การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างรู้เท่าทัน
“ข้อมูลมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ในแต่ละวันนักเรียนจะได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายสังคมจำนวนมากและรวดเร็ว ข้อมูลที่เผยแพร่นั้นมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นเท็จ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ดังนั้นการนำผลงานของผู้อื่นไปใช้อย่างถูกต้อง การเลือกรับและส่งต่อข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ การรู้เท่าทันสื่อ จะทำให้การใช้ชีวิตในโลกไซเบอร์มีความปลอดภัย”
ในปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศทำได้ง่าย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ซึ่งต้องมีความรู้ ความรอบคอบ เข้าใจเทคโนโลยี และศึกษาเงื่อนไขในการใช้งาน ทุกคนควรเรียนรู้และติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
การนำข้อมูลมาใช้ในการเรียน การทำงาน และการตัดสินใจ ต้องพิจารณาความถูกต้องของข้อมูลที่นำมาจากแหล่งข้อมูลหลาย ว่าแหล่งข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ถูกต้องสมบูรณ์ สอดคล้องตรงตามความต้องการ และมีความทันสมัย
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ จึงต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยใช้ประเด็นพิจารณาของ “พรอมท์ (PROMPT)“
PROMPT ประกอบด้วย
Presentation – การนำเสนอ (มีการวางเค้าโครงที่เหมาะสม มีรายละเอียดชัดเจน ไม่คลุมเครือ ใช้ภาษาและสำนวนถูกต้อง เนื้อหามีความกระชับ)
Relevance – ความสัมพันธ์ (ความสอดคล้องของข้อมูลกับสิ่งที่ต้องการ ไม่ขัดแย้งกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง)
Objectivity – วัตถุประสงค์ (มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ไม่แสดงความคิดเห็นหรือมีเจตนาแอบแฝง)
Method – วิธีการ (มีการวางแผนในการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ)
Provenance – แหล่งที่มา (มีการระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจน)
Timeliness – เวลา (มีความทันสมัย เป็นปัจจุบัน ระบุช่วงเวลาที่สร้างข้อมูล)
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูล
การค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อนำไปใช้งานและอ้างอิง จำเป็นต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูลก่อน ไม่เช่นนั้นอาจได้ข้อมูลที่ขาดความถูกต้อง และเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบดังนี้
บอกวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่อย่างชัดเจน
นำเสนอเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูล
มีเนื้อหาไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรม
ระบุชื่อผู้เขียนบทความ หรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์
อ้างอิงแหล่งที่มาหรือแห่งต้นตอของข้อมูล
สามารถเชื่อมโยง (link) ไปเว็บไซต์ที่อ้างอิงถึงเพื่อตรวจสอบต้นตอของข้อมูลได้
ระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูล
มีช่องทางติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์
มีช่องทางให้แสดงความคิดเห็น
มีข้อความเตือนผู้อื่นให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจใช้ข้อมูล
บางเว็บไซต์อาจใช้ชื่อคล้ายหน่วยงานราชการที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เว็บไซต์เหล่านี้อาจให้ข้อมูลที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผู้ใช้ควรสังเกตให้รอบคอบและตรวจสอบว่าเป็นเว็บไซต์ที่แท้จริงของหน่วยงานนั้น โดยสามารถตรวจสอบชื่อเว็บไซต์และข้อมูลต่างๆ ได้จากเว็บไซต์ที่ให้บริการตรวจสอบ เช่น whois.domaintools.com
เหตุผลวิบัติ
เหตุผลวิบัติ
การให้เหตุผลเป็นวิธีการหนึ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อคิดเห็นหรือข้อสรุปต่างๆ การให้เหตุผลที่เหมาะสม มีส่วนทำให้การตัดสินใจยอมรับความเห็นและข้อสรุปทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การให้เหตุผลมีทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม
การให้เหตุผลที่ไม่เหมาะสม พบเห็นได้มากขึ้นในปัจจุบัน โดยผู้ให้เหตุผลอาจมีเจตนาบิดเบือนความจริงหรือคิดไปเอง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จนทำให้เหตุผลเหล่านี้อาจกลายเป็น “เหตุผลวิบัติหรือตรรกะวิบัติ” ได้
Photo by meo on Pexels.com
เหตุผลวิบัติ (logical fallacy)
เป็นการโต้แย้งโดยให้เหตุผลที่คลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง หรือมีความจริงเพียงบางส่วน จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความขัดแย้งกับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น การโต้แย้งบนเว็บบอร์ดหรือเครือข่ายทางสังคม ที่มีการใช้ข้อความประชดประชัน การใช้ความรู้สึกส่วนตัว การใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง (hate speech)
กระบวนการเหล่านี้ อาจนำไปสู่การสรุปผลหรือตีความข้อสรุปจากการโต้แย้งที่ไม่ได้นำข้อเท็จจริงมาพิจารณา ทำให้ผู้รับสารได้รับข่าวสารที่คลาดเคลื่อน อีกทั้งผู้คนบางส่วนพยายามใช้ความเข้าใจหรือความเชื่อส่วนตัวที่อาจะไม่ถูกต้องมาเป็นเหตุผลในการสรุปประเด็นต่างๆ แม้ผลสรุปสุดท้ายจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม
เหตุผลวิบัติจำแนกได้ 2 แบบ ดังนี้
เหตุผลวิบัติแบบเป็นทางการ เกิดจากการให้เหตุผลที่ใช้หลักตรรกะไม่ถูกต้อง แต่เขียนอยู่ในรูปแบบที่เป็นทางการทำให้ดูสมเหตุสมผล เช่น การที่ผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งหาเสียงว่าหากเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง จะมีการพัฒนาหมู่บ้าน สร้างความเจริญ แต่ในความจริง แม้ชนะการเลือกตั้ง ผู้ชนะการเลือกตั้งก็อาจได้พัฒนาหมู่บ้านก็ได้
เหตุผลวิบัติแบบไม่เป็นทางการ เกิดจากการให้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักตรรกะในการพิจารณา แต่เป็นการสันนิษฐานหรือเล่นสำนวน ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาชักนำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น การพูดกำกวม หรือการพูดมากเกินความจำเป็น
ตัวอย่างเหตุผลวิบัติแบบไม่เป็นทางการ
อ้างถึงลักษณะตัวบุคคล เช่น ผู้ใหญ่บางคนมักไม่สนใจข้อเสนอแนะของเด็กๆ เพราะความเป็นเด็กทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ แม้ความคิดเห็นนั้นจะมีเนื้อหาสาระ
อ้างถึงผู้พูดว่ามีพฤติกรรมขัดแย้งกับสิ่งที่พูด เช่น ผู้ใหญ่สอนเด็กๆ ว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดี แต่หากผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่เป็นคนพูด เด็กๆ ก็จะเห็นความขัดแย้งที่ผู้ใหญ่สอน
อ้างถึงความน่าสงสาร หรือความเห็นอกเห็นใจ เช่น ผู้หญิงขโมยนมในร้านสะดวกซื้อ เพื่อนำนมไปเลี้ยงลูก โดยอ้างว่าที่ทำไปเพราะยากจน
อ้างถึงคนส่วนใหญ่ปฏิบัติเหมือนกัน เช่น การฝ่าฝืนข้อปฏิบัติจราจร โดยอ้างว่าใครๆ ก็ฝ่าฝืนกัน
ให้เหตุผลโดยสร้างทางเลือกไว้ 2 ทาง แต่ความจริงอาจมีทางเลือกอื่นๆ เช่น นักเรียนถูกเพื่อนคนหนึ่งต่อต้าน เพราะชื่นชอบนักแสดงคนที่เพื่อนคนนั้นไม่ชอบ
ให้เหตุผลเกินกว่าความจริงไปมาก เช่น นักเรียนใส่หน้ากากอนามัยมาโรงเรียน แล้วเพื่อนพูดประชดว่าให้ใส่ชุดปลอดเชื้อมาโรงเรียน
เบี่ยงเบนประเด็นการโต้แย้งของผู้อื่นให้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วโจมตีจากประเด็นที่ถูกบิดเบือนนั้น เช่น การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อการศึกษา แต่ถูกมองว่าใช้เพื่อความบันเทิง และเล่นเกม
อ้างเหตุผลว่ามีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งที่ประเด็นกล่าวอ้างไม่เกี่ยวกับสิ่งที่โต้แย้งอยู่เลย เช่น การใช้ตำแหน่งและหน้าที่ที่สูงผู้อื่น เพื่ออ้างถึงสิทธิพิเศษในการทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ให้เหตุผลโดยเชื่อคนมีชื่อเสียง เช่น การเลือกซื้อสินค้าตามอย่างผู้มีชื่อเสียง แม้สินค้านั้นอาจจะไม่เหมาะสมกับผู้ซื้อก็ตาม
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศมีวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น ใช้งานทั่วไป สนับสนุนการทำงาน ทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (electronic transaction) โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน
การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย
การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น หลังรัฐบาลไทยได้ให้ธนาคารต่างๆ เปิดโครงการพร้อมเพย์ (prompt pay) เพื่อให้การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โอนเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องระมัดระวังและมีความรอบคอบ เช่น เลือกซื้อสินค้าออนไลน์จากผู้ขายที่มีไว้ใจได้ เพื่อป้องกันการฉ้อโกง สินค้าไม่มีคุณภาพ หรือได้รับสินค้าที่ตรงกับข้อมูลที่ปรากฏ
การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์มี 2 รูปแบบ คือ
การทำธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ – ทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายทางสังคมหรือผ่านเว็บไซต์ของผู้ขาย เช่น การจองที่พักโรงแรม, ซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรง
การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการ – ทำธุรกรรมผ่านผู้ให้บริการสนับสนุนการดำเนินการหรือตัวกลาง โดยผู้ให้บริการจะรวบรวมสินค้าและบริการต่างๆ ให้อยู่ในที่เดียว เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและใช้บริการทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ให้บริการ (ตัวกลาง) คอยตรวจสอบผู้ขายและรับประกันในส่วนของสินค้าและบริการ เช่น ebay.com, lazada.co.th, shopee.co.th
สิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องคำนึงถึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คือ อาจถูกมิจฉาชีพฉ้อโกง โดยใช้กลยุทธ์เรื่องราคาและหลักจิตวิทยาในการล่อลวงให้เกิดความโลภ หรือเข้าใจผิด เช่น ขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าปกติมาก ขายสินค้าเลียนแบบโดยให้เข้าใจว่าเป็นสินค้าของแท้
ผู้ใช้บริการควรมีความระมัดระวังในการเลือกชำระค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น
โอนค่าสินค้าผ่านธนาคาร แล้วส่งหลักฐานยืนยันให้ผู้ขายส่งสินค้าในภายหลัง
ชำระเงินภายหลังจากได้รับสินค้า (เก็บเงินปลายทาง)
ชำระผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ซึ่งต้องใช้หมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสยืนยันบัตร (Card Verification Value: CVV) การยืนยันรหัสการทำธุรกรรมโดยใช้รหัสผ่านครั้งเดียว (One Time Password: OTP)
ชำระผ่านตัวกลางชำระเงิน เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ รับชำระเงินโดยเติมเงินเข้ากับบัญชีที่ผูกเข้ากับหมายเลขโทรศัพท์ สามารถทำธุรกรรมได้เสมือนบัญชีธนาคาร
การรู้เท่าทันสื่อ
เป็นความสามารถในการป้องกันตนเองจากการถูกโน้มน้าวด้วยเนื้อหาที่เป็นเท็จและมีผลกระทบต่อผู้รับสื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทางการตลาดหรือผลประโยชน์ที่นำเสนอ การรู้เท่าทันสื่อ ผู้รับสารต้องสามารถตีความ วิเคราะห์ แยกแยะเนื้อหาสาระของสื่อ คิดก่อนนำไปเผยแพร่
การรู้เท่าทันสื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกและจัดสรรเวลาในการใช้สื่อ
เรียนรู้ทักษะการรับสื่อแบบวิพากษ์ วิเคราะห์และตั้งคำถามว่าสื่อนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างไร น่าเชื่อถือหรือไม่
วิเคราะห์สื่อในเชิงสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์
ข่าวลวงและผลกระทบ
ข่าวลวง (fake news) เป็นรูปแบบหนึ่งของการก่อกวน ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเป็นเท็จ มีวัตถุประสงค์แอบแฝงที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อขายสินค้า ทำให้เข้าใจผิด สร้างความสับสน โดยข่าวลวงอาจแพร่ผ่านอีเมล์ หรือเครือข่ายทางสังคม ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง
ผู้รับข่าวสารต้องมีวิจารณญาณเพื่อป้องกันตนเองและผู้อื่น ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและสังคม
ลักษณะของข่าวลวง เช่น
สร้างเรื่องราวเพื่อเป็นจุดสนใจในสังคม
สร้างความหวาดกลัว
กระตุ้นความโลภ
สร้างความเกลียดชัง
กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
การออกข้อกำหนด ระเบียบ และกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ประเทศไทยมีการออกพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และปรับปรุงมีความทันสมัยอย่างสม่ำเสมอ โดยรายละเอียดสามารถศึกษาได้จาก พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560
