ชื่อ นางวิลาวรรณ นามสกุล พัฒนชัย
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนหนองยางชุมพิทยาคม
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
รับเงินเดือนในอันดับ คศ. 3
อัตราเงินเดือน 59,350 บาท
ประเภทห้องเรียนที่จัดการเรียนรู้ ห้องเรียนวิชาสามัญหรือวิชาพื้นฐาน
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษาไว้ ดังต่อไปนี้
1. ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 19 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท21102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท22102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท23102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท31102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท32102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท33102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาหน้าที่พลเมือง จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชากิจกรรมชุมนุมภาษาไทย จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชากิจกรรมลูกเสือ - เนตรนารี ม.3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมซ่อมเสริม จำนวน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ รวมจำนวน 9 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การกำกับติดตาม/ นิเทศการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา รวมจำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
เจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษา จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
เจ้าหน้าที่วัดและประเมินผล จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้นกิจกรรม รวมจำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
วิชาห้องเรียนคุณธรรม จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รวมจำนวนชั่วโมงภาระงานเป็นไปตาม ก.ค.ศ. กำหนด จำนวน 31 ชั่วโมง/สัปดาห์
1. ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 19 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท21102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท22102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท23102) จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท31102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท32102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท33102) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาหน้าที่พลเมือง จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชากิจกรรมชุมนุมภาษาไทย จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชากิจกรรมลูกเสือ - เนตรนารี ม.3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมซ่อมเสริม จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ รวมจำนวน 9 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การกำกับติดตาม/ นิเทศการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา รวมจำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
เจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษา จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
เจ้าหน้าที่วัดและประเมินผล จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้นกิจกรรม รวมจำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
วิชาห้องเรียนคุณธรรม จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รวมจำนวนชั่วโมงภาระงานเป็นไปตาม ก.ค.ศ. กำหนด จำนวน 31 ชั่วโมง/สัปดาห์
คำสั่งโครงสร้างบริหารงาน
คำสั่ง แต่งตั้งข้าราชการครูปฏิบัติหน้าที่สอน
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
คำสั่ง แต่งตั้งข้าราชการครูปฏิบัติหน้าที่สอน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ คือ การแก้ไขปัญหา คือ การริเริ่มพัฒนา การจัดการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังที่สูงกว่าได้)
ประเด็นท้าทาย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
1. สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้เรียนมีปัญหาด้านการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านจับใจความสำคัญ กล่าวคือ ผู้เรียนไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน อ่านหนังสือไม่ออก ไม่แตกฉาน และไม่สามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ เมื่อผู้เรียนไม่มีความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานการอ่านแล้ว ย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้และส่งผลต่อกระบวนการคิด ผู้เรียนจะไม่สามารถคิดในสิ่งที่แตกออกไปเพราะไม่สามารถเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่านได้
ผู้สอนจึงเลือกนำแนวคิดในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain – Based Learning : BBL) คือ การนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองและระบบการทำงานของสมองมาใช้ในการออกแบบจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย เพื่อก่อให้เกิดศักยภาพและพัฒนาการเรียนรู้ของมนุษย์ กล่าวคือ เป็นแนวคิดที่จัดกระบวนการเรียนรู้บนฐานปัจจัยที่ทำให้สมองมีการเปลี่ยนแปลง และสมองมีปฏิกิริยาตอบรับการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมระหว่างผู้เรียนและผู้สอน รวมทั้งการออกแบบเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ การจดจำ และมีความสามารถในการใช้เหตุผล และมิติสัมพันธ์ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมโดยทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น มีจินตนาการและสร้างผลงาน การจำลองสถานการณ์โดยนำมาเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด โดยการคิดแก้ไขปัญหาเพื่อเรียนรู้ การปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาวะสมดุล หรือการคิดเชิงมโนทัศน์เพื่อเรียนรู้ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด แล้วนำมาจัดระบบตามลำดับความสำคัญเพื่อสร้างความคิดรวบยอด
โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง ได้แก่
1. เมื่อสมองรับรู้ภาพและเสียงพร้อมกัน จะสามารถดึงดูดข้อมูลเข้าสู่สมองได้เป็นจำนวนมากกว่าการได้รับข้อมูลในทางอื่น ในการออกแบบวิธีการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้อ่านและให้ดูภาพประกอบ ส่วนผู้เรียนก็จะได้ฟังและเห็นภาพ จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้มาก
2. สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อสร้างแผนภาพความคิด การสร้างแผนภาพความคิดในสมองสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ และนำมาจัดระบบข้อมูลเป็นแผนภาพ ก่อให้เกิดความคิดและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหน้าที่ของแผนภาพความคิดจะช่วยในการเรียบเรียงความคิด ทำให้เห็นภาพความคิดในหลายมิติชัดเจนขึ้น และเป็นการสะท้อนความคิดออกมาเป็นภาพและข้อมูล
3. สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อผ่านการปฏิบัติ การใช้สมองผ่านการรับรู้ข้อมูลในรูปของภาพ เสียง การสัมผัส และผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือการลงมือปฏิบัติ ทำให้วงจรความจำและการรับรู้ข้อมูลในด้านต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เร็วขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมสร้างทักษะในการคิดวิเคราะห์ด้วย กิจกรรมที่ช่วยในกระบวนการเรียนรู้ เช่น โครงงาน การสร้างชิ้นงาน การทดลองปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ การเขียนบทกลอน เรียงความ บรรยาย
4. สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์คล้ายจริง กระบวนการเรียนรู้ของสมองจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพดี เมื่อผู้เรียนได้อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายความจริงที่สุด หรือสถานการณ์จำลอง เช่น การเล่นละครกำหนดให้มีแต่ละคนมีบทบาทสมมติ หรือการได้ทัศนศึกษาในสถานที่ต่าง ๆ สามารถทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น
5. สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อท่องจำ - ทำซ้ำ – ฝึกทักษะ การได้ลงมือทำเอง หรือการฝึกฝนบ่อย ๆ เป็นการให้ผู้เรียนได้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏจะเป็นข้อมูลย้อนกลับไปที่สมอง ทำให้เสริมสร้างเซลล์สมองที่มีอยู่ก่อนนี้และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น สามารถจดจำและเกิดความชำนาญ กิจกรรมที่ต้องใช้การฝึกทักษะในประเภทนี้ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ การฝึกเขียน การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี เป็นต้น
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มีขั้นตอนการเรียนรู้ 7 ขั้น ได้แก่
1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ผู้สอนเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียนเนื้อหาใหม่ ซึ่งผู้สอนจะต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงไปหาองค์ความรู้ใหม่
2. ขั้นตกลงกระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างผลงาน รวมทั้งกระบวนการวัดและประเมินผล
3. ขั้นเสนอความรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนทำหน้าที่สอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ หรือเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่จะเรียนก่อนที่จะมีกิจกรรมฝึกทักษะให้แก่ผู้เรียน
4. ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่ผู้สอนดำเนินการต่อจากขั้นเสนอความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดความรู้ความ
เข้าใจในสิ่งที่เรียนแล้วเกิดการสร้างสรรค์ผลงาน เช่น การปฏิบัติการศึกษาค้นคว้า การอ่านเรื่องราว การปฏิบัติการทดลอง ฝึกปฏิบัติการต่าง ๆ ตามสาระที่ได้เรียนรู้
5. ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะได้เสนอความรู้ของตนเองให้เพื่อนได้เข้าใจ
6. ขั้นสรุปความรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ทั้งหมด อาจโดยการร่วมกันอภิปรายแล้วสรุป และอาจให้ทำใบงานหรือแบบฝึกทักษะเพื่อทบทวนความรู้
7. ขั้นกิจกรรมเกม เป็นขั้นทดสอบความรู้ของผู้เรียนทุกคนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้มาแล้ว แต่การคิดคะแนนจะคิดรวมเป็นกลุ่ม กลุ่มใดที่ช่วยกันเรียนรู้มาเป็นอย่างดีก็จะทำให้สมาชิกทุกคนทำคะแนนได้ดี และจะส่งผลให้คะแนนรวมของกลุ่มสูง ถ้ากลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดก็จะเป็นกลุ่มที่ชนะเกม
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) และหลักสูตรสถานศึกษา ในเรื่องมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
2.2 จัดทำคำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2.3 จัดทำหน่วยการเรียนรู้ การอ่านจับใจความ ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนหนองยางชุมพิทยาคม และบริบทของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงสภาพปัญหา ความต้องการ ความสนใจ และธรรมชาติของผู้เรียน
2.4 นำขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานทั้ง 7 ขั้น ไปจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
2.5 สร้างเครื่องมือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้ เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
2.6 นำเสนอแผนการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความสอดคล้องของเนื้อหา และนำมาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำ
2.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ และเครื่องมือไปใช้จัดการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท21102) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบท
2.8 นำผลที่ได้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาบันทึกผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
(1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 16 คน ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานโดยพิจารณาจากการตอบคำถามของแบบฝึกทักษะผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
(2) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 16 คน ได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท21102 ตั้งแต่ระดับผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป โดยมีคะแนนทดสอบปลายภาคผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 65 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
(3) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 16 คน มีคะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตั้งแต่ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
(4) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 16 คน มีคะแนนอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตั้งแต่ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
(5) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 16 คน มีสมรรถนะสำคัญอยู่ในระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 80 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
3.2 เชิงคุณภาพ
(1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง รวมทั้งหมด 16 คน มีความรู้ความเข้าใจในการอ่านจับใจความโดยใช้แบบฝึกทักษะ ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน และสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับเนื้อหาอื่น ๆ ในวิชาภาษาไทย
(2) มีแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับไว้ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน