หน่วยการเรียนรู้ที่ 9
มารยาทในการขับรถยนต์
เนื้อหาสาระ
9.1 มารยาทในการขับรถไปข้างหน้า
การเคลื่อนรถออกจากที่จอด ผู้ขับขี่จะต้องให้สัญญาณก่อนเคลื่อนรถออกจากที่จอดทุกครั้ง มองดูกระจกหลังหรือกระจกข้าง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงเลื่อนรถออกจากที่จอดรถ ควรเหยียบคันเร่งด้วยความนุ่มนวล ไม่ออกรถแบบกระชาก หรือออกรถไปในท้องถนนเป็นเหตุให้ผู้ขับขี่อื่นต้องหักหลบหรือเบรกรถอย่างกะทันหัน
การเร่งความเร็ว เร่งความเร็วให้สูงขึ้นโดยการเหยียบคันเร่งด้วยความนุ่มนวล โดยไม่ให้ผู้โดยสารในรถรู้สึกหวาดกลัว หรือผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นเกิดความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ โดยปฏิบัติดังนี้
- ใช้ความเร็วของรถให้เหมาะสมกับรถอื่นที่ใช้ทางอยู่ในทางเดินรถหรือช่องเดินรถนั้น
- ไม่ขับรถแบบกระชั้นหรือจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป
- ไม่เปิดไฟขอทางหรือบีบแตรไล่รถคันที่ขับอยู่ข้างหน้า
- ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด
- ใช้ความเร็วของรถให้เหมาะสมกับรถอื่นที่ใช้ทางอยู่ในทางเดินรถหรือช่องเดินรถนั้น
- เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องลดความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ไม่เบรกรถกะทันหันจนทำให้รถอื่นต้องเบรกกะทันหันตามด้วย
การขับรถแซงขึ้นคันอื่น ควรปฏิบัติดังนี้
- ก่อนแซงขึ้นหน้าคันอื่นต้องให้สัญญาณก่อนแซงเสมอ (ให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาและหากขับรถในทางเดินรถที่มิได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ต้องกะพริบไฟหน้ารถสั้น 2 ครั้ง เพื่อให้คนขับรถคันหน้ามองเห็นและทราบว่ามีผู้จะขอแซง)
- ไม่แซงในเขตห้ามแซง
- หากถนนแคบต้องขับช้า และแซงด้วยความระมัดระวัง
- เว้นระยะให้ห่างจากรถคันที่ถูกแซงอย่างเหมาะสม
- แซงแล้วไม่หักรถเข้าช่องเดินรถด้านซ้ายเร็ว จนอาจเป็นเหตุให้เกิดการเบียดกับรถคันที่ถูกแซง
- เมื่อแซงพ้นแล้ว ให้ขับรถชิดช่องเดินรถด้านซ้ายทันที
การขับรถกรณีมีผู้ขับรถขอแซงผ่านขึ้นหน้า ควรปฏิบัติดังนี้
- เมื่อมีรถคันอื่นจะขอแซงขึ้นหน้ารถคันที่เราขับอยู่ เราควรขับรถชิดทางด้านซ้าย
- เมื่อเห็นสัญญาณขอแซง เราควร “ตอบรับ” ด้วยการใช้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย และลดความเร็วให้รถคันหลังแซงขึ้นไป
- ไม่ควรเร่งความเร็วตีคู่กับรถที่ขอแซง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หรือเกิดการทะเลาะวิวาทได้
- เมื่อมีรถแซงขึ้นมาตีคู่กับเรา แล้วมีรถวิ่งสวนทางมา เราควรลดความเร็ว เพื่อเว้นช่องว่างให้รถที่ตีคู่กับเรามีช่องว่างหลบเข้ามา เป็นการแบ่งปันน้ำใจแก่เพื่อนร่วมทาง และป้องกันอุบัติเหตุอีกด้วย
