สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์ให้ หมู่บ้านทหารกองหนุนเป็นหมู่บ้านผลิตอาหาร โดยให้สามารถทำการผลิตอาหาร เพื่อใช้บริโภคภายในหมู่บ้าน หากมีเหลือให้นำผลผลิตที่ได้ ไปจำหน่ายยังชุมชนข้างเคียง
เพื่อให้หน่วยทหารที่ดำเนินการจัดทำโครงการ โดยการปรับปรุงพัฒนา พื้นที่บ้านซึ่งมีพื้นที่ตั้งโครงการ อยู่ติดแนวชายแดน บริเวณลำน้ำเหือง บ้านบ่อเหมืองน้อย ให้สามารถทำการผลิตอาหาร เพื่อใช้บริโภคภายในหมู่บ้าน หากมีเหลือก็จะนำผลผลิตที่ได้ไปจำหน่ายในพื้นที่หรือชุมชนข้างเคียง โครงการนี้เริ่มต้นรับสมาชิกจากทหารกองหนุนและราษฎรอาสาสมัครชายแดน จำนวน 20 ครอบครัว เข้าเป็นสมาชิก มีกิจกรรมหลัก คือ ผลิตอาหาร สร้างอาชีพ ดูแลรักษาป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการที่ให้ราษฎรที่เป็นสมาชิกบริหารงานกันเอง สร้างจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วม ต่อการบริหารโครงการ และต่อสังคมรอบตัว จึงเป็นโครงการ ที่ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน สามารถพัฒนาพื้นที่ เป็นแหล่งผลิตอาหาร และสร้างรายได้เป็นรูปธรรมแล้ว ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 มี 3 แห่ง คือ
1. บ้านบ่อเหมืองน้อย ตำบลแสงภา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย
2. บ้านผไทรวมพล ตำบลหนองแวง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
3. บ้านนักรบไทย ตำบลบุ่งมะแลง กิ่งอำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี
4. ศปร.กอ.รมน.ภาค 2 ค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th
เป็นโครงการที่เข้าจัดระเบียบให้ประชาชนอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ โดยรอบป่าสงวนแห่งชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพเสริมให้กับประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงครอบครัว ซึ่งจะทำให้ประชาชนหยุดการบุกรุกทำลายป่าไม้ และช่วยดูแลรักษาป่าไม้ให้มีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม
เมื่อเดือนมิถุนายน 2535 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชน บ้านทันสมัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ทรงพบว่าประชาชน บ้านทันสมัยและหมู่บ้านใกล้เคียง มีความยากจน และบางส่วนบุกรุกเข้าไป แผ้วถางป่า และตัดไม้ขาย ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโพนสว่าง ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ ให้จัดตั้งโครงการส่งเสริมศิลปาชีพขึ้น ที่บ้านทันสมัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
โดยมีประชาชน จากหมู่บ้านต่าง ๆ ใน ตำบลมหาชัย เข้าร่วมเป็นสมาชิก จำนวน 11 หมู่บ้าน พร้อมทั้งมีพระราชดำริ ในเรื่องการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธาร การจัดประชาชนที่อยู่โดยรอบ และภายในป่าสงวนแห่งชาติโพนสว่าง เข้ามาจัดระเบียบให้อยู่กัน เป็นกลุ่ม ๆ โดยรอบ ป่าสงวนแห่งชาติโพนสว่าง พร้อมทั้งทำการส่งเสริมอาชีพเพิ่มเติม ให้กับประชาชนที่อยู่รอบ ป่าสงวนแห่งชาติโพนสว่าง ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้เพียงพอ ต่อการเลี้ยงครอบครัว เพื่อที่จะหยุด การบุกรุกทำลายป่า และช่วยดูแลรักษาป่าไม้ให้คงสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ซึ่งจากพระราชดำริดังกล่าว พระองค์ทรงได้จัดตั้ง เป็นโครงการขึ้น โดยพระราชทานชื่อ โครงการว่า "โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่"
ที่ตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1. โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านทันสมัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
2. โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ผานาง-ผาเกิ้ง บ้านผานาง ตำบลผาอินทร์แปลง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
3. โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th
ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนำของพระราชทานไปช่วยเหลือราษฎร มักจะเป็นเครื่องอุปโภค บริโภค แล้วก็รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า การช่วยเหลือแบบนี้ เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ซึ่งช่วยเขาไม่ได้จริง ๆ ไม่เพียงพอ ทรงคิดว่าทำอย่างไร จึงจะช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นระยะยาว คือ ทำให้เขามีหวังที่จะอยู่ดีกินดีขึ้น ลูกหลานได้เข้าโรงเรียน ได้เรียนหนังสือ ซึ่งในเรื่องนี้ รัฐบาลได้พยายามส่งเสริมอยู่แล้ว เขาเพิ่มจำนวนโรงเรียนขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
แต่ชาวนาชาวไร่บอกว่า เขาส่งให้ลูกไปเรียนหนังสือ ไปเข้าโรงเรียนไม่ได้ เพราะต้องอาศัยอยู่เป็นกำลังช่วยกันทำมาหากิน ดังนั้น จะพบเด็กที่อยู่ในวัยเรียน ไม่ได้มาเรียนหนังสืออีกมาก ส่วนมากก็ได้จบ ป.4 ซึ่งก็น่าเป็นห่วง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงเริ่มคิดหาอาชีพเสริมให้แก่ครอบครัวชาวนา ชาวไร่ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงหาแหล่งน้ำ ให้การทำไร่ทำนาของเขา เป็นผลต่อประเทศชาติ ต่อบ้านเมือง ทรงพระราชดำเนิน ไปดูตามไร่ของเขาในที่ต่าง ๆ ทรงคิดว่านี้เป็นการให้กำลังใจและที่ทรงให้ข้าพเจ้าดูแลพวกครอบครัวก็เลยเป็นที่เกิดของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
โครงการศิลปาชีพ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีความห่วงใยประชาชนในชนบท พระองค์ทรงมีพระราชดำริ ที่จะช่วยให้พสกนิกรของพระองค์ท่าน มีความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพียงพอ ต่อการเลี้ยงครอบครัว จึงได้พระราชทานพระราชดำริ ให้ประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำงานศิลปาชีพ เพื่อเพิ่มพูนรายได้
การดำเนินงานใน ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพ แต่ละแห่งจะ จัดเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ของแต่ละท้องถิ่น และบุคคล เพื่อให้การฝึกอบรมแก่สมาชิก รวมทั้งจัดหางาน ให้สมาชิกดำเนินการ เพื่อนำไปจำหน่าย เป็นรายได้เสริมของสมาชิกแต่ละกลุ่ม
