โดยมีการใช้ความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กรเป็นตัวกําหนดกลยุทธ์ ทั้งนี้มีการ คํานึงถึงระดับที่แตกต่างกันของกลยุทธ์ซึ่งระดับของกลยุทธ์นั้นประกอบไปด้วย 3 ระดับดังนี้ คือ
1. กลยุทธ์ระดับองค์กร ( Corporate Level Strategy)
กลยุทธ์ระดับองค์กร ( Corporate Level Strategy) กลยุทธ์การเติบโต (Growth Strategy) มุ่งสร้างอัตราการเติบโตที่มากกว่าเมื่อเทียบกับตลาด มักใช้การพัฒนาตลาดใหม่(Market Development - ตลาดใหม่ สินค้าใหม่) พัฒนาสินค้า (Product Development) วิธีการใหม่(New Process) หรือเจาะตลาดเพิ่ม (Market Penetration - ตลาดใหม่ สินค้าเก่า)กลยุทธ การเติบโตเป็นกลยุทธ์ที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากการเติบโต หมายถึง รายได้ที่มากขึ้น ราคาหุ้นที่สูงขึ้น และประสิทธิภาพของผู้นํา แต่การเติบโตที่เร็วเกินไปอาจจะนําไปสู่ความไม่มี ประสิทธิภาพการมุ่งในสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว (Concentration on a Single Product or Services) เป็นการสร้างการเติบโตด้วยสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว การกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับธุรกิจเดิม(Concentric Diversification) เป็นการสร้างการเติบโตด้วยการเพิ่มสินค้าหรือบริการใหม่ที่สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการที่มี อยู่แล้ว ซึ่ง อาจจะสอดคล้องในเรื่องเทคโนโลยี Know-How สายผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัด จําหน่ายหรือฐานลูกค้า กลยุทธ์นี้จะสร้างตําแหน่งการแข่งขันที่แข็งแกร่งได้ การรวมธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical Integration) เป็นการสร้างการเติบโตด้วยการขยาย ธุรกิจที่มีอยู่ 2 ทิศทาง คือ
1.การรวมตัวไปข้างหน้า (Forward Integration) เป็นการขยายการ ลงทุนไปยังช่องทางการจัดจําหน่ายของสินค้าหรือบริการปัจจุบัน ทําให้ขยายตลาดได้ง่ายขึ้น และสามารถควบคุมต้นทุนขายได้
2.การรวมตัวไปข้างหลัง (Backward Integration) เป็น การขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการกับธุรกิจในปัจจุบัน
ทําให้บริษัท สามารถควบคุมต้นทุน และ คุณภาพของปัจจัยนําเข้า นอกจากนี้การใช้กลยุทธ์การรวมตัวใน แนวดิ่ง ยังทําให้มีอํานาจทางการตลาด( Market Power) และเป็นการสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ ตลาดแก่คู่แข่ง (Barrier to Entry) แต่จะมีความเสี่ยงจากการที่ธุรกิจมีความเกี่ยวเนื่องกันใกล้ชิด
การรวมตัวในแนวนอน (Horizontal Diversification) เป็นการสร้างการเติบโตจากการซื้อ การควบรวมกิจการของคู่แข่ง กลยุทธ์นี้คล้ายกับการกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ กับธุรกิจเดิม (Concentric Diversification) แต่มีความแตกต่างคือ การรวมตัวในแนวนอน (Horizontal Diversification) จะมุ่งเน้นการเพิ่มสินค้าหรือบริการจากการซื้อบริษัทคู่แข่งเท่านั้น การกระจายธุรกิจในลักษณะที่ไม่สัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม(Conglomerate Diversification) เป็นการสร้างการเติบโตจากการมีสินค้าหรือบริการใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการที่มีอยู่ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบในลักษณะของกลุ่มบริษัทที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน
2. กลยุทธ์ระดับธุรกิจ ( Business Level Strategy )
คือ การผสมผสานและเชื่อมโยงกันของข้อตกลงและกิจกรรมใน องค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยความสามารถหลักในตลาดใด ตลาดหนึ่ง Micheal E. Porter กล่าวว่าองค์กรนั้นสามารถแข่งขันใน 3 ลักษณะ คือ