การขับรถสวนทางกัน ควรปฏิบัติดังนี้
- ในทางเดินรถที่วิ่งสวนทางกันได้ หากมีรถวิ่งสวนทางมาต้องลดความเร็ว ใช้ความเร็วให้เหมาะสม ขับรถชิดทางซ้ายให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือการหวาดเสียว
- ไม่ใช้ไฟสูงเป็นอันขาด เพราะจะแยงตาผู้ขับรถคันที่สวนมา
9.2 มารยาทในการเลี้ยวและเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
เมื่อผู้ขับขี่ต้องการเลี้ยวรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ผู้ขับรถคันที่ต้องการจะเลี้ยวรถ ต้องขับรถเข้าไปในช่องทางเดินรถในทิศทางที่ประสงค์ จะเลี้ยวเป็นระยะทางที่เหมาะสม พร้อมให้สัญญาณให้ทราบว่า ทิศทางที่จะเลี้ยวไปทางใดล่วงหน้า ในระยะที่เหมาะสม และชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันอื่นรู้ตัว
- การเลี้ยวซ้ายในทางร่วมทางแยก แม้ว่าจะมีป้าย “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” หมายความว่า เลี้ยวได้ต่อเมื่อเห็นว่าปลอดภัย มารยาทที่ต้องคำนึงในกรณีนี้คือ การให้รถอื่นไปก่อน
- เมื่อเลี้ยวรถเรียบร้อยแล้ว ต้องเปลี่ยนสัญญาณไฟให้กลับสู่ปกติ ไม่ลืมเปิดค้างไว้ และใช้ความเร็วของรถให้เหมาะสมกับรถที่ใช้ทางอยู่ในทางเดินรถหรือช่องเดินรถนั้น
เมื่อผู้ขับขี่ต้องการเปลี่ยนช่องเดินรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ผู้ขับรถคันที่ต้องการจะเปลี่ยนช่องเดินรถ ต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายหรือขวา ตามแต่กรณีล่วงหน้าในระยะที่เหมาะสม (ก่อนเลี้ยว 30 เมตร)
- ไม่เปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถที่ยังมีรถอื่นเดินรถในช่องเดินรถนั้น ให้เปลี่ยนช่องเดินรถได้ต่อเมื่อเห็นว่าช่องเดินรถนั้นว่าง หรือเห็นว่าช่องเดินรถนั้นปลอดภัย
- เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วให้เปลี่ยนช่องเดินรถอย่างระมัดระวัง แล้วเปลี่ยนสัญญาณไฟกลับเป็นปกติ
- ใช้ความเร็วให้สอดคล้องกับรถที่อยู่ในช่องการเดินรถ ไม่ให้รถที่ตามมาต้องชะงักหรือเบรกเสียจังหวะ
9.3 มารยาทในการให้สัญญาณ
เมื่อผู้ขับขี่ต้องการให้สัญญาณแตร ควรปฏิบัติดังนี้
- แตรรถมีไว้เพื่อให้เตือนหรือให้ระมัดระวังว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งจะใช้เสียงสั้น ๆ
- ไม่ใช้สัญญาณแตรเสียงยาว เพราะคล้ายกับเป็นการตำหนิผู้อื่น
- ไม่ใช้สัญญาณแตรในเขตชุมชน โรงพยาบาล หรือเขตห้ามใช้เสียง
- ไม่ใช้สัญญาณแตรขณะรถจอดอยู่ เว้นแต่รถคันอื่นจะถอยมาชน
- ไม่ใช้สัญญาณแตรในลักษณะไล่รถคันที่ขับข้างหน้า
- ใช้สัญญาณแตรเมื่อขับรถอยู่ในทางโค้งหักศอกหรือโค้งที่มองไม่เห็นรถสวนมา