ที่มา :: https://itpoj.com/2020/07/06/itliteracy/
สรุป พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์: กรณีศึกษาและเนื้อหา 13 เรื่องที่ชาวเน็ตต้องรู้
สรุปเนื้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อะไรบ้างที่ชาวเน็ตไม่ควรทำ ถ้าไม่อยากมีความผิด พร้อมกรณึศึกษาน่ารู้
เราสรุป 13 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ไว้แล้ว
เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ
แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย
ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม
เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ
จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด
นำข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด
ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ
เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเยาวชน ต้องกระทำโดยปกปิดไม่ให้ทราบตัวตน
เผยแพร่เนื้อหาลามก อนาจาร
กด Like & Share ถือเป็นวิธีหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล
แสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ละเมิดลิขสิทธิ์ นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าค่ะว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่กำลังจะพูดถึงนี้คืออะไร
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ค่ะ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้ค่ะ
ปัจจุบันมีคนใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ตโฟนเป็นจำนวนมาก บางคนก็อาจจะใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่บางคนก็อาจใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นในทางอ้อมด้วยก็ได้
เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ซึ่งบางเหตุการณ์ก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเลย เพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ เลยต้องมีพ.ร.บ.ออกมาควบคุม ในเมื่อการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเราเช่นกันค่ะ หากเราไม่รู้เอาไว้ เราอาจจะเผลอไปทำผิด โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้
กรณีศึกษา: การทำผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 ก็มีเคสที่เข้าข่ายกระทำความผิด พ.ร.บ. ออกมาให้เห็นกันบ้างค่ะ เพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น เราเลยขอยกตัวอย่างเคสที่อาจผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาให้อ่านกันค่ะ
เคสแรก เป็นเคสที่ออกข่าวอย่างโด่งดังเช่นกัน เป็นกรณีที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถ่ายรูปตึกที่มีลักษณะเอนๆ พร้อมโพสต์ข้อความประมาณว่า ตึกทรุดตัว ลงบน Facebook เลยทำให้เกิดเป็นประเด็นที่หลายเอาตกอกตกใจไปกันใหญ่ แต่ต่อมาก็มีการเปิดเผยว่า ตึกที่เห็นนั้นเป็นเพียงดีไซน์ของตึกที่ตั้งใจจะให้เอนแบบนั้นอยู่แล้ว เลยทำให้เจ้าของโพสต์ถูกตำรวจเรียกสอบสวน เพราะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (2) นำข้อความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จก่อให้เกิดความตื่นตระหนก
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็สามารถช่วยคุ้มครองผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตได้ด้วย อย่างเช่นกรณีคดีของคุณบริบูรณ์ เกียงวรางกูล ที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าค้นบ้าน โดยอ้างอำนาจตาม มาตรา 44
ซึ่งคุณบริบูรณ์ได้ยื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมต่อศาลว่า ปัจจุบันได้มีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แล้ว โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ยกเลิกข้อความใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเดิม และบัญญัติใหม่ไว้ว่า ห้ามมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ลงโทษกับการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา จึงขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผลก็คือ อัยการศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีบริบูรณ์ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เราก็จะเริ่มเห็นว่า ได้เริ่มมีการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กันอย่างจริงจัง และมีการปรับใช้ให้ตรงตาม พ.ร.บ. ที่แก้ไข ไม่ใช่แค่จับกุมผู้ทำผิด แต่ยังคุ้มครองผู้ที่ไม่มีความผิดใน พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 แล้ว
13 เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และบทลงโทษ
เรามาดูกันต่อกันค่ะว่า แล้วข้อห้ามสำคัญ ที่ชาวเน็ต หรือคนทำงานออนไลน์อย่างพวกเราไม่ควรทำจะมีอะไรบ้าง
1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ
หากเข้าไปเจาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของคนอื่น โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาต (ละเมิด Privacy) หรือในเคสที่เรารู้จักกันดีก็คือ การปล่อยไวรัส มัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่น เพื่อเจาะข้อมูลบางอย่าง หรือพวกแฮคเกอร์ ที่เข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่นก็มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ค่ะ
บทลงโทษ
เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย: จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย
ในข้อนี้จะรวมหมายถึงการทำให้ข้อมูลเสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือจะเป็นในกรณีที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อย่างเช่น กรณีของกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แล้วต่อต้านด้วยการเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม ให้บุคคลอื่นๆ ใช้งานไม่ได้ ก็มีความผิดค่ะ
บทลงโทษ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
Shifu แนะนำ
แต่ถ้าเป็นกรณีกระทำต่อระบบหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตร 12 หรือเข้าถึงระบบ ข้อมูลด้านความมั่นคงโดยมิชอบ จะต้องได้รับโทษจำคุก 3-15 ปี และปรับ 6 หมื่น – 3 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 2 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ต้องจำคุก 5-20 ปี และปรับ 1-2 แสนบาท
3. ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม
ข้อนี้ก็เข้ากับประเด็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือนักการตลาดที่ส่งอีเมลขายของที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับ หรือที่รู้จักกันว่า อีเมลสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook กับ IG ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และยังรวมถึงคนที่ขโมย Database ลูกค้าจากคนอื่น แล้วส่งอีเมลขายของตัวเองค่ะ
บทลงโทษ
ถ้าส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าส่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธตอบรับได้โดยงาน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
Shifu แนะนำ
การทำการตลาดออนไลน์ที่ดี ควรนึกถึงจิตใจของผู้บริโภคเป็นสำคัญค่ะ หากอยากส่งอีเมล ก็ควรที่จะถามความยินยอมจากลูกค้าก่อนว่าเขาต้องการรับข่าวสารจากเราไหม หรือไม่ก็หันมาทำคอนเทนต์ดีๆ อย่าง Inbound Marketing ที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาคุณได้ด้วยความเต็มใจค่ะ
หรือหากอยากทราบเทคนิคการขายบนโลกออนไลน์ที่แตกต่างและได้ผล ลองดูบทความทิ้งเทคนิคการขายแบบเดิมๆ เริ่มต้นวิธีใหม่ๆ และทำกำไร 1 ล้านใน 24 ชั่วโมง
4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ
โพสต์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือความมั่นคงต่อประเทศ หรือโพสต์ที่เป็นการก่อกวน หรือการก่อการร้ายขึ้น ก็มีความผิดค่ะ เพราะมาตรา 12 ได้บอกไว้ว่าการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลทางด้านความมั่งคงโดยมิชอบ หรือการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ที่เข่าข่ายข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก และล่วงรู้ถึงมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย
บทลงโทษ
กรณีไม่เกิดความเสียหาย: จำคุก 1-7 ปี และปรับ 2 หมื่น – 1.4 แสนบาท
กรณีเกิดความเสียหาย: จำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 หมื่น – 2 แสนบาท
กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: จำคุก 5-20 ปี และปรับ 1 แสน – 4 แสนบาท
5. จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด
กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 5-11 (หรือข้อ 1-3 ในบทความนี้) ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
6. นำข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ. เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ในความผิดมาตรา 14 จะระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ข้อความผิดด้วยกันคือ
โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม โฆษณาธุรกิจลูกโซ่ที่หลอกลวงเอาเงินลูกค้า และไม่มีการส่งมอบของให้จริงๆ เป็นต้น)
โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงปลอดภัย
โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย
โพสต์ข้อมูลลามก ที่ประชาชนเข้าถึงได้
เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด (อย่างเช่น กด Share ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็มีความผิดค่ะ )
บทลงโทษ
หากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แต่ในกรณีอย่างหลังนี้สามารถยอมความกันได้)
7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด
กรณีนี้ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่น เพจต่างๆ ที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น แล้วมีความคิดเห็นที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็มีความผิดค่ะ แต่ถ้าหากแอดมินเพจตรวจสอบแล้วพบเจอ และลบออก จะถือว่าเป็นผู้ที่พ้นความผิด
บทลงโทษ
แต่ถ้าไม่ยอมลบออกต้องได้รับโทษ ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตร 14 ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันผู้โพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ แต่ถ้าผู้ดูแลระบบพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ
Shifu แนะนำ
ผู้ให้บริการมีหน้าที่เก็บข้อมูลการใช้งานไม่น้อยกว่า 90 วัน ในกรณีที่จำเป็น ศาลอาจสั่งให้เก็บข้อมูลเพิ่มได้ไม่เกิน 2 ปี
8. ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ
ความผิดข้อนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักคือ
• การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย ก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ค่ะ
• การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
บทลงโทษ
หากทำผิดตามนี้ ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
9. เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเยาวชน ต้องกระทำโดยปกปิดไม่ให้ทราบตัวตน
ข้อนี้มีขึ้นเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน เพราะเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือก็คือยังเป็นเด็กอยู่ หากถูกเปิดเผยตัวตน อาจทำให้ใช้ชีวิตในสังคมได้ลำบากขึ้น อาจเกิดการถูกดูหมิ่น เกลียดชัง หรือโดนตามตัวโดยมิจฉาชีพได้ แต่ข้อห้ามนี้ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกันคือ สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนได้ หากข้อมูลนั้นเป็นการยกย่อง เชิดชู ให้เกียรติ
บทลงโทษ
จำคุก 1-3 ปี และปรับ 2 หมื่น – 2 แสนบาท
10. เผยแพร่เนื้อหาลามก อนาจาร
เป็นเรื่องที่ทราบดีอยู่แล้ว และใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฉบับนี้เอง ก็ห้ามเปิดเผยเนื้อหาลามก อนาจาร สู่สาธารณะ ที่คนอื่นๆ สามารถเห็นได้
บทลงโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
11. กด Like & Share ถือเป็นวิธีหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล
คิดว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับปุ่มไลค์กับปุ่มแชร์บนโลก Social Media หรอกใช่ไหมคะ
และก็เชื่อด้วยว่าวันๆ หนึ่ง เรากดปุ่มพวกนี้กันอยู่เสมอ เมื่อใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดว่าการกด Like & Share ถือเป็นการเผยแพร่ข้อมูล ก็แสดงว่าหากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลปลอม เท็จ หรืออะไรก็ตามแต่ นั่นเท่ากับว่าเราผิดกฎหมาย พ.ร.บ. แล้ว
