หน่วยที่ 2 เทคนิคการเลือกและการเล่านิทาน
หน่วยที่ 2 เทคนิคการเลือกและการเล่านิทาน
การเล่านิทาน ถือว่าเป็นเทคนิคที่ต้องฝึกฝนและเข้าใจธรรมชาติของเด็กปฐมวัยในแต่ละช่วงอายุ รวมทั้งการเลือกนิทานและการใช้ตัวละครก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ฝึกฝนและหาประสบการณ์จากเอกสาร หนังสือ งานวิจัย หรือจากประสบการณ์ของตัวครูผู้สอนเอง
| เทคนิคการเลือกนิทาน
นักวิจัยและนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศได้มีประสบการณ์ในการเลือกนิทาน ดังนี้
ดิกสัน จอห์นลินและซอลซ์ (Dixon., Johnson and Salts. 1977 : 367 - 379) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเล่านิทานกับเด็กอนุบาลอายุระหว่าง 34 ปี ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองทรอยด์ เด็กในกลุ่มนี้มีทั้งหมด 146 คน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก เล่านิทานให้เด็กฟังแล้วให้เด็กแสดงบทบาทประกอบตามเนื้อเรื่อง
กลุ่มที่สอง เล่านิทานให้ฟังพร้อมกับพาไปดูของจริงนอกสถานที่ เช่น ไปเยี่ยมหมอไปซื้อของ ไปสวนสัตว์ฯลฯ
กลุ่มที่สาม สนทนากับเด็กเกี่ยวกับนิทานที่ได้เล่าให้ฟัง
กลุ่มที่สี่ เป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการฝึก ก่อนการฝึกและหลังฝึกได้ทำการทดสอบพัฒนาการทางการเรียนรู้และความสามารถในการควบคุมความต้องการ
ผลพบว่า ในการฟังนิทานนั้นถ้าเด็กได้แสดงบทบาทเลียนแบบตัวละครในเรื่องไปด้วยจะพัฒนาจิตในลักษณะต่างๆ ได้ดีที่สุด แสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กได้ฟังนิทานแล้วเด็กย่อมมีความต้องการที่จะเลียนแบบตัวละครที่ตนชอบ หรือตัวละครที่ได้รับความสำเร็จจากการกระทำพฤติกรรมนี้ นอกจากนี้ยังพบว่า เนื้อหาในนิทานถ้าไกลความจริง เช่น เทพนิยาย จะให้ผลดีต่อจิตลักษณะของเด็กได้ดีกว่านิทานที่มีเนื้อหาใกล้ชีวิตจริงของเด็ก
Wright (15) ยังให้แนวคิดเกี่ยวกับการเล่านิทานว่า
1. เลือกเรื่องที่ดึงความสนใจของผู้เรียนตั้งแต่เริ่มเล่า
2. เลือกเรื่องที่ควรเหมาะสม กับวัยและความสามารถทางภาษา
3. ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป
4. ควรเป็นเรื่องที่ผู้เล่าชอบและรู้สึกว่าสามารถถ่ายทอดได้ดี
Sala berri (1995:59 - 60) ให้ข้อคิดคล้ายคลึงกันในการเลือกนิทาน
1. ให้คำนึงถึงวัย
2. ระดับความสามารถทางภาษา วัฒนธรรม รสนิยมของเด็ก
3. ความสนใจ
สรุปได้ว่า การเลือกนิทานนั้นควรจะเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ และสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียนมากที่สุด โดยเน้นการให้ผู้เรียนได้แสดงบทบาทลอกเลียนแบบตัวละครในเรื่องนั้น โดยวิธีการเลือกนิทานมีส่วนสำคัญมาก ถ้าเป็น
- นิทานรูปแบบเดิม ๆ เช่น นิทานปรัมปรา นิทานท้องถิ่น นิทานคติธรรม ก็จะมีเนื้อเรื่องที่มีการถ่ายทอดหรือแฝงไปด้วยคติสอนใจ ครูผู้สอนสามารถถ่ายทอดด้วยการเล่า พร้อมกับลายลักษณ์อักษรในรูปแบบของตัวหนังสือหรือรูปภาพ