ซึ่งในปัจจุบัน มีจำนวน 34 โครงการ ดังนี้
1) ศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร (UE 525445)
2) ศูนย์ศิลปาชีพบ้านจาร ต.ม่วง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร (UE 477770)
3) ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพอีสานใต้ บ้านตะตึงไถง ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ (UB 400410)
4) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านสานแว้ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร (VD097556)
5) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านทรายทอง ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร (UE 372128)
6) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านดอนคำ-วัดเสนานฤมิตร บ้านดอนคำ ต.นาแต้ อ.คำตากล้า จ.สกลนคร (UE 643822)
7) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านบ่อเดือนห้า ต.โคกภู อ.ภูพาน จ.สกลนคร (UD 913795)
8) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกำแมด ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี (UE 180630)
9) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านหาดแพง ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม (VE 253544)
10) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านโชคอำนวย ต.ท่าดอกคำ อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย (VE 067986)
11) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกุดสะกอย ต.โพธิไพศาล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร (VE 361191)
12) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.กระสัง บ้านบุ ต.ลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ (UB 273663)
13) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.ห้วยทับทัน บ้านหนองเมย ต.เมืองหลวง อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ (UB 957647)
14) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.ภูสิงห์ บ้านตะแบง ต.ห้วยติ๊กชู อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ(VB 078077)
15) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.บัวเชด บ้านตาปิม ต.บัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ (UB 876035)
16) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.บุณฑริก บ้านสมพรรัตน์ ต.หนองสะโน อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี (VB 289280)
17) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านสร้างถ่อน้อย ต.สร้างถ่อน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ (VC 435300)
18) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านเวินบึก ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี (WB 604934)
19) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านยางน้อย ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี(VB 596976)
20) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.ละหานทราย ต.หนองแวง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ (TA 812783)
21) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกุดสิม-คุ้มเก่า ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ (VD 033453)
22) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านนาตาด-นาโปร่ง ต.บะยาว อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี (UD 331877)
23) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านโสกส้มกบ ต.บ้านใหม่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น(SD 918513)
24) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านโคกก่อง ต.หนองแดง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม (TC 894475)
25) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านดอนหลี่ ต.หนองบัวแก้ว อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม (UE 166234)
26) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพทุ่งกะมัง บ้านหนองหอย ต.กุดชุมแสง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ (QV 737127)
27) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.โพธิ์ชัย บ้านพลไทย ต.โพธิ์ศรี อ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด (UD 692066)
28) โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ อ.ปทุมรัตต์ บ้านดอกล้ำ ต.ดอกล้ำ อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด (UC 205323)
29) โครงการป่ารักน้ำบ้านป่ารักน้ำ ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (UE 395522)
30) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่บ้านน้อมเกล้า ต.บุ่งคล้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร (VC 799834)
31) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่บ้านทันสมัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม (VE 427069)
32) โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง บ้านผานาง ต.ผาอินทร์แปลง กิ่ง อ.เอราวัณ จ.เลย (RV 176190)
33) โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อเทิดพระเกียรติฯ บ้านคกงิ้ว ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย (QV 830806)
34) โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อเทิดพระเกียรติฯ ผาบ่าว-ผาสาว บ้านนาซำแซง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย (QV 808171)
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th
