ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารตามความคิดเห็นของพนักงานและพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานในอุตสาหกรรมการผลิต
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารตามความคิดเห็นของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมและพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานในอุตสาหกรรมการผลิต ประชากรได้แก่ พนักงานปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test, F-test และค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารตามความคิดเห็นของพนักงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ ได้แก่ ด้านความรู้ความสามารถ ด้านบุคลิกภาพ ด้านทางสังคม และด้านบทบาทหน้าที่ พนักงานที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมแตกต่างกัน ยกเว้นปัจจัยด้านเพศและระยะเวลาการทำงาน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 2) พฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานอยู่ในระดับมาก พนักงานที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานไม่แตกต่างกัน ยกเว้นปัจจัยด้านระยะเวลาการทำงาน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารตามความคิดเห็นของพนักงานมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานในเชิงบวกในระดับปานกลาง ที่ระดับนัยสำคัญ 0.01
อรวรางค์ จันทร์เกษม วรกมล วิเศษศรี และสุภัททา ปิณฑะแพทย์ (2558) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารตามความคิดเห็นของพนักงานและพฤติกรรมมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการทำงานของพนักงานในอุตสาหกรรมการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. คณะศิลปศาสตร์ประยุก วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์. ปีที่ 8, ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 58), หน้า 138-144
https://tdc.thailis.or.th/tdc/browse.php
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู และ 3) วิเคราะห์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 336 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.40, S.D. = 0.48) โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการสื่อสารดิจิทัล ด้านการสร้างวัฒนธรรมการใช้ดิจิทัล ด้านการรู้และใช้ดิจิทัล และด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ตามลำดับ 2. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.44, S.D. = 0.40) โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้ดังนี้ ด้านหลักสูตรและเนื้อหาความรู้ ด้านกิจกรรมและการจัดการเรียนรู้ และด้านการวัดและประเมินผล ตามลำดับ 3. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู พบว่า ด้านการสร้างวัฒนธรรมการใช้ดิจิทัล และด้านการสื่อสารดิจิทัลส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู สามารถอธิบายความแปรปรวนของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครูได้ ร้อยละ 45.80 ในขณะที่ด้านการรู้และใช้ดิจิทัล และด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ไม่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู
ชาญชัย ประพาน สุภาวดี วงษ์สกุล ตวงทอง นุกูลกิจ (2567) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ปีที่ 11 ฉบับที่ 2 (2024): พฤษภาคม - สิงหาคม
บทความวิจัย
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย
Abstract: การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย โดยจำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.870 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานโดยใช้สูตร T-test (Independent Samples) ค่าความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) จากผลการศึกษาพบว่า ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาผลการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การมีคุณธรรมจริยธรรม การมีวิสัยทัศน์สู่การเปลี่ยนแปลง การมีส่วนร่วมและการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม และการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม 2) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามวุฒิการศึกษา พบว่า ด้านความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม ด้านการมีวิสัยทัศน์สู่การเปลี่ยนแปลง ด้านการมีส่วนร่วมและการทำงานเป็นทีม และด้านการมีคุณธรรมจริยธรรม แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า ด้านความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม ด้านการมีวิสัยทัศน์สู่การเปลี่ยนแปลง ด้านการมีส่วนร่วมและการทำงานเป็นทีม และด้านการมีคุณธรรมจริยธรรม แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
พัชญ์วิสา จันทพิมพ์(2565). การศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย. วิทยานิพนธ์. มหาวิทยาลัยพะเยา.
