เนื้อหาบทเรียน

อินเทอร์เน็ต(Internet)

เป็นระบบเครือข่ายคอมผิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมผิวเตอร์จำนวนมาก บนโลกใบนี้เข้าด้วยกัน โดยแต่ละเครือข่ายจะต้องมีแม่ข่าย (Server) ที่เรียกว่า โฮสต์ (Host) เป็นคอมพิวเตร์ศูนย์กลางทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ

องค์ประกอบของอินเทอร์เน็ต

1.ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP

หมายถึง หน่วยงาน หรือ องค์กรผู้ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต แก่บุคคลทั่วไป โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดของไทย คือการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ กสก. แล้วเชื่อมโยงไปยังผู้ให้บริการรายอื่น เช่น TOT, 3BB, True, AIS ซึ่งจะเชื่อมไปยังผู้ใช้งานตามบ้านเรือนและบริษัทต่าง ๆ

2.การเชื่อมต่อญาณความเร็วสูง ใยแก้วนำแสง (Optical Fiber)เป็นสายสัญญาณกชนิดหนึ่งที่ทำจากเส้นใยพิเศษที่สามารถรับ - ส่งข้อมูลได้ดีกว่าสายโทรศัพท์ทั่วไปและ

3.การสื่อสารแบบไร้สาย

เป็นระบบการสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุและคลื่นไมโครเวฟ รับ-ส่งสัญญาณแบบไร้สายจากดาวเทียม

4.เร้าเตอร์(Router) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบสัญญาณข้อมูลระหว่างอะนาล็อกและดิจิทัล

ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของเร้าเตอร์มีหน่วยเป็นบิตต่อนาที (bps)

5.คอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client)

เป็นคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่รับ - ส่งข้อมูลมาจากเครื่องแม่ข่าย อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะเครื่องโน้ตบุ๊ค เครื่อง แล็ปท็อป ฯลฯ ก็จัดเป็นเครื่องลูกข่ายทั้งสิ้น

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมโดยเลือกใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์

ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งถ้าโปรแกรมพัฒนาขึ้นเพื่อความต้องการเฉพาะขององค์การใดองค์การหนึ่ง จะเรียกซอฟต์แวร์ประเภทนี้ว่า ซอฟต์แวร์เฉพาะงาน (Custom program หรือ Tailor-made software) ซึ่งข้อดีคือ โปรแกรมสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความประสงค์ของหน่วยงาน แต่ข้อเสียคือซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะใช้เวลาในการพัฒนานานและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่ใช้สำหรับงานทั่ว ๆ ไป (General purpose software) หรือบางครั้งเรียกว่า โปรแกรมสำเร็จรูป (Package software) เป็นซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial software) ที่ผู้ใช้สามารถซื้อไปประยุกต์ใช้งานได้ทันที


ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์

ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐานและซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน หากคุณต้องการใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสาร คำนวณ จัดการหลักฐานข้อมูล และทำงานนำเสนอ สามารถเลือกใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน สำหรับซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงานเป็นซอฟต์แวร์ สำหรับงานเฉพาะอย่างและสำหรับแต่ละสาขาอาชีพ ซึ่งจะรวมถึงซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับเว็บด้วย ตัวอย่างเช่น นักออกแบบกราฟิกใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ในการจัดการเกี่ยวกับภาพกราฟิกต่าง ๆ และบริษัทสายการบินใช้โปรแกรมขายตั๋วเครื่องบินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

โดยทั่วไปซอฟต์แวร์ประยุกต์จะถูกติดตั้งในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือขององค์การแต่ไม่นานมานี้มีซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งลงในเครื่องของตนเอง แต่สามารถใช้งานผ่านเว็บได้ การใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ทำงานผ่านเว็บกำลังเป็นที่นิยมมากในระบบธุรกิจ เรียกซอฟต์แวร์ประยุกต์แบบนี้ว่า ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ทำงานผ่านเว็บ หรือ เว็บเบสแอพพลิเคชัน (Web based application)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน

ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน (Basic application) หรือบางครั้งเรียกว่าซอฟต์แวร์ประยุกต์อเนกประสงค์ (General-purpose application) หรือ ซอฟต์แวร์ช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity application) เป็นซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ โปรแกรมประมวลคำ โปรแกรมตารางทำงาน โปรแกรม นำเสนอ และโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล

1. โปรแกรมประมวลผลคำ

โปรแกรมประมวลผลคำ (Word processor) เป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ใช้ในการสร้างเอกสาร (Document) ซึ่งมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือตามองค์กรต่าง ๆ ใช้ในการสร้างงานเอกสารต่าง ๆ เช่น บันทึก จดหมาย คู่มือ และแผ่นพับ นอกจากนี้โปรแกรมประมวลผลคำยังสามารถใช้สำหรับการสร้างเว็บเพจส่วนตัวได้ด้วย โปรแกรมประมวลผลคำที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่ Microsoft Word, Corel WordPerfect และ Lotus word Pro

2.โปรแกรมตารางทำการ

โปรแกรมตารางทำงาน (Spreadsheet program) ใช้สำหรับคำนวณ วิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นตัวเลข และสร้างแผนภูมิ เช่น งบประมาณและรายงานทางการเงิน นิยมสำหรับผู้ใช้ในเกือบทุกสาขาอาชีพ เช่น ด้านการศึกษา อาจารย์ใช้เก็บข้อมูล คำนวณ หาค่าเฉลี่ย และผลการเรียนของนักศึกษา ด้านการตลาด อาจใช้สำหรับวิเคราะห์แนวโน้มเกี่ยวกับการขาย ด้านการเงิน อาจใช้สำหรับประเมินและวาดกราฟแนวโน้มราคาหุ้น

โปรแกรมตารางทำการที่นิยมใช้กันมากมีอยู่ 3 โปรแกรม ได้แก่ Microsoft Excel, Corel Quattro Pro และ Lotus 1-2-3

โปรแกรมตารางทำการ ใช้สำหรับจัดการข้อมูลที่เป็นตัวเลขและการสร้างไฟล์ข้อมูล ข้อมูลจะถูกเก็บ ไว้ในไฟล์สมุดงาน (Workbook file) ซึ่งประกอบด้วยแผ่นงาน (Worksheet) หรือแผ่นตารางทำการ (Spreadsheet) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ชีท (Sheet) จำนวนหนึ่งแผ่นหรือมากกว่า แผ่นงานแต่ละแผ่นจะมีเส้นแบ่งระหว่างแถวและคอลัมน์ คอลัมน์จะถูกอ้างถึงโดยใช้ตัวอักษร แถวจะถูกอ้างถึงโดยใช้ตัวเลข ส่วนที่ตัดกันระหว่างแถวกับคอลัมน์ เรียกว่า เซลล์ (Cell) ตัวอย่างเช่น เซลล์ D8 เป็นส่วนที่ตัดกันระหว่างคอลัมน์ D และแถวที่ 8

3. โปรแกรมนำเสนอ

โปรแกรมนำเสนอ (Presentation program) ใช้เพื่อสร้างงานนำเสนอที่น่าสนใจและมีลักษณะเป็นมืออาชีพ นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารข้อความ หรือชักจูงบุคคลให้มีความสนใจได้ ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการฝ่ายการตลาดจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางด้านการตลาด พนักงานขายนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ นักศึกษาใช้เพื่อนำเสนอรายงานที่ค้นคว้ามาได้ โปรแกรมนำเสนอที่นิยมใช้มี 3 โปรแกรม คือ Microsoft PowerPoint, Corel Presentations และ Lotus Freelance Graphics ไฟล์งานนำเสนอจะประกอบด้วยภาพนิ่ง (Slide) หลาย ๆ ภาพ โปรแกรมสร้างงานนำเสนอบางโปรแกรมมีการใช้วิซาร์ด (Wizard) อัตโนมัติช่วยแนะนำผู้ใช้ให้สามารถสร้างงานนำเสนอได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมีเครื่องมือใช้เลือกสี โครงร่าง แม่แบบ ลูกเล่นต่าง ๆ และต้นแบบภาพนิ่ง

4. โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล

ฐานข้อมูล (Database) เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ระบบจัดการฐานข้อมูล (Data base Management System : DBMS) เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับทำโครงสร้างของฐานข้อมูล และมีเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับพิมพ์ แก้ไข และดึงข้อมูล ระบบจัดการฐานข้อมูลที่ออกแบบมาใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์และได้รับความนิยม ได้แก่ Microsoft Access, Corel Paradox และ Lotus Approach ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational database) เป็นฐานข้อมูลแบบโครงสร้างที่นิยมใช้กันมากที่สุด ข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ในตาราง (Table) ที่มีความสัมพันธ์กัน แต่ละตารางจะประกอบด้วยแถวที่เรียกว่า ระเบียน หรือ เรคอร์ด (Record) และคอลัมน์ที่เรียกว่า ฟิลด์ (Field) แต่ละ เรคอร์ด ประกอบฟิลด์ของสิ่งที่ต้องการเก็บข้อมูล เช่น บุคคล สถานที่ หรือสิ่งของ

ระบบจัดการฐานข้อมูลได้จัดเตรียมเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับสร้างและใช้ฐานข้อมูล เช่น เครื่องมือในการเรียงลำดับเรคอร์ดตามฟิลด์ที่เลือก แต่อย่างไรก็ตามประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของระบบจัดการฐานข้อมูลคือ ความสามารถในการค้นหาและดึงข้อมูลที่อยู่ในตารางต่าง ๆ ที่แยกกันได้โดยการใช้เครื่องมือในการสอบถามข้อมูล ฟอร์ม และรายงาน การสอบถามข้อมูล (Query) เป็นการเรียกค้นหาข้อมูลที่ต้องการฟอร์มจะมีลักษณะคล้ายแบบฟอร์มในกระดาษเพียงแต่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ประโยชน์ของฟอร์มคือใช้สำหรับเพิ่มข้อมูลเรคอร์ดใหม่หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่มีอยู่ ข้อมูลจากตารางและการสอบถามสามารถนำไปใช้สร้างรายงาน (Report) ได้