พระราชปณิธานอันแน่วแน่ของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บรรเทาวิกฤติการณ์ ขาดแคลนน้ำอย่างร้ายแรง "ขาดน้ำ ทุกชีวิตสิ้นสุดทันที" การรักษาแหล่งน้ำ ไว้ให้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของมวลสัตว์โลกทั้งหลายนั้น น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใครช่วยกันได้ก็น่าจะช่วยคนละไม้คนละมือ อย่างน้อยช่วยกันป้องกันมิให้ บ่อ คลอง แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร สกปรก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องรู้ว่ายิ่งคนมากขึ้น ของสกปรกต่าง ๆ ที่เราระบายสู่แม่น้ำ ทะเลนั้นมีมากพอที่จะทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ ที่คนอาศัยเลี้ยงชีวิต คนยังใช้ยาฆ่าพืช ฆ่าแมลง ที่แรง และสลายตัวได้ยากกันอย่างมาก
ด้วยความคิดเพียงแต่จะสะดวก เร็ว และง่าย เท่านั้น ไม่คิดว่าสารเคมีเหล่านั้น รวมทั้งของที่คนไม่ต้องการแล้ว จะไปสะสมร่วมกัน ทำลายชีวิตสัตว์ที่เป็นประโยชน์ ต่อชีวิตคน คนมัวแต่คิดว่าทำอย่างไร เราถึงจะรวยเร็ว ๆ จะได้โน่น จะได้นี่ ดังใจปอง เห็นป่าสงวนเข้า ก็ยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งว่าจ้างให้คนจนตัดไม้ขายออกต่างประเทศ คนจนเหล่านั้นก็เสียรู้ นึกว่าตัดป่าขายดี สะดวกดี รวยเร็วดี ป่าไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร กับพวกเรา ขัดขวางไม่ให้เรามีไร่นา
จึงมาคิดว่าที่มีพระราชดำรินานมาแล้วว่า จะทำให้ป่าไม้เป็นประโยชน์ กับพวกเราเองทั้งสิ้น การปฏิบัติให้เขาได้ เห็นเองว่าป่าไม้เป็นของ ประชาชนคนไทยเป็นส่วนใหญ่ เป็นส่วนรวมจริง ๆ อาจจะพอที่จะลดการลักลอบตัดไม้ไปได้บ้าง พวกเราที่ได้มีโอกาส อ่านเรียนมาก ควรร่วมมือกันสละเวลา ส่วนตัวไปดูแลให้ชาวนา ชาวไร่ ได้มีความสุขขึ้น ด้วยความรู้จักรักษา ผลประโยชน์ ของพวกเขาเองไว้ ในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้คนยากจน ช่วยให้เรารวยได้เร็ว ๆ ประเทศไทยจะเป็นประเทศ ประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
ถ้าพวกเราต่อสู้กับ ความยากจน ความหิว ขาดความรู้ อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งกับนักข่าว BBC เวลาเขาถามพระองค์ท่านว่า "เสด็จมาทำอะไรกันที่ชายแดน มีทหารล้อมหน้าล้อมหลัง จะมาสู้กับคอมมิวนิสต์หรือ ?" พระองค์ทรงรับสั่งว่า "พวกเรามาอยู่ที่นี่ ก็เพราะที่นี่ขาดน้ำทำกิน เรามาสู้กับความยากจน นานาประการ เพื่อให้คนไทย เป็นไทแก่ตนอย่าง แท้จริงให้เหมาะสมกับ ระบอบประชาธิปไตย ที่ท่านทั้งหลาย ก็สนับสนุน อยู่มิใช่หรือ"
คนไทยส่วนใหญ่ มีความฉลาดลึกซึ้ง ในการต่อสู้เพื่อชีวิต เขารักการทำนา คุณสมบัตินี้ น่ายกย่องสนับสนุน ชาวนาต้องต่อสู้ เพื่อยังชีวิตอย่างหนัก น้ำเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่ควรช่วยสนับสนุนเขาทุกทาง และชาวนาไทยฉลาดล้ำ ในความยึดมั่นเพียงปัจจัยสี่ ตามที่พระพุทธองค์ ของเราทรงสอนไว้ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค นักวิชาการของโลกรู้ดี ถึงสภาพจิตใจที่รู้ดีแล้ว ของชาวนาไทย ถึงกับลงพิมพ์ยกย่องทำนายว่า เมืองไทยจะเจริญต่อไป เพราะสภาพจิตหยั่งรู้ ในการต่อสู้ เพื่อดำรงชีวิต ของชาวนาไทย
คนไทยส่วนใหญ่ มีความฉลาดลึกซึ้ง ในการต่อสู้เพื่อชีวิต เขารักการทำนา คุณสมบัตินี้ น่ายกย่องสนับสนุน ชาวนาต้องต่อสู้ เพื่อยังชีวิตอย่างหนัก น้ำเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่ควรช่วยสนับสนุนเขาทุกทาง และชาวนาไทยฉลาดล้ำ ในความยึดมั่นเพียงปัจจัยสี่ ตามที่พระพุทธองค์ ของเราทรงสอนไว้ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค นักวิชาการของโลกรู้ดี ถึงสภาพจิตใจที่รู้ดีแล้ว ของชาวนาไทย ถึงกับลงพิมพ์ยกย่องทำนายว่า เมืองไทยจะเจริญต่อไป เพราะสภาพจิตหยั่งรู้ ในการต่อสู้ เพื่อดำรงชีวิต ของชาวนาไทย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเห็นว่าป่าไม้ ในพื้นที่ต่าง ๆ กำลังถูกแผ้วถางทำลาย อย่างรวดเร็ว จึงทรงมีพระราชดำริ ให้มีการชักชวนประชาชนทั่วไป และข้าราชการส่วนต่าง ๆ ร่วมกันปลูกป่าตัวอย่าง เพื่อเป็นการชักชวนให้ ประชาชนเกิดความรู้สึกรัก และหวงแหนป่าไม้
ดังนั้น จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ทำพิธีขึ้นครั้งแรก ที่บริเวณเชิงภูผาเหล็ก ติดกับอ่างเก็บน้ำคำจวง บ.ถ้ำติ้ว อ.ส่องดาว จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2525 เวลา 14.00 น. โดยในพิธีทรงให้มีการ บวงสรวงเทพารักษ์ เจ้าป่ามาสถิตอยู่ ณ ป่าแห่งนั้นด้วย และพระองค์ทรงปลูกป่า เป็นตัวอย่างด้วยพระองค์เอง จำนวน 1 ไร่ พร้อมทั้ง พระราชทานชื่อโครงการนี้ว่า โครงการป่ารักน้ำ
ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวน 5 โครงการ ได้แก่
1. โครงการป่ารักน้ำ บ้านถ้ำติ้ว ตำบลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
2. โครงการป่ารักน้ำ บ้านป่ารักน้ำ ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
3. โครงการป่ารักน้ำ บ้านกุดนาขาม ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร
4. โครงการป่ารักน้ำ บ้านจาร ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร
5. โครงการป่ารักน้ำ บ้านทรายทอง ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th
เมื่อปีพุทธศักราช 2525 พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นป่าผืนใหญ่ ซึ่งยังเหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงมีพระราชดำรัสว่า
"พื้นที่บนภูเขาเป็นที่ราบสูง กว้างขวาง มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ และยังมีสัตว์อยู่ มากมายหลายชนิด เหมาะสมที่จะอนุรักษ์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และพัฒนาให้เป็นสวนสัตว์ป่าเปิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและส่งเสริมการท่องเที่ยว ต่อไปในอนาคต และการที่จะดำเนินการ ให้เป็นผลสำเร็จนั้น จะต้องยับยั้ง ไม่ให้ประชาชนบุกรุกป่า และล่าสัตว์ โดยพัฒนาหมู่บ้าน บริเวณใกล้เคียงภูเขียวทั้งหมด ให้มีความเจริญ พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพ ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ อย่างมีความอยู่ดีกินดี ส่งเสริมให้ประชาชน มีความรับผิดชอบ รักป่าและสัตว์ป่า จะได้ช่วยกันดูแล ป้องกันมิให้ราษฎร จากหมู่บ้านอื่น ๆ ขึ้นไปล่าสัตว์ป่าด้วย "
จากพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวฯ ดังกล่าว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนองพระราชดำริ โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2530 ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุม เพื่อจัดทำแผนงาน โครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวขึ้น โดยการวางแผนเกี่ยวกับการพัฒนาหมู่บ้าน โดยรอบภูเขียว ให้มีความอยู่ดีกินดี ปลูกฝังให้รักป่า และสัตว์ป่า รวมทั้งวางแผน ในการปล่อยสัตว์ป่า โดยการจัดงานวันอิสรภาพของสัตว์ป่าไทยขึ้น
โดยกำหนดที่ตั้งโครงการ บริเวณรอยต่อ อำเภอหนองบังแดง อำเภอคอนสาร อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ต่อมาได้มีการจัดงาน "วันอิสรภาพของสัตว์ป่าไทย" ขึ้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2530 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในการปล่อยสัตว์ป่า ที่นำมาจากที่ต่าง ๆ ให้คืนสู่ป่าในภูเขียว กระทำพิธี ณ บริเวณทุ่งกะมัง มีประชาชนนำอาวุธล่าสัตว์ป่า มามอบจำนวนมาก
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีปล่อยสัตว์ป่า ที่บริเวณทุ่งกะมัง เมื่อ 21 ธันวาคม 2535 ในพิธีดังกล่าว มีประชาชนในหมู่บ้านรอบภูเขียว จำนวนมากมอบอาวุธล่าสัตว์ป่าและกล่าวปฏิญาณตนว่า จะไม่เข้าไปล่าสัตว์ป่า และบุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป
โครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า มีที่ตั้งอยู่ บริเวณรอยต่อ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอคอนสาร, อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่บนภูเขา เป็นที่ราบสูงกว้างขวาง มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ และยังมีสัตว์ป่าอยู่ มากมายหลายชนิด เหมาะสมที่จะอนุรักษ์ ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และพัฒนาให้เป็น สวนสัตว์ป่าเปิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในอนาคต
โครงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ทุ่งกะมัง จังหวัดชัยภูมิ
ประวัติความเป็นมา
เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ได้จัดตั้งขึ้นเป็นทางการเมื่อปีพุทธศักราช 2508 โดยที่รัฐบาลเล็งเห็นว่า พื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพรม มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ มีสัตว์ป่าที่มีคุณค่า หลายชนิดอาศัยอยู่ในท้องถิ่นนี้ โดยเฉพาะ กระซู่ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน ที่กำลังจะสูญพันธุ์ไป ก็มีอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ด้วย นอกจากนั้นยังเป็น แหล่งอาศัยของ กระทิง วัวแดง ช้างป่า เลียงผา เสือโคร่ง เสือดาว และนกที่สำคัญหลายชนิด เช่น นกยูง นกเป็ดก่า นกเงือกสีน้ำตาล นกแก๊ก นกกก เป็นต้น
พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งรวม ของพรรณไม้ที่สำคัญนานาชนิด หลายชนิด เป็นไม้ที่มีค่าทางด้านป่าไม้ และการเกษตร ควรที่จะสงวนไว้ เป็นแหล่งพันธุกรรม และแหล่งเมล็ดพันธุ์ต่อไปในอนาคต เนื่องจากพื้นที่อยู่ในระดับสูง จึงเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ของพื้นที่เกษตรในที่ราบ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะเป็นแหล่งต้นน้ำ ของลำน้ำพรมอันเป็นสาขาหนึ่งของ ลำน้ำชี นอกจากนี้ยังมีสภาพภูมิประเทศ อันสวยงามเหมาะ กับการพักผ่อนหย่อนใจ ทางธรรมชาติ ดังนั้นทางรัฐบาล จึงได้ประกาศให้พื้นที่ป่าภูเขียว เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าชื่อว่า "เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ภูเขียว" ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 154 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2515
และต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2522 ซึ่งออกตามความใน พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ พุทธศักราช2503 ได้มีการผนวกพื้นที่บางส่วนเพิ่มเติม จนปัจจุบันเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว มีพื้นที่ทั้งหมด 1,560 ตารางกิโลเมตร หรือ 975,000 ไร่ รวมเอาพื้นที่ใน ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร ตำบลบ้างยาง ตำบลบ้านค่า ตำบลกุดเลาะ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ ตำบลนางแดด ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
ประวัติความเป็นมา ในพื้นที่นี้นับจากปี พุทธศักราช 2498 เป็นต้นมา พื้นที่ส่วนนี้ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ขึ้นกับป่าไม้เขตจังหวัดนครราชสีมา ภายใต้ป่าโครงการ ไม้กระยาเลยภูเขียวหมวดที่ 4 มีการทำไม้บางส่วนออกมา ตั้งแต่ช่วงปี พุทธศักราช 2508 จนถึงปี พุทธศักราช 2512 ก่อนที่จะประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เพื่อเป็นการนำไม้ออกจากพื้นที่ จึงมีการตัดเส้นทางชักลากไม้ ออกจากอำเภอคอนสาร ผ่านทุ่งลุยลาย ไปสู่บางม่วงและทุ่งกระมัง ต่อไป
จนถึงแปนและห้วยแหลหนองป่าเตย เนื่องจากเส้นทางสายนี้ทำให้ราษฎรเดินทางเข้าไปบุกรุกทำลายป่าอันสมบูรณ์ส่วนนี้อย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาจากหมอนไม้ หรือ ที่พักคนงาน กลายเป็นหมู่บ้านใหญ่น้อย โดยเฉพาะบริเวณทุ่งกะมัง บึงมน บึงแปน ห้วยแหลป่าเตย ศาลาพรม นอกจากการทำไม้แล้ว ราษฎรเหล่านี้ยังหักร้างถางพง เพื่อทำนาและปลูกพืชไร่ พร้อมทั้งทำการล่าสัตว์ป่า เพื่อเป็นอาหาร และส่งออกขายในตัวเมือง โดยเฉพาะกระซู่ ที่เป็นสัตว์ป่าสงวนที่หายากมากได้ถูกล่าไปแล้วถึง 3 ตัว ในบริเวณทุ่งกะมัง