https://tdc.thailis.or.th/tdc/browse.php?option=show&browse_type=title&titleid=609854&query=%C0%D2%C7%D0%BC%D9%E9%B9%D3%E0%AA%D4%A7%B9%C7%D1%B5%A1%C3%C3%C1&s_mode=any&d_field=&d_start=0000-00-00&d_end=2568-04-20&limit_lang=&limited_lang_code=&order=&order_by=&order_type=&result_id=38&maxid=125
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 316 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามการวิจัยแสดงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ (1) การมีบุคลิกภาพเชิงนวัตกรรม (2) การสร้างบรรยากาศองค์กรแห่งนวัตกรรม และ (3) การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม ซึ่งผลการตรวจเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโครงสร้างเชิงองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า ค่าวัดระดับความกลมกลืน คือ Chi-square (χ2) = 365.146, df =302, χ2/df (CMIN/DF) = 1.209, RMR = 0.016, RMSEA = 0.026, GFI = 0.992, AGFI = 0.930, TLI= 0.988 และ CFI=0.992 แสดงว่ารูปแบบโมเดลการวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเชิงยืนยัน มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังนั้นผู้บริหารควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้มีทักษะการเป็นผู้นำเชิงนวัตกรรม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเพื่อให้การดำเนินงานของของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบรรลุผลตามเป้าหมายและมีความยั่งยืน
วุฒิพงศ์ รงค์ปราณี ชิษณุพงศ์ ทองพวง และไพศาล จันทรังษี (2564) องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน ปีที่ 27 ฉบับที่ 4 (2021): ตุลาคม - ธันวาคม 2564 ; 91
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUTJ/article/view/247126
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ข้าราชการครู จำนวน 346 คน ได้มาจากการได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซีและมอร์แกนแล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่ายตามลำดับ เครื่องมือที่ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบคำถามปลายเปิด โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยการทดสอบค่าที และค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. ผลเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการแสดงเป็นแบบฉบับให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรให้โอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนให้บุคลากรสามารถนำตนเองได้ของผู้บริหารสถานศึกษา และการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ
นาย เทพรัตน์ ศรีคราม (2562) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต32. บุรีรัมย์ : วิทยานิพพนธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://www.thaiedresearch.org/Detail/preview/1173
Early Childhood Education as an Instrument for Good Governance in Nigeria
This paper examined Early Childhood education as an instrument for good governance in Nigeria. Good governance, is a situation whereby those in power decides what is to be implemented or not without making the governed feel marginalized. Good governance requires certain characteristics before one can say it is good. Characteristics like accountability, vividness, responsive participatory attributes, effectiveness and efficiency in duties, follow up of all the due process of the law are needed. In Nigeria, Early Childhood education is an education given to children in a formal school setting. It starts from 0-8 years, which means that the child starts from crèche through primary three to acquire this education. At this stage, children are taught social norms and social skills like friendship, volunteering, sympathy, kindness, empathy, truthfulness and accountability. It has been observed that most developing nations are experiencing the problem of under-development economically, socially, politically and morally to mention but a few. This problem could be traced to negligence, nonchalant attitude as well as unawareness of what good early childhood education entails on the part of parents and teachers. Since good governance is directly related to social and moral habits, good governance cannot be achieved if people being governed are socially and morally undeveloped, which may be due to the fact that they do not have good social skills due to lack of training at the early childhood stage of education. Therefore, the good governance characteristics for the future leaders should be imbibed in early childhood education. Hence, there is need for the government to encourage parents to enroll their children in early childhood education.
การศึกษาปฐมวัยเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองที่ดีในไนจีเรีย
อกสารฉบับนี้ได้ศึกษาการศึกษาปฐมวัยในฐานะเครื่องมือสำหรับการปกครองที่ดีในไนจีเรีย การปกครองที่ดีคือสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะดำเนินการอะไรหรือไม่โดยไม่ทำให้ผู้ถูกปกครองรู้สึกว่าถูกละเลย การปกครองที่ดีต้องมีลักษณะบางประการจึงจะกล่าวได้ว่าดี จำเป็นต้องมีลักษณะเช่น ความรับผิดชอบ ความมีชีวิตชีวา คุณลักษณะการมีส่วนร่วมที่ตอบสนอง ความมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ การติดตามกระบวนการตามกฎหมายทั้งหมด ในไนจีเรีย การศึกษาปฐมวัยเป็นการศึกษาที่มอบให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 0-8 ปี ซึ่งหมายความว่าเด็กจะต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในระยะนี้ เด็กๆ จะถูกสอนบรรทัดฐานทางสังคมและทักษะทางสังคม เช่น มิตรภาพ การอาสาสมัคร ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา ความเข้าอกเข้าใจ ความจริงใจ และความรับผิดชอบ จากการสังเกตพบว่าประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาด้านการพัฒนาที่ไม่เพียงพอทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และศีลธรรม เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้อาจสืบเนื่องมาจากความประมาท ทัศนคติที่ไม่ใส่ใจ ตลอดจนความไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยที่ดีในส่วนของผู้ปกครองและครู เนื่องจากการปกครองที่ดีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนิสัยทางสังคมและศีลธรรม การปกครองที่ดีจึงไม่สามารถบรรลุผลได้หากประชาชนภายใต้การปกครองไม่มีการพัฒนาทางสังคมและศีลธรรม ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้คนเหล่านี้ไม่มีทักษะทางสังคมที่ดีเนื่องจากขาดการฝึกอบรมในช่วงปฐมวัยของการศึกษา ดังนั้น คุณลักษณะของการปกครองที่ดีสำหรับผู้นำในอนาคตจึงควรได้รับการปลูกฝังไว้ในการศึกษาปฐมวัย ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสนับสนุนให้ผู้ปกครองส่งบุตรหลานของตนเข้าเรียนการศึกษาปฐมวัย
Okoroafor, Nnenna Clara; Akande, Eniola Olutoyosi; Ikuenomore, Mosunmola Grace; Onuegbu, Ijeoma Evelyn(2020). Early Childhood education as an instrument for good governance in Nigeria. Journal of Practical Studies in Education, v3 n3 p1-6 2022
https://eric.ed.gov/?q=good+governance&id=EJ1340945