- แต่ถ้าเป็นนิทานที่ต้องการจะแต่งขึ้นมาใหม่ หรือนิทานที่แต่งขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ควรจะเลือกหรือกำหนดเรื่องให้สัมพันธ์กับบทเรียนหรือมีความมุ่งหมายเพื่อแก้ไซพฤติกรรมของผู้เรียน ควรมีการสอดแทรกความรู้และคุณธรรมจริยธรรม มีบทสนทนาโต้ตอบ มีการบรรยายกิริยาอาการหรือลักษณะของตัวละคร เนื้อเรื่องมักเน้นสภาพความเป็นจริงมากกว่ารูปแบบเต็มๆ เช่น เรื่องหมูสามตัว ไก่แจ้ พกฮูกเจ้าปัญญา เป็นต้น
ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเล่านิทานให้กับเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นเรื่องอายุตั้งแต่ 0-5 ปี ที่มีพัฒนาการในต้านต่างๆ แตกต่างกัน ซึ่งต้องให้สอดคล้องและมีความเหมาะสมกับวัยเด็กนั้นๆ
การเลือกนิทานสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีความจำเป็นมาก ซึ่งการเลือกนิทานสามารถทำได้หลายแบบอย่าง โดยดูได้จากกฎเกณฑ์อายุ และนำพัฒนาการของเด็กมาประกอบกัน
| เทคนิคการเล่านิทาน
การเล่านิทานที่จะประสบผลสำเร็จด้วยดีนั้น ผู้เล่าจะต้องพยายามทำให้เด็กสุขสบายและสะดวกใจ ผู้เล่าจะต้องใส่ความรู้สึกที่เป็นมิตรและความเห็นอกเห็นใจต่อเด็กผู้ฟังด้วย ทั้งนี้ เพราะเด็กมีความรู้สึกไวและแสดงออกทันทีที่รู้สึก อาจเป็นความรู้สึกกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัย หน้าที่ของผู้เล่าที่จะต้องใช้ความสามารถในการจูงใจ ตลอดจนการให้ความอบอุ่นและความเห็นอกเห็นใจตั้งแต่เริ่มต้นเล่า
การเล่านิทานถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เล่าจะต้องมีเทคนิคและวิธีการเล่า ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังเกิดมโนภาพ และอารมณ์ความรู้สึกที่คล้อยตามกัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ สะเทือนใจ ตื่นเต้นหรือตกใจ สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับศิลปะและเทคนิคในการเล่านิทาน รวมทั้งประสบการณ์ของผู้เล่าเอง ขั้นตอนของการเล่านิทาน มีเพียง 3 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมตัวก่อนการเล่านิทาน
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นการเล่านิทาน
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นหลังการเล่านิทาน
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมตัวก่อนการเล่านิทาน
คล้ายๆ กับการเตรียมแผนการเรียนการสอน ผู้เล่านิทานควรจะกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าจะใช้นิทานในการสอนเพื่อเป้าหมายอะไร (Wright, 1995 : 21) รวมทั้ง พรทิพย์ วินโกมินทร์ (2530 : 36 - 38) ได้เสนอแนวปฏิบัติก่อนการเล่านิทาน คือ
1. อ่านเรื่องนั้นโดยตลอดอย่างช้าๆ แล้วลองคิดสร้างภาพในจินตนาการเกี่ยวกับตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเป็นลำดับ ปีดหนังสือ ลองคิดทบทวนภาพที่คิดสร้างไว้
