาบรรเลงแทนปี่อ้อในวงเครื่องสาย ปี่อ้อจึงหายไป และขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายปี่อ้อมีรูบังคับเสียง 7 รูเท่ากัน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการพัฒนาของวงดนตรีไทย และเครื่องดนตรีไทย เกิดวงดนตรีไทยที่เป็นวงดนตรีในราชสำนักที่หลากหลาย และมีขลุ่ยหลายชนิดเกิดขึ้น เช่น ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลิบ ขลุ่ยอู้ และขลุ่ยรองออ เพื่อนำไปบรรเลงในวงต่าง ๆ ตามระดับเสียงของแต่ละวง การเข้ามาของตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ ทำให้มีการผสมผสานระหวางวัฒนธรรมเกิดวงเครื่องสายผสมที่มีการนำเครื่องดนตรีของสากล เช่น ไวโอลิน เปียโน ออร์แกน เข้ามาผสมกับเครื่องดนตรีไทย และมีการคิดค้นขลุ่ยกรวด (มีระดับเสียงเทียบเท่าคีย์ C) เพื่อมาบรรเลงร่วมกับวงเครื่องสายผสม ศิลปินที่มีชื่อเสียงนำขลุ่ยกรวดมาปรับแต่งให้มีระดับเสียงเทียบเท่ากับระดับเสียงของสากล โดยนำขลุ่ยต้นแบบที่ออกที่ดัดแปลงด้วยการติดสติ๊กเกอร์ที่รูบังคับเสียง และนำไปให้ช่างทำขลุ่ยแห่งหมู่บ้านลาว คือ ครูอุทิศ อิ่มบุบผา สร้างขลุ่ยขึ้นมาตามแบบ จนได้ขลุ่ยที่สามารถบรรเลงร่วมกับดตรีสากลได้อย่างลงตัว