ดังนั้นก่อนไลค์ก่อนแชร์ ก็พิจารณากันให้ชัวร์นะคะ
บทลงโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12. แสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หากคุณมีเพจเป็นของตัวเอง การหมั่นเช็คข้อความบนหน้าเพจก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากถูกตรวจเจอข้อความที่ผิดกฎหมาย คุณจะมีความผิดด้วย
บทลงโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
13. ละเมิดลิขสิทธิ์ นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
ข้อนี้สำคัญ ควรต้องระวังไว้ให้มาก การนำผลงานของคนอื่นมาเป็นของตนเอง โดยปกติก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว ซึ่งใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็ได้มีการให้โทษกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย โดยหากนำผลงานของผู้อื่นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จะถือว่ามีความผิด และต้องได้รับโทษ
บทลงโทษ
จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สรุป
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือฉบับที่ 2 ปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต ก็ควรจะรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. นี้ไว้ค่ะ เพราะเราจะได้ไม่เผลอไปทำความผิด อย่างน้อยๆ ต้องระวัง 8 ประเด็นที่เราได้เขียนเอาไว้เลยค่ะ อีกทั้งการมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับหนึ่ง และในทางหนึ่งก็ช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้งานด้วย
ที่มา :: https://contentshifu.com/blog/computer-law
การใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม
ผู้ใดต้องการใช้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ (copyright) ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน เพราะกฎหมายให้ความคุ้มครอง แต่ก็มีข้อยกเว้นให้ใช้งานได้บางอย่างโดยไม่ต้องขออนุญาต หรือที่เรียกว่า การใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม (fair use) เช่น ใช้ในการเรียนการสอน การรายงานข่าว แต่ต้องไม่กระทบกับเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยมีหลักพิจารณาดังนี้
วัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งาน (ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าหรือหากำไร ไม่มีเจตนาทุจริต ใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคม)
ลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ์ (พิจารณาจากความพยายามที่ใช้สร้างสรรค์ผลงาน หากผลงานใดที่ใช้ความพยายามสูงในการสร้างสรรค์ ไม่ควรนำผลงานนั้นไปใช้ เช่น นวนิยาย, การรายงานเหตุการณ์ที่เฉพาะ)
ปริมาณของการนำไปใช้ (นำผลงานไปใช้ในปริมาณมาก หรือแม้ใช้ปริมาณน้อยแต่เป็นจุดสำคัญ ถือเป็นการใช้งานที่ไม่เป็นธรรม)
ผลกระทบต่อตลาดหรือมูลค่าของงานอันมีลิขสิทธิ์ (ไม่ขัดต่อการแสวงหาประโชน์ตามปกติของเจ้าของผลงาน เพราะอาจทำให้ผลงานนั้นขายไม่ได้)
ตัวอย่างการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม
การวิจัยหรือศึกษางาน โดยไม่แสวงหากำไร
ผู้สอนทำซ้ำ ดัดแปลงผลงาน เพื่อประกอบการสอน แจกจ่ายในจำนวนจำกัด เพื่อประโยชน์ในการสอน
นำงานลิขสิทธิ์มาใช้เพื่อสังคม โดยคัดลอก ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมสิ่งใหม่
คัดลอกคำกล่าวหรือบทความโดยย่อ
รายงานข่าว งานวรรณกรรม ในปริมาณไม่เกิน 10% หรือ 1000 คำ ใช้ภาพไม่เกิน 6 ภาพ
รายงานข่าวโดยใช้มิวสิควิดีโอไม่เกิน 10% หรือ 30 วินาที
ตัวอย่างการใช้งานลิขสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม
การดาวน์โหลดเพลงผู้อื่นไปขาย
ผู้สอนถ่ายเอกสารหนังสือเรียนเพื่อขายกับผู้เรียนจำนวนมาก ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์สูญเสียรายได้
นำไปใช้มีเจตนาทุจริต ไม่อ้างอิงเจ้าของลิขสิทธิ์ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นผลงานของตนเอง
ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้ (shareware) อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหมดอายุการใช้งาน
ที่มา :: https://itpoj.com/2020/07/06/itliteracy/