2. อ่านเรื่องอีกครั้ง แล้วพิจารณาว่าจะเล่าให้เหมือนต้นฉบับเดิมทุกอย่างหรือจะเรียบเรียงคำพูดใหม่โดยไม่ให้เสียเค้าโครงเดิม
3. เขียนสังเขปเรื่องเป็นข้อๆ เพื่อให้เรื่องดำเนินไปตามลำดับไม่สับสน และเพื่อกันลืมควรบันทึกข้อความหรือสำนวนดีๆ ไว้ พยายามให้คำพูดของตัวละคร
4. วางแผนที่จะหาวิธีการเริ่มต้นเล่านิทานที่น่าสนใจ หลีกเลี่ยงการบรรยายที่ไม่จำเป็น
5. หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพิ่มเดิม เช่น ความรู้เกี่ยวกับตัวละคร ขนบธรรมเนียม ประเพณี และสภาพแวดล้อมอื่นๆ
6. เลือกวิธีการเล่านิทานที่เห็นว่าเหมาะสม การเล่านิทานอาจทำได้หลายแบบ ตั้งแต่วิธีการอย่างง่ายๆ คือ เล่าด้วยปากเปล่าโดยไม่ใช้อุปกรณ์เลย หรืออาจมีอุปกรณ์ประกอบด้วยก็ได้
7. ผู้เลี้ยงดูเด็กควรเตรียมวิธีการบางอย่างที่จะนำมาใช้เพื่อให้เด็กเงียบเสียงและพร้อมที่จะฟังนิทาน เช่น การเล่นกับนิ้ว หรือเพลงสั้นๆ ที่เด็กสนใจ ฯลฯ วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้เด็กคลายความกระวนกระวายหรือความอยู่ไม่สุขลงได้ เมื่อผู้เลี้ยงดูเด็กใช้วิธีการให้เด็กสงบนิ่ง พร้อมที่จะฟังแล้วผู้เลี้ยงดูเริ่มเล่านิทาน
8. การทดลองเล่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เริ่มเล่านิทานใหม่ๆ ควรทดลองเล่าเรื่องนั้นๆ ให้ขึ้นใจโดยหัดเล่าดังๆ เพื่อทดสอบน้ำเสียง หรือฝึกเล่าหน้ากระจกเพื่อสังเกตท่าทางของตนเอง
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นการเล่านิทาน
1. การเริ่มต้นเล่านิทาน ควรจะกล่าวแนะนำสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าให้เด็กฟัง เช่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ได้มาจากไหน ใครเป็นผู้เขียน เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจ
2. การจำเนื้อเรื่องให้แม่นยำ เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะถ้าเว้นระยะ ช่องว่าง ในการเล่าเรื่องจะทำให้เด็กรำคาญและขาดความสนใจ เนื่องจากช่วงสมาธิของปฐมวัยค่อนข้างสั้น
3. การทำเสียงให้สอดคล้อง ต้องทำเสียงให้สอดคล้องกับตัวละครของเรื่อง หรือเนื้อเรื่อง เพื่อจะได้ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดี เช่น
อารมณ์เศร้าโศก เสียงต้องเบา สั่นเครือ กิริยาท่าทางของตัวละครอยู่ในสภาพสิ้นหวัง หมดแรง
อารมณ์ตื่นเต้น : เสียงควรดัง ชัดเจน สั่นรัวและหนักแน่น
เสียงตัวละครผู้ชายห้าวและเสียงใหญ่ ถ้าเป็นชายแก่ก็สั่นเครือ
เสียงตัวละครผู้หญิง : นุ่มแหลมและหวาน ถ้าเป็นหญิงแก่ก็สั่นเครือ
เสียงตัวละครเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง: ควรทำน้ำเสียงให้ใกล้เคียงกันสำเนียงเสียงให้ใสอ่อนหวาน น่ารัก
เสียงสัตว์ ทำน้ำเสียงให้ใกล้เคียงกับเสียงสัตว์นั้นๆ
