หลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง ซึ่งต้องบอกว่าหลักการดังกล่าวไม่ใช่ใช้ได้เพียงกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพวกเราเท่านั้น ธรรมชาติเองก็ได้จัดสร้างระบบนิเวศน์ต่าง ๆ ขึ้นมา แล้วมีการสร้างความสมดุล เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในวงจรชีวิตหรือระบบนิเวศน์นั้น ๆ และแม้แต่ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต ธรรมชาติก็ได้สร้างให้มีข้อดี ข้อเสียเพื่อให้โลกใบนี้อยู่อย่างยั่งยืนนี้ด้วยเช่นกัน
พลังงานความร้อน ถูกนำมาใช้มากมายทั้งในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรมการผลิต ใช้ในอาคารสำนักงาน หรือในโรงงานต่างๆ เพื่อทำความร้อนภายในอาคาร ทำน้ำร้อนในระบบปะปา เป็นต้น ที่ผ่านมาการทำความร้อนมักจะใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันด้วยความต้องการที่จะประหยัดพลังงานให้มากขึ้น และความคุมการปล่อย CO2 เพื่อป้องกันสภาวะโลกร้อน จึ่งมีการพัฒนาเครื่องทำความร้อนชนิดใหม่ คือ Heat Pump เป็นทางเลือกในการให้พลังงานความร้อนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่ง Heat Pump ยังสามารถนำเอาพลังงานความร้อนของระบบทำความเย็น หมุนเวียนกลับมาใช้ได้ใหม่ แทนที่จะปล่อยทิ้งเสียเปล่าอีกด้วย
Airbus หนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารรายใหญ่ของโลก ประกาศเปิดตัว ZEROe เครื่องบินต้นแบบรักสิ่งแวดล้อม ที่ใช้พลังงานจากไฮโดรเจนเพื่อขับเคลื่อน แทนที่น้ำมันแบบเดิมๆ ไม่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
Climeworks บริษัทพัฒนาด้านพลังงานในสวิสเซอร์แลนด์ได้คิดค้นเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศสำเร็จ ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า DAC (Direct Air Capture) นวัตกรรมนี้ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ในการดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บและแปรสภาพเพื่อใช้ในเชิงอุตสาหกรรม
ข้อมูลจากรายงานการคาดการณ์ประชากรของประเทศไทยระหว่างปี 2553-2583 ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอต่อรัฐบาล ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์เกี่ยวกับโครงสร้างประชากรของประเทศไทยใน พ.ศ. 2563 นี้ มีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวนประมาณ 12 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ในปี พ.ศ. 2583 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว โดยตัวเลขผู้สูงอายุของไทย จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 20.42 ล้านคนในปี 2583 ส่วนประชากร “วัยแรงงาน” ช่วงอายุ 15-59 ปี ในปี 2563 มีจำนวนประมาณ 43.26 ล้านคน แต่มีแนวโน้มลดลงเป็น 36.5 ล้านคนในปี 2583 กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าอัตราส่วน “วัยแรงงาน” ต่อ “ผู้สูงอายุ” จะลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในปี 2563 มีวัยแรงงาน 3.6 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ลดลงเหลือวัยแรงงาน 1.8 คน ต่อผู้สุงอายุ 1 คนในช่วงปี 2583 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสังคมผู้สูงอายุ