อันเนื่องมาจากการที่ สัตว์ป่าสงวนที่สำคัญ ได้ถูกลักลอบล่า และป่าไม้ถูกทำลายนี้เอง ทำให้ นายศักดิ์ วัฒนากุล ป่าไม้จังหวัดชัยภูมิในสมัยนั้น (พุทธศักราช 2513) ได้เสนอกรมป่าไม้ ให้ประกาศพื้นที่นี้เป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยด่วน กรมป่าไม้จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกทำการสำรวจ และประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามประกาศคณะปฏิวัติดังกล่าว
ในชั้นแรกครอบคลุม พื้นที่เพียง 1,314 ตารางกิโลเมตร พร้อมทั้งอพยพราษฎร ออกจากทุ่งกะมังเป็นจำนวน 40 ครอบครัว และจากศาลาพรมอีกจำนวน 100 ครอบครัว กลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิม รวมทั้งราษฎรอีกจำนวนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่บริเวณบึงแปนด้วย ราษฎรเหล่านี้บางส่วน ได้จัดที่ทำกินให้โดยจัดตั้งเป็นโครงการพัฒนาที่ดิน บ้านทุ่งลุยลาย งานอพยพราษฎรในพื้นที่ กลายเป็นพื้นที่มีปัญหา อันเนื่องมาจาก ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เข้าไปอยู่อาศัย และขัดขวางการทำงาน ของเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ในปี พุทธศักราช2520 ทางกรมป่าไม จึงได้จัดตั้ง สำนักงานส่วนกลาง ของเขตการรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ชั่วคราวขึ้นที่ศาลาพรม และจัดตั้งหน่วยพิทักษ์ป่า และฐานปฏิบัติการเฉพาะกิจ ป้องกันปราบปราม การบุกรุกทำลายป่า (ศปป.) กระจายอยู่ตามจุดที่ล่อแหลม ต่อการบุกรุกทำลายป่า รอบแนวเขตเพื่อควบคุมรักษาป่า บริเวณเชิงเขาอันเป็นแนวกันชน และสกัดกั้นการขึ้นลงภูเขียวภารกิจนี้ต่อมาได้รับความร่วมมือจาก ตำรวจตระเวนชายแดน และ กองทัพภาคที่ 2 โดยมีเป้าหมาย ที่จะจัดตั้งหน่วยบริหารกลาง ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ ที่บริเวณ ทุ่งกะมังต่อไป
ในเดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2522 เมื่อรัฐบาลได้ประกาศ พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวใหม่ โดยผนวกพื้นที่ เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ตารางกิโลเมตร ทำให้ครอบคลุมหมู่บ้านราษฎร ที่บุกรุกเข้าไปอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ อีกหลายหมู่บ้าน ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องวางแผน อพยพราษฎรเหล่านั้น ออกไปจากพื้นที่อีก แต่เนื่องจากการขัดขวางของผู้ก่อการร้าย ทำให้งานโยกย้ายราษฎร ออกจากพื้นที่กระทำได้ไม่เต็มที่ จนถึง พุทธศักราช 2524 เมื่อสภาพทางการเมือง คลี่คลาย ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ อ่อนกำลังลง
การโยกย้ายราษฎร จึงได้กระทำต่อใน เดือนเมษายน พุทธศักราช 2525 หน่วยราชการหลายฝ่าย ได้ร่วมมือกันอพยพราษฎร จำนวน 96 ครอบครัว ออกจากบริเวณหนองไร่ไก่ และในเดือนพฤษภาคม - เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2526 ได้ร่วมกันอพยพราษฎรจำนวน 208 ครอบครัว ออกจากบริเวณพรมโซ้ง ผาผึ้ง และซับเตยเข้าไปอยู่ใน โครงการพัฒนาป่าดงลานที่ 2 บ้านอ่างทอง อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น พื้นที่นาร้าง และไร่ร้างหลายแห่ง ได้ กลายเป็นทุ่งหญ้าถาวร อันเนื่องจากไฟป่า จึงทำให้กลายเป็น แหล่งอาหารสัตว์ อันอุดมสมบูรณ์ มาจนปัจจุบัน
เนื่องจากสภาพใจกลาง ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบบนเขาสูง จึงทำให้การจัด สร้างทางรถยนต์เข้า-ออก ได้เพียงเส้นทางเดียว คือเส้นทางเข้าเขื่อนจุฬาภรณ์ ซึ่งมีเส้นทางแยก เข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แห่งนี้ที่ปางม่วง ตามเส้นทางชักลากไม้เก่า
ที่ตั้งอาณาเขต
สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ทุ่งกะมัง (ใจกลางป่าภูเขียว) ห่างจากอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ตามเส้นทางรถยนต์ 82 กิโลเมตร มีอาณาเขตครอบคลุมท้องที่ ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร ตำบลนางแดด ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง ตำบลกุดเลาะ ตบลบ้านยาง ตำบลหนองข่า อำเภอเกษตรสมบูรณ์ โดยมีพื้นที่ 1,560 ตารางกิโลเมตร หรือ 975,00 ไร่ ซึ่งขณะนี้ได้สำรวจหมายแนวเขต ขยายเพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งสิ้น 1,125,000 ไร่
o ทิศเหนือ จด อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และเขื่อนจุฬาภรณ์ จังหวัดชัยภูมิ
o ทิศตะวันออก จด ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เขื่อนห้วยกุ่ม และ อำเภอเกษตร-สมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ
o ทิศใต้ จด อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
o ทิศตะวันตก จด แนวเขตอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
ลักษณะภูมิประเทศ
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นเทือกเขาหินทราย ซึ่งปรากฏมีหน้าผาสูงชัน เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 1,200 เมตร พื้นที่บางแห่งมีดินตื้นจะมีลานหิน และสวนหินเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่แปลกตา และสวยงาม ทางด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ
มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูน สลับซับซ้อนและสูงชัน ประกอบด้วยถ้ำขนาดใหญ่สวยงามหลายแห่ง มีความสูง 1,242 เมตร เช่น เขาอุ้มนาง ซึ่งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือใกล้จังหวัดเพชรบูรณ์ ภูเขียวมีสภาพป่าที่สมบูรณ์และภูเขาสูง
เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ที่สำคัญยิ่งของลำน้ำพรม และแม่น้ำชี ทางด้านทิศเหนือ และทิศตะวันออก เป็นต้นกำเนิดห้วยดาด ห้วยไม้ซอด ห้วยซาง ฯลฯ ซึ่งไหลลงลำน้ำพรม ส่วนด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ เป็นต้นกำเนิดของลำสะพุง และแม่น้ำชี ซึ่งมีต้นน้ำมาจากห้วยเล็ก ๆ หลายห้วย เช่น ห้วยไขว้ ห้วยเพียว ห้วยป่าเตย ลำสะพุงน้อย ลำสะพุงลาย
ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของราษฎรในท้องที่ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอภูเขียว อำเภอหนองบัวแดง และแหล่งชุมชนหลายจังหวัด จนไปรวมกับลำนำโขง ที่จังหวัดอุบลราชธานี
ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศโดยทั่วไปเย็นและชื้นเนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร มีป่าทึบปกคลุมเป็นส่วนมาก และอยู่ในเขตมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีฤดูกาลทั้ง 3 ฤดู
ฤดูฝน จะมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนเมษายน ไปจนถึง เดือนพฤศจิกายนของทุกปี แต่อาจจะมีทิ้งช่วงบ้างใน เดือนมิถุนายน - เดือนกรกฎาคม โดยตกหนักมากใน เดือนกันยายน - เดือนตุลาคม ปริมาณน้ำฝนประมาณ 2,000 ลูกบาศก์มิลลิเมตรต่อปี
ฤดูหนาว อุณหภูมิเริ่มหนาวเย็นตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายนและหนาวจัดใน เดือนธันวาคม - เดือนมกราคม อุณหภูมิเฉลี่ยช่วงนี้ประมาณ 10 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 2 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน จะเริ่มตั้งแต่ปลาย เดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนเมษายน แต่ในช่วงนี้อาจมีฝนตกบ้าง อากาศตอนกลางคืนยังคงเย็น อุณหภูมิกลางวันเฉลี่ยประมาณ 25 องศาเซลเซียส
ชนิดป่าพันธุ์พืชและสัตว์ป่า
ชนิดป่าไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ ซึ่งประกอบด้วยป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา นอกนั้นมีป่าสนเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และทุ่งหญ้า พันธุ์พืชประกอบด้วย ไม้ยาง ตะเคียนหนู ตะแบก มะค่าโมง มะค่าแต้ กระเบาหลัก แต่ตามหุบเขาหรือบริเวณลำห้วย ลำธารจะรกทึบยิ่งขึ้นกลายเป็นป่าดงดิบชื้น และอุดมไปด้วยพรรณไม้ป่าดงดิบชื้น ได้แก่ ยาง ตะเคียนทอง กะบก มะม่วงป่า มะพลับ มะแฟง มะไฟ ชมพู่ป่า และมีเถาวัลย์พรรณไม้พื้นล่าง เช่น บอนป่า หวาย ระกำ ไม้ไผ่ต่าง ๆ ขึ้นปกคลุมหนาแน่น ตามยอดเขาซึ่งมีระดับสูง ตั้งแต่ 300 เมตร ขึ้นไปก็มักจะมีสนเขาขึ้นเป็นชนิด สนสองใบ และสนสามใบ ขึ้นอยู่ประปรายทั่วไป สลับกับพรรณไม้ป่าดิบเขา จำพวกก่อ ซึ่งปรากฏขึ้นอยู่หนาแน่น เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น ป่าเบญจพรรณ ปรากฏเป็นหย่อมเล็ก ๆ ตามเนินเขาที่ไม่สูงมากนัก มีพรรณไม้ที่สำคัญอยู่ ได้แก่ มะค่าโมง ตะแบก แดง ประดู อ้อยช้าง มะกอก ไม้ไผ่ ฯลฯ ในบริเวณที่ดินตื้น หรือลูกรังตามเนินเขา จะเป็นป่าเต็งรัง พะยอม เหียง มะกอก ตะแบก มะขามป้อม ยอป่า ลมแล้ง และ กระโดน เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้า ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สลับกับป่าโปร่งตามบริเวณยอดเขา ที่มีดินตื้นยังมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง และแหล่งในลักษณะเป็นบึง ตามธรรมชาติอีกหลายแห่ง เช่น ทุ่งกะมัง บึงแปน บึงแวง บึงมน บึงคร้อ และ บึงยาว สลับกับป่าดงดิบที่แน่นทึบ ซึ่งทำให้สัตว์ป่าอาศัยอยู่ อย่างชุกชุมมากมายหลายชนิด แม้กระทั่งกระซู่ ซึ่งเป็นสัตว์ป่า และใกล้จะสูญพันธุ์ของประเทศไทย ก็ยังพบร่องรอยอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมี เลียงผา ช้างป่า กระทิง เสือโคร่ง เสือดาว กวาง เก้ง กระจง หมี ชะนี ลิง ค่าง หมูป่า ฯลฯ ซึ่งจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมขนาดใหญ่ และนกต่าง ๆ ที่หายาก เช่น ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าหลังขาว นกยูง นกเงือกชนิดต่าง ๆ นกกางเขนดง นกหัวขวานหลายชนิด ฯลฯ คาดว่า เมื่อได้ทำการสำรวจโดยละเอียด จะได้พบสัตว์ป่าใหม่ ๆ แปลก ๆ อีกหลายชนิด
แหล่งความงามตามธรรมชาติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว นับว่าเป็นแหล่งป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ที่เหลืออยู่ไม่มากใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ป่าทั้งหมดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งความงาม ตามธรรมชาติที่สำคัญของภาค ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว นอกจากจะประกอบด้วยป่าที่สวยงามหลายชนิด เช่น ป่าดงดิบเขา ป่าดงดิบแล้ง ป่าเต็งรังผสมสน ป่าผสมผลัดใบ และป่าเต็งรังแล้ว ยังมีทุ่งหญ้า และลานหินอยู่หลายแห่ง แต่สังคมพืชเหล่านี้ นอกจากมีโครงสร้างที่แปลกตาแล้ว ยังมีพรรณไม้ที่น่าสนใจ และสวยงาม ทั้งรูปทรงและมีสีสันของดอก อีกจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกล้วยไม้ และไม้ล้มลุกอีกหลายชนิด รวมถึงกุหลาบภูชนิดดอกแดง และดอกขาว นอกจากไม้ป่าที่น่าสนใจดังกล่าวแล้ว ยังเป็นแหล่งสัตว์ป่า ที่ช่วยให้ธรรมชาติป่าเขา มีชีวิตชีวา และมีความสวยงามยิ่งขึ้น สัตว์ป่าที่เด่นนี้เช่น ช้างป่า วัวแดง กระทิง เสือโคร่ง เสือดาว หมี กวาง หมูป่า และ เก้ง ซึ่งสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้ง นกอีกเป็นจำนวนมากมาย หลายชนิดก็เป็นจุดเด่น ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่แห่งนี้ เช่น นกเป็ดก่า นกเงือกสีน้ำตาล นกแก๊ก ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าพญาลอ และ นกยูง เป็นต้น ความสวยงามที่น่าสนใจ ของป่าไม้และสัตว์ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้ง ภายในประเทศ และต่างประเทศ นอกจากความงามทั่วไป ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีจุดเด่นเฉพาะหลายแห่งด้วยกันคือ
o บึงแปน
o ภูคิ้ง
o ผาเทวดา
o ลานจันทร์ และ ตาดหินแดง
o น้ำตกห้วยทราย น้ำตกไทรย้อย น้ำตกตาดคร้อ และ น้ำตกนาคราช
ทุ่งกะมัง
เป็นทุ่งที่เกิดจากการทำลายป่าของราษฎรที่ขึ้นไปบุกรุกป่าธรรมชาติ เพื่อปลูกพืชและตั้งหลักแหล่ง แต่เดิมคงมีที่ว่าง ที่เป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก ในป่าเต็งรังผสมผสานมาก่อน ราษฎรที่บุกรุกจึงได้ขยายทุ่งหญ้า ให้กว้างขึ้นเพื่อทำนา และปลูกพืช เมื่อจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้ว ก็ได้ย้ายราษฎรเหล่านั้นออกไป พื้นที่ส่วนนี้จึงกลายเป็น ทุ่งหญ้าอันกว้างขวาง ส่วนใหญ่เป็นหญ้าเพ็ก และ หญ้าหวาย มีพรรณไม้ขนาดเล็ก ขึ้นอยู่ประปราย เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง เอนอ้า แววมยุรา และหญ้าพง