การทำเสียงต่างๆ ของตัวละครต้องอาศัยการฝึกหัด และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือควรมีการเว้นจังหวะการพูด มีจังหวะช้า เร็ว เบาและดัง เพื่อให้เกิดความตื่นเต้น เร้าใจ
4. การใช้สีหน้าท่าทาง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะต้องสัมพันธ์กับน้ำเสียง ผู้เล่าไม่จำเป็นต้องใส่สีหน้า ท่าทาง มากนัก เพราะจะทำให้ผู้ฟัง/เด็กปฐมวัยเหนื่อย แต่ควรจะมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ อาจจะใช้การขยับแขน พยักหน้า หันช้ายขวา กัมหน้า โยกลำตัว ทำมือ และหน้าตาประกอบเล็กน้อย
5. การใช้คำ ภาษา และประโยค ควรใช้คำพูดที่เด็กคุ้นเคยง่ายๆ และสั้นๆ แต่ถ้าเป็นเป็นคำใหม่ ควรพูดซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อเป็นการฟังหลายๆ รอบ ผู้เล่าต้องออกเสียงให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงคำพูดที่หยาบคายหรือก้าวร้าว ถ้าจำเป็นควรใช้เสียงกระแทก หรือเน้นเสียง
6. การกวาดสายตา ขณะที่เล่าต้องกวาดสายตาไปยังให้ทั่วถึง พยายามสบตาเพื่อเป็นการสื่อความหมายให้แก่เด็กได้เข้าใจในเนื้อเรื่องของนิทานมากขึ้น
7. การใช้คำถามหรือคำสอนสอดแทรก ในขณะที่เล่าเรื่องไม่ควรนำคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่ามาถามหรือแทรกคำสอนในระหว่างการเล่า เพราะจะทำให้จินตนาการของเด็กไม่ต่อเนื่องจะทำให้เด็กเบื่อได้
8. การให้เด็กมีส่วนร่วม ในการเล่านิทานควรให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เช่น ในขณะเล่านิทานผู้เลี้ยงดูเด็กอาจจะให้เล่นเป็นตัวละครต่างๆ หรือหยิบภาพตามเรื่องที่ผู้เลี้ยงดูเล่า
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนหลังการเล่านิทาน
จบการเล่านิทานไม่จำเป็นต้องจบด้วยประโยคว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....." อาจจะเป็นการประเมินความคิดรวบยอดของ ด้วยการพูดคุยในเชิงวิจารณ์ เช่น สนุกหรือไม่ เรื่องนี้ควรชื่อเรื่องอะไร ตัวละครตัวไหนที่ชอบ เป็นต้น
จากผลของงานวิจัยและการศึกษาได้แนะนำเรื่องของการเล่านิทานว่า
1. ผู้สอนควรพยายามทำให้นักเรียนเกิดอารมณ์ร่วมไปกับการฟังนิทานให้มากที่สุด
2. ควรใช้น้ำเสียงให้สมกับท่าทางและใช้อุปกรณ์ประกอบการเล่าให้หลากหลาย
3. ผู้สอนควรเป็นแบบอย่างทางภาษาที่ดีในการเล่านิทานให้แก่ผู้เรียน
4. ผู้สอนควรมีความรู้เกี่ยวกับการแต่งนิทานนอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกับนิทานและการเล่านิทาน
5. ผู้สอนควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเล่านิทานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกนิทาน การจัดอุปกรณ์สำหรับการเล่า และการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ ในระหว่างการเล่านิทาน
6. สำหรับผู้สอนที่ไม่มีความถนัดในการเล่านิทาน แต่ประสงค์ที่จะใช้กิจกรรมการเล่านิทานในการเรียนการสอน สามารถให้นักเรียนฟังการเล่านิทานจากแถบวีดีทัศน์
