‘ความยุติธรรมคือเกียรติยศของชาวเจมิไน’ คือคำกล่าวที่มีให้แก่ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมอันเป็นที่สุด คนเจมิไนเป็นประชากรในประเทศเล็กๆ แต่ก็เป็นประเทศที่ใช้บทลงโทษน้อยมากอันเนื่องมากจากพลเมืองที่มีความยุติธรรมในจิตใจแบบฉบับของเจมิไนนั่นเอง
เจมิไนในประวัติศาสตร์ถูกรวบรวมเป็นปึกแผ่นโดยกลุ่มของปฐมกษัตริย์ ‘เซ็ท โฮเวิร์ด’ ก่อตั้งเป็นประเทศเจมิไน เคยตกอยู่ในประเทศที่ถูกกดขี่มาก่อนจากจิตใจที่คดโกงน้อย ยุติธรรม สถานะทางเศรษฐกิจเป็นรอง ดังนั้นจึงเกิดการปฏิรูปการศึกษาในประเทศขึ้นครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดนักเวท นักคิด และปรัชญา กษัตริย์ของเจมิไนและนักปราชญ์แห่งหอสมุดทั้งสามได้กล่าวไว้ว่า
“ประวัติศาสตร์สอนเราแล้วสายเลือดเจมิไน
ความยุติธรรมจะมาเมื่อเรามีปัญญาควบคุมกระดานได้มากพอ
ยิ่งใหญ่ได้มากพอ กุมอำนาจได้มากพอ”
ภายหลังจึงตามมาด้วยการปฏิรูปผังเมืองเพื่อปรับสมดุลการค้าที่เสียเปรียบก่อน เมื่อมีเงินจึงมีกำลังมากพอก่อเกิดนักปราชญ์ การทหาร ยุทธการการรบ กองเรือและเหล่าอัศวินชาญฉลาดอันเที่ยงธรรม พลิกสถานการณ์ให้เจมิไนกลายเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีกำลังทางทหารเข้มแข็ง ระบอบการปกครองแข็งแกร่ง และมีพันธมิตรมากมายในที่สุด
กฎข้อห้ามในสังคมเจมิไน: ห้ามฝึกเวทมนตร์ดำ เวทมนตร์เดมอส ห้ามค้าประเวณี ห้ามมีบ่อนการพนัน(ต้องข้ามไปเล่นที่ซาเรส)
ธงสัญลักษณ์: สีน้ำเงินเข้มอมม่วง ลายหยักสีเงินคั่นระหว่างกลาง
สัญลักษณ์ประจำเมือง: ส่วนใหญ่สัญลักษณ์ที่ถูกใช้ตามร้านค้าต่างๆ และชาวเมืองจะเป็นสัญลักษณ์ประเภทแพทเทิร์นมากกว่ารูปสัตว์หรือคน อันเนื่องมากจากศิลปะที่เติบโตมาจากลักษณะนิสัยของชาวเจมิไน
ชาวเจมิไนส่วนใหญ่เป็นนักคิดแสนอ่อนโยน ภายใต้หน้ากากของพวกเขาซุกซ่อนไว้ด้วยความคิดอันสลับซับซ้อน ความเลือดเย็น พวกเขาให้ความสำคัญต่อความคิดและความฉลาด นับถือสภาปราชญ์มากกว่าศาสนา พวกเขาอาจไม่ใช่ประเทศที่มีอัศวินมากพละกำลังหรือนักปราชญ์ที่มีพลังเวทแกร่งกล้า ทว่าหากชาวเจมิไนเป็นอัศวิน พวกเขาจะเป็นอัศวินที่ชาญฉลาด หากชาวเจมิไนเป็นจอมเวท พวกเขาก็ยังคงเป็นจอมเวทที่ชาญฉลาด เรียกได้ว่าพวกเขาครบทุกรอบด้านและเป็นนักฉกฉวยโอกาสเดินแผน เป็นนักคิดค้น ชิงการเคลื่อนไหว
ชาวเจมิไนส่วนใหญ่สื่อสารด้วยดวงตา ว่ากันว่าแม้แต่นักปราชญที่เลือดเย็นที่สุดสามารถโกหกได้กระทั่งแววตา (แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงทำให้พวกเขาไม่ค่อยยิ้มกัน) เนื่องจากใช้ความยุติธรรมในหัวใจของตนเองเป็นที่ตั้งจึงไม่มีศาสนาใด
ยังว่ากันว่าพวกเขาเป็นคนโรแมนติกลึกๆ รักเดียวใจเดียวหนักแน่น ชาวเจมิไนสายเลือดแท้มีผิวขาว มักมีผมสีเข้ม เป็นประเทศที่ประชาชนมีอิสระเสรีภายใต้ระบอบ และมีการศึกษาที่เข้มแข็งเพียงพอจึงสามารถหล่อหลอมประชาชนออกมาภายใต้ระบอบนี้
ลักษณะภูมิประเทศของเจมิไนเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนทางตะวันตกและทางตะวันออกของประเทศ พื้นที่ตรงกลางเป็นที่ราบสูง อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี พื้นที่ทางการเกษตรน้อย สถานที่ที่สูงที่สุดในประเทศคือหอสมุดทั้งสามแห่งคือ หอสมุดทางตะวันตก, หอสมุดทางตะวันออก, และหอสมุดทางใต้ มีประชาชนอาศัยอยู่น้อย
พื้นที่ราบสูงตรงกลางเป็นแหล่งอารยธรรมและจุดศูนย์กลางการปกครอง สถานที่ตั้งของปราสาท, สภาปราชญ์, ภาคีอัศวิน, เสนาธิการกองเรือรบและอุตสาหกรรมทางศิลปะ มีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุด
พื้นที่ทางเหนือติดทะเลสาบดาวเหนือและทะเลหลวง เป็นอู่ต่อเรือของเจมิไน เป็นเมืองท่าน่านน้ำที่สำคัญ มีประชาชนอาศัยอยู่ปานกลางและมีแขกบ้านแขกเมืองจำนวนมาก กิจการเป็นร้านค้าให้ความบันเทิงและที่พัก เป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่วนของภูเขาที่ราบสูงมีเหมืองอยู่สองแห่ง แร่ที่ขุดพบ ถ่าน ทองแดง เงิน เหล็ก ไทเทเนี่ยม
พื้นที่ทางตอนใต้นิยมใช้เป็นที่เพาะปลูกเนื่องจากสภาพอากาศอบอุ่นกว่าทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่จะปลูกพวกถั่วอัลมอนด์ เบอร์รี่ชนิดต่างๆ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ กูซเบอร์รี่ คราวน์เบอร์รี่ มันฝรั่ง ส่วนฟาร์มสัตว์จะนิยมเป็นนมแพะ ไข่ ปลา และฟาร์มขนสำหรับทำชุด
สภาพอากาศในเจมิไน: ฝั่งตอนใต้(¼)อุณหภูมิสูงกว่าฝั่งตอนเหนือ(¾) เจมิไนมี 4 ฤดู ได้แก่ (ภาพ2)
ชาวเจมิไนอยู่ในสถานะที่ถูกกดขี่โดยประเทศรอบด้านมาโดยตลอดจนกระทั่งพัฒนา ดังนั้นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงเกิดจากการรักสายเลือดของเจมิไน ความยุติธรรมเที่ยงตรง ถ่ายทอดออกมาผ่านศิลปะแขนงต่างๆ
วัฒนธรรมการเกิด: ชาวเจมิไนจะถือการเกิดเป็นสำคัญ บุคคลผู้ใดที่ได้เกิดมาจะถูกคาดหวังโดยทันทีและมีการเฉลิมฉลองในตระกูล ชาวเจมิไนมักจะนำเด็กทารกแรกเกิดไปหานักปราชญ์เพื่อให้พวกเขาอวยพร หรือตั้งชื่อ
