Post date: Oct 6, 2015 12:25:45 PM
สมัยที่ผมศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น (2010-2015)การสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น Monbukagakusho มีสองแบบ คือ
แบบสมัครผ่านสถานฑูต (Embassy Recommended)
แบบสมัครผ่านมหาวิทยาลัยที่มีข้อตกลงร่วมกัน (University Recommended)
ทั้งสองแบบนี้ ขั้นตอนการสมัคร การสอบ ระยะเวลาการให้ทุน และรายละเอียดอื่นๆ จะ ไม่เหมือนกัน
แบบสมัครผ่านสถานฑูต (Embassy Recommended)
การเปิดรับสมัคร : เดือนพฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงเปิดเทอม 1 ของปี 4
การสอบ : 2 รอบ คือ รอบข้อเขียน และ รอบสัมภาษณ์
คนที่มีสิทธิ์สมัคร : สัญชาติไทย มีเกรดเฉลี่ยจนถึงวันสมัครไม่น้อยกว่า 3.50/4.00 แต่ถ้าไม่ถึงนั้น ก็จะต้องมีผลสอบภาษาญี่ปุ่น มาด้วย ตามเกณท์ ที่ระบุในนี้ครับ http://www.th.emb-japan.go.jp/th/index.htm
หลักฐานที่ต้องใช้
Transcript of Record
ใบรับรองว่าจะจบก่อนวันเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ขอได้ที่ common or graduate office ของแต่ละ มหาวิทยาลัย
Recommendation Letter -- เดินเข้าไปขอ ให้อาจารย์เขียนให้ อันนี้ก็ใช้เวลานะครับ อ. บางท่านงานยุ่ง อาจจะใช้เวลาเป็นอาทิคย์
Application Form -- ในใบสมัคร จะมีช่องที่ให้กรอก ว่า อยากไปเรียนที่ไหน ควรใช้เวลาศึกษา ให้ดี เพราะ ถ้า ต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ เค้าจะถามเราเกี่ยวกับที่เรากรอกไปนี่แหละครับ
Study plan เค้าจะให้ส่งพร้อมกับใบสมัครเลย study plan ของน้อง ควรจะเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองได้เรียนมาแล้ว และสิ่งที่ตัวเองอยากจะศึกษาต่อ รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเป็นญี่ปุ่น น้องควรจะค้นหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนจะเขียนนะครับ โดยเฉพาะ Professor กับ Laboratory อันนี้น้องต้องมีไว้ในใจก่อนเลย อย่างน้อย 1-2 แห่ง study plan อันนี้จะมีผลอย่างยิ่งเลยน้อง ถ้าน้องผ่านรอบข้อเขียนไปได้ เพราะการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะอ้างอิงจาก plan ครับ
พร้อมแล้วก็เอาไปส่งที่สถานฑูตญี่ปุ่น กรุงเทพ ไกล้สวนลุมพินี หรือ ที่เชียงใหม่ ก็ได้
ถ้าสมัครได้แล้ว ทันเวลา ต้องสอบข้อเขียนครับ ข้อสอบข้อเขียน ให้หาตัวอย่างข้อสอบเก่า โหลดได้ในอินเตอร์เน็ต มาทำครับ สอบที่วิศวะฯ จุฬาฯ นะครับปีผม ข้อสอบข้อเขียน จะเหมือนของ ม ปลายคับ มีสามวิชาคือ English, Maths, แล้วก้ออีกวิชาตามสาขา...ซึ่งของน้องพี่คิดว่าคงหนีไม่พ้น Physics ล่ะคับ ข้อสอบก็...ยากแหล่ะคับ ^ ^ ทางที่ดีน้องน่าทบทวนเนื้อหา ม ปลายซักหน่อย
รอบข้อเขียนเค้าจะคัด candidate เหลือแค่ประมาณ 100 คน ส่วนหลังรอบสัมภาษณ์นั้นจะคัดออกอีกครึ่งหนึ่ง เหลือแค่ 50 นะครับ
จำนวนที่รับ : ต่อปีสำหรับระดับบัณฑิตศึกษา คือ 50 คน แบ่งเป็นสายเทคโนโลยี และสาย สังคม อย่างละครึ่ง
สำหรับรายละเอียดทั้งหมด จริงๆ ศึกษาได้จากเวบของสถานทูตตามนี้เลยครับ
http://www.th.emb-japan.go.jp/th/index.htm
แบบสมัครผ่านมหาวิทยาลัยที่มีข้อตกลงร่วมกัน (University Recommended)
2.1 แบบนี้ต่างอย่างไรกับแบบแรก ?
แบบนี้ต้องคอยติดตามเอกสารที่ทางมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นส่งมาที่คณะ/ภาควิชาของเราเอง คนที่สนใจ สามารถสอบถาม อ. ได้ทุกช่วงเวลา อ.เค้าจะมีหนังสือ เก่าๆ ของปีที่แล้วอยู่แล้ว และข้อกำหนดต่างๆ ก็จะไม่ต่างกันมากในแต่ละปี
แบบที่สองจะเดินทาง ช่วงเดือน ตุลาคม ซึ่งต่างกับแบบแรก ที่เดินทางไป ช่วงเดือนเมษายน ส่วนเรื่อง ผลประโยชน์อื่นๆ เช่น เงินทุน แต่ละเดือน นั้น ได้เท่ากับ นักศึกษาในแบบแรกเลย
2.2 เอกสารที่ใช้สมัคร และคุณสมบัติที่ต้องการ ไม่เหมือนกันทั้งหมด ในแต่ละมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษา ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจ ควรมีคะแนนสอบสากลเก็บไว้ด้วย เช่น TOEFL IELTS และ GRE(อันนี้บางมหาวิทยาลัย require) ...
2.3 การสอบ : โดยมากแล้ว สอบสัมภาษณ์อย่างเดียว แถมเป็นการสัมภาษณ์ผ่านอีเมล รึไม่ก้อ video conference ด้วย ถ้ามหาวิทยาลัยที่สมัครมี MOU กับ สถาบันของน้องด้วยแล้ว อาจจะขอได้ง่ายขึ้นนะครับ
Credit รวบรวมข้อมูล มาจากเว็บบอร์ด SIIT