7. ในขั้นหลังการเล่านิทาน ผู้สอนควรเปิดโอกาลให้นักเรียนดูภาพและพูดหรือเล่านิทานช้ำ โดยใช้คำพูดของนักเรียนเองเพื่อช่วยให้เกิดโอกาสพูด และมีความคล่องแคล่วในการพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น
| เคล็ดลับในการเล่านิทาน
การเล่านิทานมีขั้นตอนการดำเนินการเป็นลำดับ แต่ละขั้นตอนของการเล่า ต้องมีการจัดเตรียมให้เหมาะสม จึงจะทำให้การเล่านิทานมีความหมายประทับใจผู้ฟัง แม้ว่านิทานจะเป็นสิ่งที่ชอบ และพร้อมที่จะฟังอยู่เสมอก็ตาม นิทานทุกเรื่องกับการเล่าทุกครั้งไม่สามารถตรึงให้เด็กอยู่กับที่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เว้นแต่กระบวนการเล่านั้นจะมีขั้นตอนการเตรียมการที่นอกจากจะทำให้นิทานดำเนินไปสู่จุดประสงค์ของผู้เล่าที่ต้องการแล้ว ต้องทำให้เพลิตเพลินกับการฟังนิทานด้วย ในการเตรียมการเพื่อการเล่านิทาน ถ้าผู้เลี้ยงดูเป็นผู้เล่า ผู้เลี้ยงดูควรจัดเตรียมเนื้อหาในนิทานก่อน ถ้าเป็นนิทานที่มาจากในหนังสือนิทาน ผู้เลี้ยงดูต้องอ่านให้เข้าใจจำเนื้อเรื่องให้ได้ เมื่อนำไปเล่าประกอบภาพในหนังสือจะได้พูดความต่อเนื่องเป็นเรื่องราว มีหยุดพัก การถาม-ตอบจะทำให้เข้าใจง่ายไม่ลืม
การเตรียมเด็กสำหรับฟังนิทาน ที่นั่งของเด็กกับผู้เลี้ยงดูต้องใกล้ยิดกัน ผู้เลี้ยงดูเด็กอาจนั่งสูงกว่าเล็กน้อย เพื่อให้แสดงภาพในหนังสือ หรือภาพอื่นๆ บนตักในระดับสายตาเด็ก ขณะเล่าควรจัดเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ให้นั่งล้อมวงผู้เลี้ยงดู แล้วผู้เลี้ยงดูเริ่มกิจกรรมเตรียมเด็กด้วยการให้เด็กร้องเพลง ดูภาพ หรือกล่าวคำจูงใจเพื่อให้เด็กมีอารมณ์พร้อมที่จะฟัง เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มต้นด้วยการเล่านิทาน หากมีจุดประสงค์ของการฟังต้องสอนเด็กด้วย
| ตัวอย่างการเลือกหนังสือให้เหมาะกับลูกวัยทารก
การเรียนรู้ของหนูคือการได้สัมผัส ทั้งฟังเสียง จากคุณแม่เล่า เสียงกรอบแกรบ เสียงกระดิ่งจากหนังสือ หรือหนังสือที่มีผิวสัมผัสนุ่มนิ่มต่างๆ เด็กๆยิ่งชอบ เพราะเขาจะเรียนรู้ได้ว่า สิ่งต่างๆรอบตัวนั้นมีอยู่จริงและแตกต่างกัน ได้จากการสัมผัส
เด็กๆมือเล็กๆ ผิวบอบบาง ดังนั้นเราต้องพิถีพิถันในเรื่องของวัสดุของสิ่งต่างๆที่จะมาอยู่ใกล้ตัวหนู อีกทั้งยังต้องทนทาน และมั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอน เมื่อหนูน้อยหยิบเข้าปาก หนังสือผ้า หนังสือฟองน้ำ ที่มีขอบมนไม่มีมุมแหลมคม และทนทานต่อการหยิบจับ ขยำ เขี้ยงทิ้ง จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการที่จะให้เด็กๆทำความรู้จักกับหนังสือ
ภาพหรือเรื่องราวในหนังสือ ควรมีสิ่งที่เด็กๆเห็นเป็นประจำทุกวันในบ้าน อย่าง ขวดนม ลูกบอล หมา เก้าอี้ เพื่อให้เขาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