วัฒนธรรมการตาย: ชาวเจมิไนที่เสียชีวิตจะถูกดูแลอย่างดีโดยผู้ปกครอง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ในหุบเขาเยอะ พวกเขาจะได้รับการฝังในหุบเขาที่ถูกเจาะรวมกับชาวเจมิไนที่เสียชีวิตลง ทางผู้ปกครองจะเป็นคนฝังให้พร้อมกับธงเจมิไนคลุมร่าง และมีเทศกาลระลึกถึงทุกปี
วัฒนธรรมการแต่งงาน: ชาวเจมิไนจะแต่งงานที่บ้านเป็นส่วนตัว มีปราชญ์อวยพร ชุดแต่งงานเป็นสีเข้มพิธีการ แต่ปีหลังๆ มีการรับวัฒนธรรมมาจากต่างชาติบ้าง แต่ทางชนชั้นสูงยังสวมชุดสีเข้มอยู่ นิยมสีกรม หลังจากจัดงานเล็กๆ ที่บ้านจะเริ่มเดินขบวนเฉลิมฉลองเพื่อโยนสิ่งของ(ส่วนใหญ่พวกเขาจะโยนดอกไม้)ไปรอบเมือง บ้างก็โยนเหรียญเงิน *ไม่มีวัฒนธรรมหลายสามีภรรยา*
วัฒนธรรมชาตินิยม: สายเลือดของเจมิไนเชื่อกันเองว่าพวกเขาต่างฉลาดและรักความยุติธรรมเข้มข้น เกิดเป็นความเชื่อใจในสายเลือดของเจมิไนด้วยกันโดยไม่ต้องมีเหตุก่อนหน้า
วัฒนธรรมการส่งจดหมายด้วยอินทรี: เนื่องจากภูมิประเทศที่มีเทือกเขาอยู่มาก การติดต่อสื่อสารจึงใช้เป็นอินทรีเป็นส่วนใหญ่ ทางเทือกเขาสูงมักเลี้ยงพญาอินทรีเพื่อล่าสัตว์ควบคู่ไปอีกด้วย
อารยธรรมของสิ่งประดิษฐ์: สิ่งประดิษฐ์ส่วนใหญ่จะเป็นศาสตราวุธ การเดินเรือ ตะเกียงสิ่งประดิษฐ์ล้ำสมัยและสัญลักษณ์ทางปัญญาต่างๆ
อารยธรรมข้าวของเครื่องใช้: เครื่องปั้นดินเผาทาสี ลวดลายเป็นแพทเทิร์นเรขาคณิต สิ่งก่อสร้างต่างๆ มักเป็นแบบเรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อแต่ก็สอดแทรกศิลปะแบบเจมิไนอยู่ในนั้น
ความเท่าเทียม: มีความเท่าเทียมทางเพศและการศึกษา แต่มีการภาคภูมิใจในสายเลือดเจมิไนหลงเหลืออยู่บ้างในประเทศ ให้ความสำคัญทางด้านปัญญาและคุณภาพชีวิต
เพศศึกษา: ประเทศเจมิไนถือว่าหนังสือและการคิดค้นเป็นสิ่งบันเทิง อีกทั้งยังยกยอเล่าปราชญ์ เรื่องนี้จึงไม่ถูกพูดถึงกันโดยตรงมากนักในเจมิไน และไม่มีสถานที่ให้นอกลู่นอกทางเนื่องจากค่านิยมรักเดียวใจเดียว(แต่ไม่ใช่รักนวลสงวนตัว) ชาวเจมิไนบางส่วนออกไปด้านนอกประเทศหรือข้ามไปฝั่งซาเรสก็ต้องปิดเป็นความลับ ไม่ได้รังเกียจ แต่คิดว่าความบันเทิงในด้านนี้เสียเวลา
การแต่งกาย: เนื่องจากชินกับอากาศหนาว ชาวเจมิไนส่วนใหญ่จึงแต่งตัวอย่างอิสระเสรี เสื้อผ้าของพวกเขาเรียบง่ายแซมด้วยลายเรขาคณิตเป็นส่วนใหญ่ นิยมสวมถุงมือหนาเนื่องจากการเลี้ยงอินทรี ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อผ้าสีเข้ม ชอบสวมเสื้อคลุม อื่นๆ จะเปลี่ยนไปตามแฟชั่น ประชากรส่วนใหญ่ไว้ผมยาวจากสภาพอากาศ (ไม่ได้บังคับ)
เนื่องจากภายหลังมีความสัมพันธ์อันดีกับวิทช์ จึงทำให้แฟชั่นของสตรีช่วงหนึ่งนิยมแต่งกายคล้ายๆ กับวัฒนธรรมของวิทช์
ชุดพิธีการที่นิยม: ดำ-สีทึบ
ชุดแต่งงานที่นิยม: ดำ-สีทึบ
สิงโตเจมิไน: ยังมีนิทานปรัมปราในเจมิไนเล่าว่าส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขามีสิงโตแห่งเจมิไนพักผ่อนอยู่ สัตว์วิเศษชนิดนี้เป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม ในอดีตกาลกล่าวว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของปฐมกษัตริย์เซ็ท โฮเวิร์ด ลักษณะเป็นสิงโต มีเขาอยู่กลางศีรษะ สามารถแยกแยะผิดถูกได้โดยสัญชาตญาณ เคยช่วยเหลือปฐมกษัตริย์เซ็ทตัดสินคดี ปัจจุบันไม่มีรายงานว่าพบมากว่าสามสิบปีแล้ว (ภาพ by Kivkeaw)
กิเลนม่วง: สัตว์วิเศษแห่งปัญญาเจ้าความคิด อาศัยอยู่ในป่าลึกทางตะวันออกของเจมิไน ว่ากันว่ากิเลนม่วงจะยอมออกมาพบก็ต่อเมื่อมันอยากพบเท่านั้น ชาวเจมิไนแต่โบราณเคยบันทึกไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่กิเลนม่วงเรียกหาผู้มีปัญญาบนท้องฟ้าจะปรากฏออโรร่า (อดีตนักปราชญ์แห่งหอสมุดตะวันออกเคยวาดภาพเหมือนแขวนเอาไว้ในหอสมุด)
พญาอินทรีทอง: สัตว์วิเศษที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในเจมิไน ตัวใหญ่กว่าอินทรีทั่วไปถึงสามเท่า รวดเร็วกว่า แข็งแกร่งกว่า กลายเป็นฉายาของนักล่าที่ชาวเจมิไนนำมาเรียกกัน เมื่อพญาอินทรีสีทองเคลื่อนที่จะปรากฏละอองสีทองอยู่ในอากาศอันเนื่องจากอำนาจเวทมนตร์ของสัตว์วิเศษอยู่ราวๆ หนึ่งนาที
มังกรจิตวิญญาณ (Spirit Dragon): มังกรแห่งขุนเขาเกียรติยศ เฝ้าพิทักษ์วิญญาณของเหล่าผู้กล้าแห่งเจมิไน มีนิสัยรักสงบ ชาญฉลาด กินเนื้อและละอองเวทมนตร์ มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ระดับความหายาก S เกล็ดดำ แผงอกเป็นส่วนแข็ง มีขนยาวสีขาวบริเวณศีรษะและหาง ส่วนปีกเหลื่อมฟ้าน้ำเงิน
มังกร: มังกรหิมะ สายพันธุ์ winter และ cinder เป็นมังกรถิ่นจากซาเรส คาบเกี่ยวมายังเจมิไน สามารถพบเจอได้ตามเขตชายแดน (ดูประวัติมังกรที่ >>LINK<<)
สัตว์พื้นเมืองในเจมิไน: สัตว์พื้นเมืองที่เห็นได้ทั่วไปได้แก่พวก อินทรีภูเขาหิมะ, กวางคาลิบู, ฝูงหมาป่าหิมะ, พยัคฆ์เหมันต์, กวางภูเขา, แพะภูเขา, กระต่าย ที่นิยมนำมารับประทานส่วนใหญ่เป็นเนื้อกวางภูเขาสามัญ
ตามชายฝั่งจะมีสิ่งราคาแพงอย่าง รังนก, ปลาแซลม่อน, ปลาเทร้าต์, ปูยักษ์อลาสก้า, นกพัพฟิน, นกกาน้ำ, นกนางนวล
ตำนานพื้นบ้านของชาวเจมิไน:
ทะเลสาปดาวเหนือ: ได้ยินว่าบางครั้งจะมีเสียงดนตรีแว่วมาจากทะเลสาบดาวเหนือ เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะพบว่าเสียงดนตรีเหล่านี้ดังมาจากในน้ำ ผู้คนในเจมิไนจึงเชื่อกันว่าด้านล่างของทะเลสาบมีนางเงือกอยู่
ตัวแมร์: บางครั้งจะเห็นเป็นผู้หญิงตัวผอมๆ ผมสีดำ ตัวซีด จะชอบมานั่งบนหน้าอกของมนุษย์เวลาหลับและใช้ผมมัดพันแขนขาดูดพลังงาน เป็นต้นเหตุของฝันร้าย (คาดว่าตำนานในอดีตนี้มาจากสภาวะกึ่งหลับตื่นขยับตัวไม่ได้)
ภูตไม้กวาด: ตำนานของชาวเจมิไนเชื่อว่าไม้กวาดทุกอันมีภูตตัวเล็กๆ อยู่ ภูตพวกนี้เวลามนุษย์ไม่อยู่บ้านก็จะออกมาทำความสะอาด ปัดเป่าโชคร้ายออกไปนอกบ้าน ชอบอาศัยอยู่ในไม้กวาดจึงต้องรักษาไม้กวาดให้สะอาดเสมอและใช้งานบ่อยๆ ในช่วงวันเฉลิมฉลองบางบ้านก็นิยมทำอาหารชุดเล็กๆ วางไว้กลางบ้าน
ตำนานคนแคระ: ตำนานของชาวเจมิไนเชื่อว่ามีคนแคระที่อาศัยอยู่ในด้านล่างของหุบเขา คนแคระเหล่านี้เชี่ยวชาญเรื่องตีเกราะดาบ บางครั้งจะมอบให้แก่บุคคลผู้ที่พบเจอและมีนิสัยเที่ยงตรงยุติธรรม (ปัจจุบันเรื่องนี่้ถูกนำมาใช้เรียกชมช่างฝีมือเก่งๆ แทน)
ตำนานคนกินคนแห่งซาเรส: เนื่องจากสภาวะสงคราม ความอดอยากของชาวซาเรสในอดีตที่มีการปล้นฆ่าลักลอบเข้าเจมิไนในครั้งอดีต จึงทำให้ชาวเจมิไนสมัยก่อนมีเรื่องเล่าขู่เด็กว่าพวกซาเรสหิวจนขนาดจะกินคนด้วยกัน
ภูตแห่งการเกษตร: เป็นชายแก่ ผมขาว สวมถุงเท้าที่เต็มไปด้วยฟาง ว่ากันว่าเมื่อเจอเขาจะใกล้สิ้นสุดฤดูหนาวในสมัยก่อน
จิตวิญญาณแห่งปัญญา: ตำนานชาวเจมิไนเชื่อว่ามีจิตวิญญาณแห่งปัญญา ผู้ประทานองค์ความรู้ด้านต่างๆ และการแพทย์ให้แก่มนุษย์ก่อนจะลาลับไป (ไม่มีรูปลักษณ์แน่ชัด บางพื้นที่เชื่อว่าในตำนานเป็นเจ้าของผู้เลี้ยงดูกิเลนม่วง)
เครื่องราง: ปัจจุบันเจมิไนมีเครื่องรางที่ได้รับความนิยมใหญ่ๆ ทั้งหมดสามประเภทด้วยกัน
