เป็นเครื่องมือและมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ และการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายได้ การใช้งานไอทีโดยเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าใช้งานไม่ระมัดระวัง อาจจะก่อให้เกิดปัญหาจากการคุกคาม การหลอกลวงผ่านเครือข่ายได้ ดังนั้นการเรียนรู้การใช้งานไอทีอย่างเหมาะสม และปลอดภัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ภัยคุกคามทางด้านไอที มีหลากหลายวิธี โดยมีตั้งแต่ใช้ความรู้ขั้นสูงด้านไอที ไปจนถึงวิธีวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางด้านเทคนิคอะไรเลย อาทิ
1. การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา เป็นการคุกคามที่ใช้การหลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ เช่น การสร้างหน้าเว็บไซต์เลียนแบบเว็บไซต์ที่โด่งดัง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจผิด แล้วหลงให้รหัสผ่าน การป้องกันคือผู้ใช้ต้องมีความระมัดระวัง ตรวจสอบ URL ให้มั่นใจว่าเป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้หรือไม่ก่อนกรอกข้อมูลต่างๆ ลงไป
2. การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลและเนื้อหาที่มีอยู่ในแหล่งต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตมีจำนวนมาก ทำให้ข้อมูลอาจจะไม่ได้รับการตรวจสอบ และในบางแหล่งข้อมูลอาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสม เช่น การใช้ความรุนแรง ลามกอนาจาร การพนัน ดังนั้นผู้ใช้จึงควรมีวิจารณญาณ
3. การคุกคามโดยใช้โปรแกรม เป็นการคุกคามโดยการใช้เครื่องมือทางด้านไอที เพื่อก่อปัญหาให้กับผู้ใช้อื่นๆ ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวเราเรียกว่า มัลแวร์ (Malicious Software: Malware) ซึ่งมีหลายประเภท ดังนี้
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยเจตนาร้าย อาจทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญ หรือเกิดความเสียหายต่อระบบของผู้ใช้ ไวรัสคอมพิวเตอร์มักติดมากับไฟล์งานต่างๆ และจะทำงานเมื่อมีการเปิดไฟล์งานนั้นๆ
สปายแวร์ (Spyware) เป็นโปรแกรมเล็ก ๆ ที่ถูกเขียนขึ้นมาสอดส่อง (สปาย) การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ อาจจะเพื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ สปายแวร์บางตัวก็สร้างความรำคาญเพราะจะเปิดหน้าต่างโฆษณาบ่อย ๆ แต่บางตัวร้ายกว่านั้น คือ ทำให้ผู้ใช้ใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปเว็บไซต์ไหน ก็จะโชว์หน้าต่างโฆษณาตลอดเวลา
โปรแกรมโฆษณา (Advertising Supported Software: Adware) คือโปรแกรมที่สามารถทำงาน แสดง หรือดาวน์โหลดสื่อโฆษณาโดยอัตโนมัติ ไปยังคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการติดตั้งโปรแกรมชนิดนี้ไว้
โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (Ransomware) เป็นมัลแวร์ (Malware) ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกับมัลแวร์ประเภทอื่นๆ คือไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลของผู้ใช้ แต่จะทำการเข้ารหัสหรือล็อกไฟล์ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเปิดไฟล์ใดๆ ได้เลยหากไฟล์เหล่านั้นถูกเข้ารหัส ซึ่งการถูกเข้ารหัสก็หมายความว่าจะต้องใช้คีย์ในการปลดล็อคเพื่อกู้ข้อมูลคืนมา ผู้ใช้งานจะต้องทำการจ่ายเงินตามข้อความ “เรียกค่าไถ่” ที่ปรากฏ
ม้าโทรจัน (Trojan Horse Virus) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกบรรจุเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อลอบเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น เช่น ข้อมูลชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน เลขที่บัญชีธนาคาร หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แฮกเกอร์จะส่งโปรแกรมเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อดักจับข้อมูลดังกล่าว แล้วนำไปใช้ในการเจาะระบบ และเพื่อโจมตีคอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์, หรือระบบเครือข่ายอีกที ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อการโจมตีเพื่อ “ปฏิเสธการให้บริการ” (Denial of Services)
เวิร์ม (Worm) มีการเรียกเป็นภาษาไทยว่า “หนอนอินเตอร์เน็ต” เป็นโปรแกรมที่สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเสียหาย การป้องกันอย่างหนึ่งสำหรับเวิร์ม คือ การอัปเดตโปรแกรมที่ใช้ทั้งหมดให้ทันสมัยอยู่เสมอ ข้อสังเกตว่าคอมพิวเตอร์ติดเวิร์ม หรือไม่คือคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง , คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงาน ได้ , ไม่สามารถติดต่อระบบเครือข่ายได้ , ไม่สามารถทำงานในระบบอินเตอร์เน็ตได้ เป็นต้น นอกจากนี้เรายังวิธีการป้องกันเบื้องต้นก็คือ การติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบไวรัสแบบ Real time และที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการเปิดเมล์ที่เราไม่ รู้จัก หรือไม่แน่ใจ
1. ตั้งให้เป็นเอกลักษณ์เว็บไหนเว็บนั้น อย่าใช้พาสเวิร์ดเดียวแต่ครอบคลุมทุกเว็บไซต์ เช่น ตั้งเอาไว้ว่า krui3dotcom แล้วใช้กับทุกบริการ ทุกเว็บไซต์ เพื่อความสะดวก การทำแบบนี้ถือว่าอันตรายอย่างมาก เพราะถ้ามีผู้ไม่หวังดีได้พาสเวิร์ดเราไป จะสามารถเอาไปลองได้กับทุกเว็บไซต์ และทุกบริการ
2. อย่าใช้คำทั่วไปมาตั้งพาสเวิร์ด หากเราเป็นคนชอบดอกไม้ คนก็อาจจะเดาพาสเวิร์ดของเราว่า Flower เป็นต้น
3. ยิ่งยาวยิ่งดี พาสเวิร์ดที่มีความยาว 10 ตัวอักษรนั้นเดายากกว่าพาสเวิร์ด 8 ตัวอักษรถึง 4 พันเท่า! ถ้าเดาพาสเวิร์ด 8 ตัวอักษรใช้เวลา 1 วัน เดาพาสเวิร์ด 10 ตัวอักษรก็ต้องใช้เวลา 4000 วัน! เว็บไซต์ในทุกวันนี้มักจะต้องการพาสเวิร์ดความยาว 8 ตัวอักษรเป็นขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความปลอดภัยจริง ๆ 10 ตัวอักษรจะดีกว่า
4. ผสมผสานทั้งตัวเลข เครื่องหมาย ตัวอักษรใหญ่ และตัวอักษรเล็ก เมื่อเราใช้ตัวอักษรใหญ่ เล็ก ตัวเลขและเครื่องหมายต่างๆ ลงในพาสเวิร์ด โอกาสที่จะเดาพาสเวิร์ดถูกจะมีแค่ 1 ในหลายแสนล้าน
5. พิมพ์พาสเวิร์ดภาษาไทยด้วยคีย์บอร์ดภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น จะใช้พาสเวิร์ดว่า “ครูไอที” ก็จะพิมพ์ได้ว่า “8i^wvmu” เป็นต้น