1. การเป็นผู้นําด้านต้นทุน (Cost Leadership)
2. การสร้างความแตกต่าง (Differentiation)
3. การมุ่งเน้น (Focus)
กลยุทธ์ผู้นําด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy) กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยต้นทุนการดําเนินงานที่ต่ํากว่า ภายใต้ ความเสี่ยงเท่ากันความเสี่ยงของการใช้กลยุทธ์ผู้นําด้านต้นทุน ได้แก่ ง่ายต่อการลอกเลียนแบบ ,การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือความนิยมของลูกค้า กลยุทธ์ความแตกต่าง (Differentiation Strategy)
กลยุทธ์ผู้นําด้านความแตกต่าง เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยความ แตกต่างของสินค้า/บริการ ความเสี่ยงของการใช้กลยุทธ์ความแตกต่าง ได้แก่การเสนอคุณค่าที่ ลูกค้าไม่ต้องการ หรือลูกค้ารู้สึกว่าไม่คุ้มกับราคาการเลียนแบบจากคู่แข่งกลยุทธ์การสร้างความ แตกต่างมักใช้การวิจัยและพัฒนาเป็นเครื่องมือสําคัญในการสร้างความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการ วิจัยเพื่อหาความต้องการของผู้บริโภค หรือการพัฒนาสินค้าใหม่ กลยุทธ์การมุ่งเน้น (Focus Strategy)
กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยการเน้นความชํานาญในบางเรื่อง (Specialize insome way) เพื่อเจาะตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น กลุ่มลูกค้าเฉพาะ สินค้า เฉพาะ หรือพื้นที่บางพื้นที่องค์กรสามารถสร้างคุณค่าด้วยการผสมผสานการมุ่งเน้นกับความ แตกต่างหรือการเป็นผู้นําด้านต้นทุนกลยุทธ์การมุ่งเน้นและต้นทุนต่ํา (Focused Cost Leadership Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบ ความชํานาญในบางเรื่องหรือบาง ตลาด และสร้างคุณค่าด้วยต้นทุนต่ํา เหมาะสําหรับอุตสาหกรรมที่ยากในการสร้างความแตกต่าง ในตัวสินค้าหรือบริการ บริษัทที่ได้เลือกใช้กลยุทธ์แบบนี้จะสร้างความได้เปรียบจากการที่ผู้นํา ในอุตสาหกรรมไม่สามารถผลิตหรือให้บริการในบางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีต้นทุน สูงกลยุทธ์การมุ่งเน้นและความแตกต่าง (Focused Differentiation Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่ สร้างความได้เปรียบด้วยการมุ่งเน้นตลาดบางตลาด และสร้างคุณค่าด้วยความแตกต่างในบาง เรื่อง
3. กลยุทธ์ระดับหน้าที่ ( Functional Level Strategy )
กลยุทธ์ระดับหน้าที่จะถูกกําหนดขึ้นตามหน้าที่ต่างๆทางธุรกิจ เพื่อที่จะทําให้การ ดําเนินงานขององค์กรสามารถบรรลุผลสําเร็จ ผู้บริหารต้องประสานงานและพิจารณาถึงความ สอดคล้องกันในทุกระดับของกลยุทธ์ดังนั้นการนํา กลยุทธ์ระดับหน้าที่ไปปฎิบัติจะต้อง ครอบคลุมหน่วยงานระดับปฎิบัติการขององค์กรอย่างน้อย 4 หน่วยงาน ได้แก่ กลยุทธ์ด้านการ ผลิต กลยุทธ์ด้านการเงิน กลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ และกลยุทธ์ด้านการตลาด แต่ที่จะกล่าวในงานวิจัยฉบับดังกล่าวจะกล่าวมุ่งเน้นไปในส่วนของกลยุทธ์ทางด้านการตลาด โดยมุ่งเน้นในกิจกรรมดําเนินงานของหน่วยงานภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลสูงสุด
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรม ในการวิเคราะห์สภาพการแข่งขัน ไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ ได้เสนอตัวแบบที่ชื่อว่า The Five Competitive Force (Five Forces Model) เพื่อให้ทราบถึงสภาพคู่แข่งหน้าใหม่ ทราบความ ต้องการลูกค้า สินค้าทดแทน ผู้จัดจําหน่ายวัตถุดิบ และสามารถทราบถึงการแข่งขันใน อุตสาหกรรมเดียวกัน