- ใช้สัญญาณแตรเมื่อมุมอับในซอยที่มีกำแพงทึบบังอยู่หรือบริเวณที่ไม่แน่ใจ เพื่อเตือนรถที่สวนมา
- ใช้สัญญาณแตรเมื่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เช่น รถของเราเบรกแตก ยางระเบิด เพื่อให้รถคันอื่นรู้ตัวและหลบหลีก
- ใช้สัญญาณแตรเมื่อขอความช่วยเหลือ
การเปิดไฟสูง ไม่ควรใช้ไฟสูงในลักษณะไล่รถคันหน้าหรือแกล้งให้รถคันที่สวนมามองไม่เห็น เว้นแต่ใช้ในกรณี ต่อไปนี้
- ขับรถข้ามเนิน ทางโค้ง เพื่อให้รถแล่นสวนมารู้ว่ามีรถเรากำลังแล่นสวนไป
- ใช้เตือนขอทางก่อนแซง
- ใช้ตรวจทางข้างหน้าให้แน่ใจว่ามีลักษณะอย่างไร มีสิ่งกีดขวางหรือไม่
- เมื่อมีรถวิ่งสวนมาเราต้องเปลี่ยนไฟหน้ารถเป็นไฟต่ำ
- ขณะขับรถในเวลากลางคืน หากผู้ขับรถคันที่วิ่งสวนทางกับเรากะพริบไฟสูงใส่ แสดงว่าเรากำลังขับรถโดยเปิดไฟสูงอยู่ และแสงไฟนั้นไปรบกวนการมองเห็นรถคันที่สวนทางมา ให้รีบเปลี่ยนไฟหน้ารถเป็นไฟต่ำ
9.4 มารยาทในการขับรถในสภาวะต่าง ๆ
มารยาทในการขับรถในสภาวะต่าง ๆ
กรณีที่มีการขับรถตามปกติ ควรปฏิบัติดังนี้
- ควรขับชิดทางเดินรถหรือช่องเดินรถด้านซ้ายเสมอ โดยเฉพาะการขับรถช้า เพราะเป็นการกีดขวางรถคันอื่น และไม่ขับคร่อมช่องเดินรถ
- ไม่ใช้สัญญาณไฟสูง จะแยงตารบกวนคนที่ขับรถคันข้างหน้า
- แตะเบรกเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้รถคันหลังต้องชะงักตาม
- การเปลี่ยนช่องเดินรถ (เปลี่ยนเลน) ต้องให้สัญญาณก่อน
- ให้ความสะดวกแก่รถฉุกเฉินต่างๆ
- ไม่ขับจี้ท้าย ควรทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้เหมาะสม
กรณีขับรถผ่านทางข้าม เขตชุมชน หรือโรงเรียน ควรปฏิบัติดังนี้
- ให้ลดความเร็ว และใช้ความระมัดระวังกว่าปกติ
- มีน้ำใจให้คนเดินเท้าในการข้ามถนน
- ไม่แกแตรหรือกะพริบไฟในลักษณะไล่ หรือทำให้ผู้อื่นตกใจ
กรณีขับรถขณะฝนตกหรือลุยน้ำ ควรปฏิบัติดังนี้
- ควรใช้ความเร็วต่ำ เพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นไปโดนคนเดินเท้าหรือรถคันอื่น
- หลีกเลี่ยงผิวถนนที่มีน้ำขัง เพราะอาจทำให้เกิดการแฉลบและน้ำกระเซ็น
- ไม่เปิดไฟกะพริบฉุกเฉินขณะฝนตก เพราะจะทำให้คนขับรถคันที่ขับตามหลังเกิดความรำคาญ เสียสมาธิ และเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกกฎจราจรด้วย
- เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควร มากกว่าการขับถนนแห้งเป็นระยะ 2 เท่า เพราะเบรกอาจลื่นกว่าสภาพการณ์ปกติ เพื่อมิให้รถคันข้างหน้าหวาดเสียวต้องเร่งความเร็วหนีไปอีก
9.5 มารยาทในการเบรก หยุดรถ และจอดรถ
เมื่อผู้ขับขี่ต้องการหยุดรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ดูกระจกมองหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่
