วิทยานิพนธ์
Title
การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1
Title Alternative
Academic administration affectng the quality of students in small sized schools under the office of chachoengsao educational service-area 1
Creator
Name: อัญชลี กลิ่นเพ็ง
Organization : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
Subject
keyword: การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนขนาดเล็ก
ThaSH: มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ -- วิทยานิพนธ์
Classification :.DDC: 371.2
ThaSH: วิทยานิพนธ์
ThaSH: การศึกษาขั้นประถมศึกษา -- การบริหาร
Description
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2) ศึกษาระดับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 4) ศึกษาการบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยี การนิเทศการศึกษา การพัฒนาและส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ตามลำดับ 2) คุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหา ดังนี้ มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีความใฝ่รู้และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม และการคิดเป็นทำเป็น ตามลำดับ 3) การบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 จำนวน 4 ด้าน คือ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ และการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยี สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพผู้เรียน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 เขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ Z´y = .652X1+.551X3+.361X2+.208X5
Abstract: The purposes of this research were to study: 1) the level of academic administration in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1 2) the level of the quality of students in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1 3) the relationship between the academic administration and the quality of students in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1, and 4) academic administration affecting the quality of students in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1. The sample was comprised of 165 administrators and teachers under small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1. The tool used for data collection was a questionnaire. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, Pearson Product Moment Correlation Coefficient, and stepwise multiple regression analysis. The results of the study were as follows: 1) Academic administration in small sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1, as a whole, was at a high level. Each aspect of academic administration was put in descending order, based on average score, as follows: learning measurement and evaluation, curriculum development, technology development and application, educational supervision, learning resources development, respectively. 2) The quality of students in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1, as a whole, was at a high level. Each aspect of the quality of students was put in descending order, based on average score, as follows: good physical and mental health, curiousity in learning and continuous learning, academic achievement, morality, and capabilities in thinking and performing, respectively. 3) Academic administration positively correlated with the quality of students in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1 at the highest level, and at the .05 level of statistical significance. 4) Academic administration affected the students’ quality in small-sized schools under the Office of Chachoengsao Educational Service-Area 1 in 4 aspects, namely: curriculum development, learning resources development, learning measurement and evaluation, and technology development and application. These variables could jointly predict the students’ quality at the 92% level of accuracy, and at the .05 level of statistical significance. It could be written as an equation in the form of standardized scores as follows: Z´y = .652X1+.551X3+.361X2+.208X5
อัญชลี กลิ่นเพ็ง (2561) การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
วารสาร
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม และการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู และ 2) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู วิธีดำเนินการวิจัยประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครูและการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครูและสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู โดยเก็บข้อมูลจากตัวแทนครูที่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 340 คน โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กรอบแนวคิดทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ประกอบด้วย (1) ทักษะ การตั้งคำถาม (2) ทักษะการสังเกต (3) ทักษะการทดลอง (4) ทักษะการสร้างเครือข่าย (5) ทักษะการเชื่อมโยง และกรอบแนวคิดการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ประกอบด้วย (1) การสร้างวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เชิงนวัตกรรม (2) การกำหนดโครงสร้างการบริหารสถานศึกษา (3) ระบบของสถานศึกษาที่ก่อให้เกิดการคิดเชิงนวัตกรรม (4) รูปแบบของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม (5) การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (6) ค่านิยมร่วมของสถานศึกษา (7) ทักษะการบริหารองค์กรนวัตกรรม 2) ผลการศึกษาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครูในภาพรวมทั้ง 5 ทักษะ อยู่ในระดับมาก ทักษะการตั้งคำถามมีผลการประเมินสูงสุด รองลงมาคือ ทักษะการเชื่อมโยง ส่วนทักษะ
ที่มีผลการประเมินต่ำสุดคือ ทักษะการสร้างเครือข่าย และผลการศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ด้านการบริหารอยู่ในระดับมาก โดยมีการนำระบบเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องมีผลการประเมินสูงสุด รองลงมาคือ ส่งเสริมให้บุคลากรคิดค้นนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเด็น ที่มีผลการประเมินต่ำสุดคือ การนำระบบเครือข่ายมาใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลเชิงนวัตกรรม
REFERENCES
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2559). การพัฒนาทักษะการคิด. สืบค้นจาก http://www.kriengsak.com
ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์. (2557). ถอดรหัสแนวคิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่า. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง.
ดิเรก พรสีมา. (2559). ครู 4.0.มติชน. ฉบับวันที่ 4 พ.ย. 2559.
ธีระ รุญเจริญ. (2553). ความเป็นมืออาชีพในการจัดและบริหารการศึกษายุคปฏิรูปการศึกษาเพื่อปฎิรูปรอบ 2 และประเมินภายนอกรอบ 3. กรุงเทพมหานคร : ข้าวฟ่าง.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2557). คิดนอกกรอบ : สอนและสร้างได้อย่างไร. กรุงเทพมหานคร : วิทยาลัยครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
วชิน อ่อนอ้าย, ฉันทนา จันทร์บรรจง, วิทยา จันทร์ศิลา และสำราญ มีแจ้ง. (2558). รูปแบบการโรงเรียนเอกชนสู่ความเป็นองค์กรนวัตกรรม. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร, 17(2), 74-84.
วิจารณ์ พานิช. (2555). การศึกษาไทย 2552-2553 สู่เส้นทางแห่งอาจารย์บูชา “ครูเพื่อศิษย์”. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เพื่อสังคม.
สุกัญญา แช่มช้อย. (2555). แนวคิดเชิงนวัตกรรมสำหรับการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 14(2), 117-128.
สุพรรณี อาวรณ์ และแก้วเวียง นำนาผล. (2557). การพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์โรงเรียนผาน้ำทิพย์วิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27. วารสารบัณฑิตวิทยาลัยพิชญทรรศน์, 9(2), 71-80.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). รายงานการวิจัยสภาพปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร : วี.ที.ซี. คอมพิวนิเคชั่น.
อรชร ปราจันทร์ และสุกัญญา แช่มช้อย. (2561). รูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, 12(1), 156-169.
Adair, J. E. (1996). Effective innovation: how to stay ahead of the competition. London: Pan Books.
B.ness Roberta. (2012). Tools for Innovative thinking in Epidemiology. American Journal of Epidemiology, (March), 16(175), No. 8.
Christisnsen, J. A. (2000). Building The Innovative Organization. Hampshire: Macmillan Press.
Global Creativity Corporation. (2007). Understanding and applying innovation styles for insight. San Francisco, CA: Author.
Higgins, James M. (1995). Innovate or evaporate: Test and improve your organization’s IQ – Its innovation quotient. New Management.
Hoidn, S., & Karkkaunen, K. (2014). Promoting skill for innovation in higher education: A literature review on the effectiveness of problem-based leaning and of teaching behaviors. N.P.: OECD Education Working Paper.
Holder, Bob J. and Matter, Gary. (2008). The innovativeorganization. from http://www.geocities.com/CollegePark/Library/1048/innova.html
Horth, D. (2014). How to use innovation to lead effectively work collaboratively, and drive results. N.P.: Center for Creative Leadership and Dan Buncher, Continum.
IBSA. (2009). Developing innovation skills. Australia: Department of Education, Employment and workplace Relations.
Jiménez-Jiménez, D., & Sanz-Valle, R. (2005). Innovation and human resource management fit: An empirical study. International Journal of Manpower, 25(4), 364-381.
Li, Zhao, & Liu. (2006). The relationship between HRM, technology innovation and performance in China. International Journal of Manpower, 25, 4.
Miller, W. C., Couger, J. D., & Higgins, L. F. (1989). Person: innovation styles profile of IS personnel VS other occupation. Creative Innovation Management, 5(4), 226-233.
Peter, T. J. & Waterman, R. (1982). Insearch of excellence. New York: Harper & Row.
Safko, L. S. (2007). The three Cs innovative thinking. N.P.: Financial Time.
S. K. Lee and Benza. (2015). Teaching Innovtion skill: Application of design Thinking in Graduate Marketing Course. Business Education Innovation Journal, (June 2015), 43-49.
Sherwood, L. (2001). Fisiologi manusia: Dari Sel ke Sistem (2nd ed.). N.P.: Jakarta.
Swallow Erica. (2012). Can Innovative Thinking Be Learned. Forbes, Appril 19.
Tidd, Joe, Bessant, Jonh and Pavitt, Keitk. (2001). Mananging innovation Integrating Technological market and organization change. Chichester: John Wiley & Sons.
Von Stamm, B. (2008). Managing innovation, desige and creativity. Chichester: John Wiley & Sons.
Yamane, T. (1973). Statistics: An introductory analysis (3rd ed.). New York: Harper and Row.
อรชร ปราจันทร์ และ สุกัญญา แช่มช้อย (2562) การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา. ปีที่ 1 ฉบับที่ 2
ชื่อผู้เขียน ปี ชื่อเรื่อง ชื่อวารสาร. ปีที่ ฉบับที่ หน้า
In this paper we investigated the challenges facing the implementation of Fee-Free Education (FFE) in primary schools in Tanzania. We adopted a qualitative approach with a case study exploratory design. The study was carried out in the Geita District Council, involving 28 participants. These were 12 school committee members, 10 headteachers, 5 Ward Education Officers (WEOs), and a District Education Officer (DEO). Data were collected through interviews, Focus Group Discussion (FGD), and documentary review. Thematic and content analysis were used to analyze the data. The findings indicate that FFE contributed to an increased enrolment rate of pupils from poor families and it improved the retention and attendance rates in primary schools. However, the findings indicate that the visited schools faced a shortage of teachers, school infrastructure such as classrooms, toilets for pupils, and desks because of an increased pupils' enrolment that affected the implementation of FFE. The findings also indicate that headteachers did not receive any in-service training for them to manage the schools’ financial resources. We argue in this study that for effective implementation of FFE in primary schools both headteachers and teachers need in-service training and seminars on financial management. The government also needs to employ more teachers if the quality of education is to be sustained in primary schools. Nevertheless, increasing the budget for education for classroom construction is equally imperative.
ความท้าทายที่ต้องเผชิญกับการดําเนินการศึกษาฟรีในโรงเรียนประถมศึกษาในแทนซาเนีย
ในบทความนี้ เราได้ตรวจสอบความท้าทายที่ต้องเผชิญกับการนําการศึกษาปลอดค่าธรรมเนียม (FFE) ไปใช้ในโรงเรียนประถมศึกษาในแทนซาเนีย เราใช้วิธีการเชิงคุณภาพกับการออกแบบการสํารวจกรณีศึกษา การศึกษาดําเนินการในสภาเขต Geita ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 28 คน แบ่งเป็นคณะกรรมการโรงเรียน 12 คน ครูใหญ่ 10 คน เจ้าหน้าที่การศึกษาวอร์ด (WEOs) 5 คน และเจ้าหน้าที่ศึกษาธิการเขต (DEO) รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม (FGD) และการทบทวนเอกสาร การวิเคราะห์เฉพาะเรื่องและเนื้อหาถูกนํามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยระบุว่า FFE มีส่วนทําให้อัตราการลงทะเบียนของนักเรียนจากครอบครัวที่ยากจนเพิ่มขึ้น และปรับปรุงอัตราการรักษาและการเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา อย่างไรก็ตามผลการวิจัยระบุว่าโรงเรียนที่เยี่ยมชมประสบปัญหาการขาดแคลนครูโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนเช่นห้องเรียนห้องน้ําสําหรับนักเรียนและโต๊ะทํางานเนื่องจากการลงทะเบียนของนักเรียนที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลต่อการดําเนินการของ FFE ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่าครูใหญ่ไม่ได้รับการฝึกอบรมในการให้บริการใด ๆ สําหรับพวกเขาในการจัดการทรัพยากรทางการเงินของโรงเรียน เราโต้แย้งในการศึกษานี้ว่าเพื่อการนํา FFE ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพในโรงเรียนประถมศึกษาทั้งครูใหญ่และครูจําเป็นต้องมีการฝึกอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับการจัดการทางการเงิน รัฐบาลยังต้องจ้างครูเพิ่มหากคุณภาพการศึกษาจะยั่งยืนในโรงเรียนประถมศึกษา อย่างไรก็ตามการเพิ่มงบประมาณสําหรับการศึกษาสําหรับการก่อสร้างห้องเรียนก็มีความจําเป็นไม่แพ้กัน
Lucia Samwel Lucumay, Rose Ephraim Matete,
Challenges facing the implementation of fee-free education in primary schools in Tanzania,
Heliyon,
Volume 10, Issue 2,
2024,
e24172,
ISSN 2405-8440,
https://doi.org/10.1016/j.heliyon.2024.e24172.