เหรียญตรา: เหรียญตราในเจมิไนจะถูกตีขึ้นจากแร่โลหะ นำมาแกะขึ้นรูปและปั๊มด้วยเหล็กกล้าเป็นลวดลาย ‘สัตว์วิเศษของเจมิไน’ มักถูกใช้มอบเป็นของรางวัลจากทางการ ผู้ใหญ่อาจารย์ ผู้ปกครอง ค่อนข้างนิยมในภาคกลางของประเทศ มีความหมายเตือนใจและอาจเป็นเครื่องรางสำหรับเฉพาะบุคคล ความหมายจะตรงกับชนิดของสัตว์วิเศษแต่ละตัว เกียรติยศแห่งเจมิไน ยุติธรรมกับตนเอง ทระนงในปัญญา ตัวอย่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ: ชาวเจมิไนนิยม ‘อำพัน’ และ ‘ไม้ฟอสซิล’ แอมเบอร์ที่นิยมจะเป็นแมลงมีปีก แมลงสวยงาม เช่น ผีเสื้อ แมลงปอ ส่วนไม้ฟอสซิลนิยมนำไปประดับบ้าน พวกเขาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญของธรรมชาติที่มอบให้แก่เจมิไน เป็นของที่ผ่านกาลเวลามาเป็นเวลานานจนเชื่อว่ามีพลังเวทในตนเอง นิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป
สิ่งที่เกิดขึ้นจากความเชื่อโบราณ: ชาวเจมิไนโบราณจะเชื่อเรื่อง ‘เครื่องรางจากสัตว์’ ในหมู่นักล่าหรือประชาชนในพื้นที่เขตล่าสัตว์ทางเหนือบางคนยังเชื่อถือสิ่งเหล่านี้อยู่ เช่น เขาของกวาง เท้ากระต่าย เขี้ยวของพยัคฆ์หิมะ บ้างก็ว่าวัฒนธรรมส่วนนี้มาจากพวกซาเรส บ้างก็ว่ามาจากสำรับปรุงยาของพวกแม่มดวิทช์
เครื่องประดับ: ในเจมิไนมักนิยมเอาเครื่องรางไปดัดแปลง นำเหรียญตรามากลัดเสื้อคลุมในหมู่อัศวินหรือเหล่าปราชญ์ บ้างก็แขวนไว้กับพู่คทา บ้างก็แขวนไว้ดาบ
อำพันกับฟอสซิลไม้ก็นิยมนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยถัด แหวนเงิน เข็มกลัดและอื่นๆ
รูน: ในเจมิไนมีการใช้ออกเป็นสองประเภท
รูนใช้งาน: เขียนด้วยเวทมนตร์ สลักลงในสิ่งของและใช้เวทกระตุ้นให้ทำงาน อักษรแต่ละอย่างมีความหมายตาม ดูที่นี่
รูนใช้พยากรณ์: ในเจมิไนเชื่อกันว่ารูนมาจากรากศัพท์คำว่า Runa ซึ่งแปลว่าเสียงกระซิบ ดังนั้นการทำนายรูนจึงถูกเชื่อในคนบางกลุ่มว่าเป็นกระซิบจากพลังเวทอันยิ่งใหญ่ อักษรรูนจึงมีพลังในตนเอง ตัวอักษรรูนที่ใช้ทำนายมักทำมาจากก้อนหิน หรือไม้สลัก ก่อนใช้และหลังใช้ต้องนำไปชำระกับพลังเวทในธรรมชาติ อาบแสงจันทร์หนึ่งคืน คาดว่าได้รับวัฒนธรรมเรื่องนี้มาจากวิทช์
การทำนายรูนจะตีความจากอักษร
มักนิยมทำนายแบบรูน 3 ตัว, รูน 4 ตัว และ รูน 11 ตัว
พบได้มากในเมืองท่าทะเลเอาไว้ต้อนรับเหล่าลูกเรือ พ่อค้าและนักท่องเที่ยว ชาวเจมิไนส่วนใหญ่ถือเป็นเพียงความบันเทิง บางส่วนมีไว้หาเงิน และบางส่วนเชื่อถือ
เจมิไนส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ราบสลับหุบเขา การสื่อสารมักใช้นกอินทรีภูเขา การเดินทางจะเป็นการเดินเท้า รถม้าหรือม้าในพื้นที่ราบ มีสะพานเชื่อมหลายจุดระหว่างหุบเขา
สัตว์พาหนะอื่นๆ ในหุบเขาจะใช้สัตว์มีเกือกอย่าง แพะภูเขา สีออกขาวๆ มีขนปกคลุม สามารถวิ่งในอากาศได้ระยะสั้นๆ ปีนภูเขาได้เก่ง มีอยู่จำนวนน้อยจึงไม่ค่อยนิยมนัก ไม่มีอำนาจเวทมนตร์ (ต้องมีใบอนุญาตขับขี่แพะภูเขาจากสมาคมนักล่า)
การศึกษาในเจมิไน เด็กในเจมิไนทุกคนจะได้รับการศึกษาเปล่า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีประจำอยู่แต่ละทิศของเมือง ได้แก่ โรงเรียนตะวันตก โรงเรียนตะวันออก โรงเรียนทางใต้ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ถูกสนับสนุนโดยสภาปราชญ์และผู้ปกครองอีกที มีการเรียนการสอนแน่นครบถ้วน ปลูกฝังสายเลือดนิยม ปัญญาและความคิด เน้นการลงมือปฏิบัติ
แต่ผู้คนก็ยังนิยมส่งลูกหลานไปเรียนตามที่หอสมุด ด้วยความนิยมในตัวปราชญ์
เด็กทั่วไปทุกคนจะเรียนจบตอนอายุ 12 ปี (ยกเว้นศิษย์หอสมุด)
หลังจากอายุ 12 ปี เด็กที่จบจากโรงเรียนจะสามารถเข้าเรียนต่อได้หลากหลายเส้นทาง เช่น หอคอยดวงดารา, ภาคีอัศวิน, สมาคมนักล่า, สถาบันอาชีพทั่วประเทศ เช่น สถาบันนักประดิษฐ์ สถาบันทำอาหาร สภาบันช่างก่อสร้าง สถาบันศิลปะ มีการเชิญผู้สอนหลากหลายมาจากประเทศต่างๆ
วิทยาลัยเจมิไน: เปิดรับนักเรียนตอนอายุ 18 ปีขึ้นไป เป็นระบบลงทะเบียนเรียนวิชาที่สนใจ ถือว่าเป็นการศึกษาขั้นสูงสำหรับคนในประเทศเจมิไน อาจารย์ที่มาสอนจะเป็นอาจารย์ประจำสัญญาจ้างวนเวียนกันมา เป็นปราชญ์ในประเทศ เป็นผู้มีชื่อเสียง มีฝีมือในประเทศ เหมาะสำหรับการหาความรู้ชั้นสูง
วิถีดาบของเจมิไน: วิธีของอัศวินที่ชาญฉลาด เรียบง่าย เป็นระเบียบ ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีขาดไม่มีเกิน ดูเผินกลับคล้ายภูเขาน้ำแข็งสงบนิ่งต้ังรับ แต่ชาวเจมิไนเป็นนักคิดจอมฉกฉวย วิถีดาบจึงช่วงชิงจังหวะที่ดีที่สุด จังหวะที่รอคอยภูเขาน้ำแข็งหลอมละลาย จังหวะวาดปลายดาบดุดันไร้ซึ่งช่องโต้กลับ หนึ่งตาเดินรุกฆาต
วิถีเวทของเจมิไน: ไม่มีการสอนเวทดำจากเดมอสทุกกรณีแก่ประชาชนทั่วไป หากทางการทราบจะถูกจับกุม ชาวเจมิไนจะใช้เวทในการต่อสู้ ส่วนในชีวิตประจำวันจะชอบใช้นวัตกรรมมากกว่า
ทุกเสาร์ที่สองของเดือน ชาวเจมิไนจะมีจัดถนนคนเดินที่จตุรัสยูโทเปีย มีทั้งศิลปะ เครื่องปั้น นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ อาหาร เครื่องเล่นมากมาย
1 ม.ค วันพักรบเจมิไนซาเรส:
วันที่กองทัพชายแดนของทั้งสองประเทศจะวางอาวุธหยุดรบและเฉลิมฉลองกันเป็นเวลา 24 ชม.