- ควรให้สัญญาณล่วงหน้าในระยะที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณแตะไฟเบรกให้รู้ หรือให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
- ลดความเร็วลง โดยค่อยๆ แตะเบรกในระยะที่รถคันหลังมีเวลาเบรกได้ทัน
- ต้องไม่หยุดรถขวางทางเข้า – ออก ขวางช่องทาง”เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” ขวางเส้นทแยงห้ามหยุด” หรือกีดขวางการจราจร ถ้าจอดรถขวางรถคันอื่น ต้องหาทางขยับรถเพื่อเปิดทางให้คนอื่น
เมื่อผู้ขับขี่ต้องการใช้เบรก ควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่แตะเบรกโดยไม่จำเป็น หรืออย่าแตะบ่อยจนเกินไป จะทำให้รถคันหลังที่ตามมาชะงัก รำคาญ เพราะต้องแตะเบรกตามโดยไม่จำเป็นเช่นกัน
- ควรตรวจสอบไฟเบรกอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อต้องการจอดรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่จอดรถที่ที่ห้ามจอด
- ควรจอดรถให้ชิดขอบทางให้มากที่สุด
- ไม่จอดรถขวางทางเข้า-ออก อาคารบ้านเรือนผู้อื่น หากจำเป็นตั้งล้อให้ตรง ไม่ดึงเบรกมือ ปลดเกียร์ว่าง
- หากจอดรถเป็นเวลานานควรดับเครื่องยนต์
เมื่อต้องการจอดรถที่มีช่องจอดรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ควรถอยหลังเข้าจอด หันหน้ารถออกและจอดให้ขนานและตรงช่องจอด อย่างจอดคร่อมช่องจอด หรือชิดเส้นจนคันอื่นเข้าจอดไม่ได้
- ควรดูระยะห่างระหว่างคัน เพื่อให้รถคันอื่นเข้าจอดได้สะดวก เปิดประตูรถได้สะดวก
- ไม่ควรจอดรถซ้อนคัน แต่ถ้าหากจำเป็นต้องจอดรถซ้อนกัน จะต้องตั้งล้อให้ตรง ไม่ดึงเบรกมือหรือล็อกเกียร์ เพื่อให้คนอื่นสามารถเลื่อนรถเราออกและให้รถคันที่จอดด้านในขับออกได้
เมื่อต้องการจอดรถในบริเวณไม่มีช่องจอดรถ ควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่จอดกินพื้นที่ และต้องกะระยะให้รถคันอื่นจอดได้มากคันที่สุด
- ไม่ควรจอดซ้อนคัน แต่ถ้าจอดซ้อนคันจะต้องไม่ล็อกเบรกมือหรือเกียร์
- ไม่จอดในลักษณะกีดขวางการจราจร หรือกีดขวางรถผู้อื่น
- กรณีรถจอดเสีย ให้แสดงไฟฉุกเฉินหรือป้ายสามเหลี่ยม
- ไม่ควรจอดในพื้นที่ห้ามจอด
การจอดรถรอสัญญาณไฟเขียว ไฟแดง ต้องเว้นระยะห่างระหว่างคันหน้าพอสมควร
9.6 มารยาทในการขับรถโดยทั่วไป
การขับรถโดยปกติทั่วไป ควรปฏิบัติดังนี้
- การขับรถเข้าด่านตรวจหรือจุดตรวจค้น หรือถูกเรียกตรวจ ในเวลากลางวันให้หมุนกระจกข้างลง หากเป็นเวลากลางคืนให้ดับไฟหน้ารถและเปิดไฟในรถ แสดงใบอนุญาตขับรถ
- ไม่ควรถ่มน้ำลายลงบนถนน เพราะเป็นการแพร่เชื้อโรคทำให้บ้านเมืองสกปรก
- ไม่ควรทิ้งขยะลงบนถนน
- ให้ทางแก่รถคันอื่นกรณีที่รถของตนไปไม่ได้
- มีมารยาทในการต่อแถว ไม่เบียดแทรกรถคันอื่น เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุและทะเลาะวิวาทได้