แผนการจัดการเรียนรู้
หน่วยที่ 1
หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562
สัปดาห์ครั้งที่ 1-2
รหัสวิชา 20204-2009 ชื่อวิชา จริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ ท-ป-น 2-0-2
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ จริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ ทฤษฎี 4 ชั่วโมง ปฏิบัติ 0 ชั่วโมง
สาระสำคัญ
สังคมสารสนเทศเป็นสังคมใหม่ เพื่อให้การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมเป็นไปโดยสันติและสงบสุข เอื้อ ประโยชน์ซึ่งกันและกัน จึงต้องมีกฎเกณฑ์ที่มาก าหนดควบคุมเพื่อให้สังคมดังกล่าวให้มีความสงบเรียบร้อย ในปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจ าวัน มีการใช้คอมพิวเตอร์ และ ระบบสื่อสารกันมาก ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ไม่ถูก ไม่ควร ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องมี กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บังคับควบคุมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเมื่อมีกฎหมายออกมาบังคับใช้ แล้ว ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้
สมรรถนะประจำหน่วย
1. เรียนรู้ในเรื่องจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์
2. นำหลักจริยธรรมมาประยุคในชีวิตประจำวัน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ (ด้านความรู้)
2. สรุปประโยชน์ของจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ (ด้านทักษะ)
3. เรียนรู้การนำ จริยธรรมมาประยุคใช้กับการทำงานคอมพิวเตอร์ (ด้านเจตคติ)
4 เพื่อมีจิตสำนึกที่ดีเกี่ยวกับสังคม (ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
อธิบายจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ (ด้านความรู้)
อธิบายแนวคิดหลักจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ (ด้านความรู้)
สรุปประโยชน์ของหลักจริยธรรมและกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ (ด้านทักษะ)
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกอบด้วยมาตราต่างๆ รวมทั้งสิ้น 30 มาตรา
1.1 ส่วนทั่วไป บทบัญญัติในส่วนทั่วไปประกอบด้วย มาตรา 1 ชื่อกฎหมาย มาตรา 2 วันบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 3 คำนิยาม และมาตรา 4 ผู้รักษาการ
1.2 หมวด 1 บทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีทั้งสิ้น 13 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 5 ถึงมาตรา 17 สาระสำคัญของหมวดนี้ว่าด้วยฐานความผิด อันเป็นผลจากการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัย ของระบบสารสนเทศโดยเป็นการกระทำความผิดที่กระทบต่อการรักษาความลับ (Confidentiality) ความครบถ้วนและความถูกต้อง (Integrity) และความพร้อมใช้งาน (Availability) ของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ ยกเว้นมาตรา 16 ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการตัดต่อหรือดัดแปลงภาพ ซึ่งยังคงกำหนดให้เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ เพราะความเสียหายมักเกิดขึ้นเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น คู่คดีสามารถหาข้อยุติและสรุปตกลงความเสียหายกันเองได้ ซึ่งต่างจากมาตราอื่นๆ ในหมวดนี้ ที่ผลของการกระทำผิดอาจไม่ใช่เพียงแค่กระทบบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจกระทบต่อสังคม ก่อเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
2.1 กฎหมายนี้รับรองการทำธุรกรรมด้วยเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 2.2 ศาลจะต้องยอมรับฟังเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าศาลจะต้องเชื่อว่าข้อความอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นข้อความที่ถูกต้อง 2.3 ปัจจุบันธุรกิจจำเป็นต้องเก็บเอกสารทางการค้าที่เป็นกระดาษจำนวนมาก ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายและความไม่ปลอดภัยขึ้น กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้ธุรกิจสามารถเก็บเอกสารเหล่านี้ในรูปไฟล์อิเล็กทรอนิกส์
2.4 ปกติการทำสัญญาบนเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีการระบุวันเวลาที่ทำธุรกรรมนั้นด้วย ในกรณีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้นได้ให้ข้อวินิจฉัยเวลาของธุรกรรมตามมาตรา 23
2.5 มาตรา 25 ระบุถึงบทบาทของภาครัฐในการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้อำนาจหน่วยงานรัฐบาลสามารถสร้างระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ในการให้บริการประชาชนได้ โดยต้องออกประกาศ หรือกฎกระทรวงเพิ่มเติม
2.6 ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์หรือลายมือชื่อดิจิทัลของผู้ประกอบถือเป็นสิ่งสำคัญและมีค่าเทียบเท่าการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเก็บรักษาใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์นี้ไว้เป็นความลับ และมาตรา 27
กฎหมายลิขสิทธิ์ภายใต้พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2537 ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการใช้งานโดยธรรม (Fair Use) ก็คือมาตรา 15 ที่มีสาระสำคัญในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์
1) พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างไร
2) ลักษณะของข้อมูลที่จะนำไปใช้ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็น
3) จำนวนและเนื้อหาที่จะคัดลอกไปใช้เมื่อเป็นสัดส่วนกับข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ทั้งหมด
4) ผลกระทบของการนำข้อมูลไปใช้ที่มีต่อความเป็นไปได้ทางการตลาดหรือคุณค่าของงานที่มีลิขสิทธิ์นั้น
1) วิจัยหรือศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
2) ใช้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
3) ติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
4) เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
5) ทำสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในจำนวนที่สมควรโดยบุคคลผู้ซึ่งได้ซื้อหรือได้รับโปรแกรมนั้นมาจากบุคคลอื่นโดยถูกต้อง เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบำรุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย
6) ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย หรือในการรายงานผลการพิจารณาดังกล่าว
7) นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ
8) ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในกรณีที่จำเป็นแก่การใช้
9) จัดทำสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บรักษาไว้สำหรับการอ้างอิง หรือค้นคว้า เพื่อประโยชน์ของสาธารณชน
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
2. ความถูกต้องแม่นยำ (Information Accuracy)
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
ปัจจุบันรูปแบบในการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้มีหลากหลายรูปแบบ โดยในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ก็ได้มีมาตราต่างๆ เพื่อรองรับต่อรูปแบบของการกระทำดังกล่าวตั้งแต่มาตรา 5 ถึง มาตรา 16 ดังมีรายละเอียดดังนี้
1.1 สปายแวร์
1.2 สนิฟเฟอร์ คือโปรแกรมที่คอยดักฟังการสนทนาบนเครือข่าย
1.3 ฟิชชิ่ง
ผู้กระทำผิดกระทำการเรียกว่า มะลิซเชิส โค้ด (Malicious Code) ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น ไวรัส เวิร์ม หรือหนอนอินเทอร์เน็ต และโทรจัน
โจมตีอีกรูปแบบหนึ่งคือ ดิไนออล อ๊อฟ เซอร์วิส (Denial of Service
หนอนอินเทอร์เน็ต (Internet Worm)
โทรจัน (Trojan)
โค้ด (Exploit)
ข่าวไวรัสหลอกลวง (Hoax)
การแพร่กระจายของไวรัสปริมาณมากในเครือข่าย
การส่งแพ็กเก็ตจำนวนมากเข้าไปในเครือข่ายหรือ ฟลัดดิ้ง (flooding)
การโจมตีข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์
การขัดขวางการเชื่อมต่อใดๆ ในเครือข่ายทำให้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายไม่สามารถสื่อสารกันได้
การโจมตีที่ทำให้ซอฟต์แวร์ในระบบปิดตัวเองลงโดยอัตโนมัติ หรือไม่สามารถทำงานต่อได้จนไม่สามารถให้บริการใดๆ ได้อีก
การกระทำใดๆ ก็ตามเพื่อขัดขวางผู้ใช้ระบบในการเข้าใช้บริการในระบบได้ เช่น การปิดบริการเว็บเซิร์ฟเวอร์ลง
การทำลายระบบข้อมูล หรือบริการในระบบ เช่น การลบชื่อ และข้อมูลผู้ใช้ออกจากระบบ ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้