10 ก.พ เทศกาลยอดอินทรีทอง (ประจำฤดูหนาว)
เทศกาลของเหล่านักล่าที่เปิดให้ผู้เข้าแข่งขันทุกอาชีพ ทุกเพศ ที่มาลงแข่งขันล่าสัตว์ในป่าลึกด้วยนกอินทรี
13 มี.ค เทศกาลระลึกถึงวิญญาณ:
เทศกาลของชาวเจมิไนที่สืบต่อมาตั้งแต่โบราณ ทั่วทั้งหุบเขาเกียรติยศจะสว่างไปด้วยแสงไฟจากเวทมนตร์ ชาวเจมิไนจะจุดแสงจากเวทหลากสีปล่อยให้ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเปรียบเสมือนดวงวิญญาณที่ล่องลอยกลับคืนสู่ผืนแผ่นดิน
9 ต.ค วันฉลองประชาธิปไตย:
วันที่ชาวเจมิไนจะมารวมกันที่จัตุรัสยูโทเปีย เพื่อแสดงความเห็นต่างๆ ต่อกษัตริย์และขุนนางได้เสรี
29 ต.ค วันพิพากษา:
เฉลิมฉลองความยุติธรรมแห่งเจมิไน
24 ธ.ค Winter's star night
Winter's star night คืนจรัสกลุ่มดาวฤดูหนาว คืนที่เห็นดาวชัดที่สุด เป็นโอกาสให้ผู้คนได้ทำพิธีขอบคุณดวงดาว หลายๆ บ้านจะนำต้นไม้สองสามชนิด ส่วนใหญ่เป็นต้นสน นำดาว จำลองประดับไว้รอบๆ และบนยอดเพื่อแสดงความขอบคุณ สามารถอธิษฐานกับดวงดาว มีงานเลี้ยงเล็กๆ ภายในครอบครัวหรือชุมชน
25 ธ.ค เทศกาลแห่งปัญญา:
วันที่หอสมุดทั้งสามของนักปราชญ์จะเปิดออกให้เหล่าประชาชนเข้าไปร่วมตั้งปัญหาแห่งยุคสมัยและพูดคุยแลกเปลี่ยน
สตูว์เนื้อและปลา: สตูว์ที่นิยมนำเนื้อกวาง บางพื้นที่นิยมใส่ปลาลงไปด้วย ใส่แคร์ร็อตหั่นเต๋า หัวหอม ข้าวโพด เบอร์รี่และแป้ง
มันฝรั่งไส้เนื้อ: ในยุคสมัยที่ประเทศคงที่ อาหารจึงมีการประดิดประดอยในระดับหนึ่ง มันฝรั่งบดสอดไส้ด้วยเนื้อชนิดต่างๆ ก็เป็นที่นิยมในเจมิไน ดูมีอารยะ
เจมิไนปัจจุบันใช้การค้าทางทะเลเป็นสำคัญ นำเข้าอารยธรรมและความรู้ผ่านทางทะเลติดต่อกับประเทศอื่น(พวกเขาพยายามขโมยฐานความรู้ของประเทศอื่นผ่านทางเรือทะเลในรูปแบบการค้า) ส่งออกสิ่งประดิษฐ์ล้ำสมัย เสื้อผ้า ขนสัตว์ การคิดค้น แต่ความรู้ในประเทศกลับถูกควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ให้เผยแพร่ ในประเทศมีการทำเกษตร(แต่ปลูกได้เฉพาะพืชเขตหนาว ดอกไม้) และล่าสัตว์ตามป่าลึก สลับกับเทือกเขาสูง จึงเป็นสถานที่อันดีสำหรับนักล่า
นำเข้า ไม้ เครื่องเทศ โลหะ วัตถุดิบพื้นฐาน ผลผลิตทางการเกษตร บุคคลากรหัวกะทิ
ส่งออก สิ่งประดิษฐ์ต่อยอดจากวัตถุดิบเหล่านั้น นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้มนุษย์ขี้เกียจ เช่น กล้องดูดาว กล้องส่องทางไกล แผนที่โลกทรงกลม ชุดเซ็ตทำความสะอาดไม้เท้าและดาบ ชุดเซ็ตดื่มชามีเสียงดนตรี หนังสือ ชุดหมากรุก อะไรที่ไม่เป็นจำแต่พอมีแล้วก็สบายดีจัง, ชุดขนสัตว์ฟูๆ, ของเล่นสิ่งบันเทิง, บุคคลากรหัวกะทิ