แผ่นดินไหว

คือ การที่เปลือกโลกเกิดการสั่นสะเทือน เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ 1. เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในชั้นต่างๆ และการระเบิดของภูเขาไฟ จากการที่ชั้นหินหลอมละลายซึ่งได้รับพลังงานความร้อนจากแก่นโลก เกิดการดันตัวขึ้นผลักดันเปลือกโลกอยู่ตลอดเวลา เป็นผลทำให้เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว พร้อมกับมีการสะสมพลังงานไว้ภายในบริเวณรอยต่อของเปลือกโลก หากบริเวณของเปลือกโลกใดๆ ไม่สามารถทนแรงอัดได้ก็จะแตกหักและมีการเคลื่อนตัวโดยฉับพลัน ทำให้เกิดการชนกัน หรือเสียดสีกัน หรือแยกออกจากกัน หรือบางครั้งจะผลักดันให้แผ่นเปลือกโลกสำหรับชั้นคดโค้ง ต่อจากนั้นแผ่นเปลือกโลกที่สะสมพลังงานไว้มากจนเกินขีดจำกัดก็จะปลดปล่อยพลังงานออกมา จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเรียกว่า ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว(focus) ส่วนจุดที่คลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนที่ไปตั้งฉากกับผิวโลก เรียกว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว (epicenter) ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด

ส่วนแผ่นดินไหวที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเป็นมาจาก หินหนืด(magma) ที่อยู่ใต้เปลือกโลกเคลื่อนตัวออกมาตามรอยแตกของเปลือกโลก แรงดันจากการระเบิดของภูเขาไฟ ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนบริเวณเปลือกโลก

2. เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทดลองระเบิดปรมาณูใต้ดิน กิจกรรมเหล่านี้เป็นการเพิ่มแรงเค้นให้แก่บริเวณนั้น พลังงานความเค้นและแรงเครียดที่มีอยู่ก่อนแล้วก็จะได้รับการสะสมเพิ่มมากขึ้น จนในที่สุดก็เกินกำลังที่เปลือกโลกจะรับพลังงานดังกล่าวไว้ได้ ทำให้เปลือกโลกเกิดการเคลื่อนตัว และปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแผ่นดินไหว

การเกิดแผ่นดินไหวมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก แต่ส่วนมากจะเกิดตามแนวกันชนของเปลือกโลก ที่ทอดตัวรอบมหาสมุทรแปซิฟิก เรียกแนวนี้ว่า วงแหวนไฟ (Ring of Fire) หรือ วงแหวนอัคนี

การวัดระดับความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ วัดด้วยขนาดของแผ่นดินไหวซึ่งตรวจวัดได้ โดยใช้เครื่องวัดความไหวสะเทือน มีหน่วยเป็น ริกเตอร์ และวัดด้วยระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว คือ การวัดปริมาณของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่เกิดขึ้น และหลังปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ความรู้สึกของผู้คน ลักษณะที่วัตถุหรือสิ่งก่อสร้างเกิดการสั่นไหว