บริเวณโดยล้อมรอบด้วย ป่าเต็งรังผสมสน และป่าดงดิบเขาระดับต่ำ กลางทุ่งมีลำห้วยไหลผ่าน สามสายด้วยกัน ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงให้สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อสัตว์ป่าขึ้นสามอ่าง และทรงได้สร้างพระตำหนักพักผ่อนขึ้น บริเวณชายทุ่งทางด้านทิศตะวันตกด้วย จึงทำให้บรรยากาศบริเวณทุ่ง มีความแปลกใหม่ยิ่งขึ้น
บริเวณอ่างเก็บน้ำเหล่านั้น กลายเป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิด ที่ผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ สามารถพบเห็นได้โดยตลอด นกสำคัญ เช่น นกเป็ดแดง นกเป็ดก่า นกอีล้ำ นกกระยาง นกกระเต็นชนิดต่าง ๆ เป็นต้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่น กวาง กระทิง หมีควาย ช้างป่า อีเก้ง เป็นต้น กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้สร้างหอดูสัตว์ขึ้นเ พื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชม ได้ใช้เป็นที่ชมสัตว์ป่า และธรรมชาติของตัวทุ่ง นกจากนี้ยังมีเส้นทางโดยรอบ เพื่อการสัมผัสธรรมชาติ อย่างแท้จริงอีกด้วย
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th
พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า บ้านสร้างถ่อน้อย ตำบลสร้างถ่อน้อย อำเภอตัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2538
"ข้าพเจ้าถือว่าวันนี้ เป็นวันที่เป็นมิ่งมหามงคลที่ประเทศไทยได้มีประชาชนเป็นจำนวนมาก ที่อาสาที่จะปกป้องรักษาป่าในผืนแผ่นดินเรา อันที่จริงการปฏิญาณรักษาป่านี้ เป็นประโยชน์แก่พวกเราทุก ๆ คน และลูกหลานของเราในอนาคต เพราะเมืองไทยไม่มีแหล่งน้ำจืดที่ไหนเลย นอกจากป่า ป่าเป็นแหล่งน้ำจืด ป่าเป็นที่เก็บขังน้ำบริสุทธิ์ สำหรับพวกเราได้ทำมาหากิน ได้บริโภค เผื่อว่าผืนดินของเรานี้ จะได้เป็นผืนดินที่เป็นประโยชน์ ให้ชีวิตของพวกเราอย่างแท้จริง ที่เราเป็นนักเกษตรกรรม, กสิกรรม ถ้าขาดต้นไม้ ขาดป่า เราก็ขาดความชุ่มชื้น
ความชุ่มชื้นนี้หมายถึง ฝนตกต้องตามฤดูกาล ต้นไม้นี้เป็นของมีประโยชน์มาก เขาจะระเหยความชุ่มชื้นขึ้นไปบนท้องฟ้าไปผสมกับส่วนประกอบในท้องฟ้า ทำให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล และเมื่อฝนฟ้าตกลงมาเขาก็จะเก็บน้ำไว้ที่ตัวต้นไม้ และก็ในรากทำให้เกิดน้ำใต้ดิน ที่สมบูรณ์ อย่างที่เวลาเราขุดน้ำ ที่ผืนดินเราก็จะได้น้ำ อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าฝนจะแล้งไปชั่วระยะหนึ่ง
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าถือว่าเป็นนิมิตหมายที่คนไทยตื่นตัวรู้จักว่า น้ำ เป็นส่วนสำคัญในโลก อันที่จริงแล้วนักวิชาการทั่วโลกพูดว่า น้ำนี้เป็นของจำกัดในโลกนี้ ไม่ว่าประเทศใดทั้งนั้น และต้นไม้นี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น และก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ฝนฟ้าตก เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลาย คงจะได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่จะพูดว่า สมัยนี้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้การเพาะปลูกลำบาก
ประเทศไทยเรามีชื่อเสียงมานาน ในฐานะที่ว่าเป็นประเทศที่สามารถ ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงตนเอง เรามีข้าวบริโภค เรามีอาหารต่าง ๆ เลี้ยงตัวเอง ซึ่งข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ความสำเร็จอันนี้ ไม่ใช่ของง่าย เดี๋ยวนี้ทั่วโลกหลายประเทศ หยุดการเป็นประเทศที่ผลิตอาหารเลี้ยงตัวเอง ต้องสั่งซื้อ ต้องนำมาจากประเทศต่าง ๆ ซึ่ง ทำให้การตัดสินใน ของประเทศนั้น ๆ ไม่เป็นอิสรเสรีภาพเท่าที่ควร
เพราะฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือว่าวันนี้เป็นวันที่นิมิตดี ท่านทั้งหลาย ราษฎรของประเทศไทย ลุกขึ้นมาร่วมกัน รักษาทรัพยากรที่หายาก ที่สุดในโลกและไม่มีวันที่จะเพิ่มขึ้นในโลกนี้คือ น้ำ น้ำที่เป็นสายธารแห่งชีวิต น้ำที่เป็นผู้ชุบชีวิตเราตั้งแต่ก่อนเราเกิด เวลาที่เราอยู่ในท้องแม่ เราต้องลอยอยู่ในน้ำ เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน ที่จะเกิดมีแก่ชีวิตของพวกเรา ที่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ เพราะฉะนั้น ในการที่ท่านมีความปราถนาดีที่จะพิทักษ์ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์
ข้าพเจ้าขออวยพร ให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสำเร็จ สมดั่งประสงค์ทุกประการ ซึ่งความสำเร็จของท่าน หมายถึง ความสำเร็จของประเทศไทย และคนไทยในอนาคตนั่นเอง ซึ่งบัดนี้คนทั้งหลาย ไม่ทราบว่าที่เราตัดป่า เราทำลายแหล่งชีวิตของเรา ข้าพเจ้าจึงเลือกคำว่า "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต"
จากพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ "คน" กับ "ป่า" อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้ราษฎรทุกหมู่เหล่า ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ใกล้ชุมชน เป็นผลให้ป่าไม้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มรักษาไว้ได้มากขึ้น จึงได้พระราชทาน แนวพระราชดำริให้ราษฎร อยู่ร่วมกับป่าไม้อย่างสันติสุข พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยชุมชน/หมู่บ้าน ได้มีการจัดตั้งองค์การ ในการร่วมกันดูแลรักษาป่าและสภาพแวดล้อม แหล่งต้นน้ำลำธาร
โครงการนี้ มีกิจกรรมหลัก 2 ประเภท คือ
1. โครงการฝึกอบรมราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้ "คน" กับ "ป่า" อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยพึ่งพาอาศัย ซึ่งกันและกันเพื่อเป็นแนวทาง ที่จะทำให้เกิดการพิทักษ์ อนุรักษ์ และฟื้นฟู สภาพป่าให้คงประโยชน์ อย่างยั่งยืนได้ พระราชดำรินี้ทำให้ราษฎรทุกคนต่างสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ใกล้ชุมชน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการฝึกอบรมตามโครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.)
เป็นการฝึกอบรมราษฎรในชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจ ต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ปลูกฝังความรัก และหวงแหนทรัพยากรป่าไม้ในท้องถิ่นของตน รวมทั้งคอยดูแล สอดส่อง มิให้มีการบุกรุก และลักลอบตัดไม้ทำลายป่าแทน เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ความเป็นมาโครงการ
กองทัพภาคที่ 2 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ได้เล็งเห็นถึงปัญหา การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ที่ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้ ตามแนวชายแดน ลำพังเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ป่าไม้ คงเกินขีดความสามารถที่จะรักษาไว้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุน จากหน่วยงานอื่น และประชาชนในพื้นที่ จากปัญหาดังกล่าว กองทัพภาคที่ 2 และ กองอำนวยการ รักษาความมั่นคงภายในภาค 2 จึงได้ริเริ่ม "โครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.)" ขึ้น เพื่อกระตุ้น และสร้างจิตสำนึก ให้กับประชาชน ที่อยู่ใกล้กับแนวเขตป่าให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของป่าไม้ เลิกการตัดไม้ทำลายป่า แล้วหันมาช่วยกันดูแลรักษาป่า
ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 8 อำเภอ 80 หมู่บ้าน เมื่อต้นปี พ.ศ. 2537 โดยกรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 6 ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี ป่าไม้เขตอุบลราชธานี และป่าไม้จังหวัดอุบลราชธานี โดยกรมป่าไม้ ได้สนับสนุนงบประมาณ ในการฝึกอบรม จำนวน 912,000 บาท มีราษฎรเข้ารับการฝึกอบรม ทั้งสิ้น 16,000 คน
กองทัพภาคที่ 2 และ กองอำนวยการ รักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ได้ทำการประเมินผล โครงการฝึกอบรมราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า ดังกล่าวแล้วเห็นว่า เป็นโครงการที่มีผลต่อ การดูแลรักษาป่า และยังปลูกฝังจิตสำนึก ในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการดำเนินงานป้องกัน รักษาป่า ให้กับประชาชนได้ดี กองทัพภาคที่ 2 และ กองอำนวยการ รักษาความมั่นคงภายในภาค 2 จึงได้ทำการขยายผลโครงการนี้ ไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 เป็นหน่วยรับผิดชอบ ดำเนินการ
โดยกำหนดให้โครงการฝึกอบรมราษฎร อาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) เป็นโครงการของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบ ทำลายทรัพยากรป่าไม้ภาคที่ 2 และได้เสนอโครงการฝึกอบรมราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) ให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการลักลอบ ทำลายทรัพยากรป่าไม้ พิจารณาสนับสนุนโครงการฯ และงบประมาณในชั้นต้น มีกำหนด 3 ปี ตั้งแต่ปี 2539 - 2541 งบประมาณการฝึกอบรม ปีละ 3,000,000 บาท จำนวน 100 รุ่น/ปี
การดำเนินงานตามโครงการ ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงทราบและให้ความสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยได้มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระราชทานธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" ให้กับกลุ่มราษฎร, หมู่บ้าน และ ชุมชน ที่สามารถดูแลรักษาป่าไว้ได้ ในโอกาสที่ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ ตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นประจำทุกปี ซึ่งมีตัวแทนของราษฎร เข้ารับพระราชทานธงด้วย และในปัจจุบันโครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) ได้ทำการขยายผล ไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศแล้ว
วัตถุประสงค์
1. สร้างจิตสำนึกร่วมกัน ของราษฎรในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน จนถึงระดับชุมชนใหญ่ ให้เกิดความรักหวงแหนและความเป็นเจ้าของป่าด้วยกัน
2. สร้างจิตสำนึกและอุดมการณ์ร่วมกัน ในการป้องกันรักษาป่า ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับราษฎรในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม
3. เพื่อให้ราษฎรผู้ผ่านการฝึกอบรม มีความรู้ ความเข้าใจ ต่อทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และวิธีการอนุรักษ์ ตลอดจนผลกระทบ ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายผลสู่ญาติพี่น้องในครอบครัวต่อไป
4. เพื่อเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่ควรรู้ ให้กับราษฎรเพื่อสิทธิและประโยชน์อันพึงได้รับจากรัฐ
5. เพื่อจัดตั้งองค์กร ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) ในชุมชน
เป้าหมาย
1. ราษฎรในหมู่บ้าน ที่อยู่ชิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ และป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นความเร่งด่วนอันดับ 1
2. ราษฎรในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชิด พื้นที่ป่าอนุรักษ์ออกมาตามลำดับ เป็นความเร่งด่วนอันดับ 2
2. โครงการธงพิทักษ์ป่าเพื่อรักษาชีวิต
เป็นการคัดเลือก หมู่บ้าน/ชุมชน ที่ให้ความร่วมมือ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ในชุมชนของตนเอง ให้มีสภาพอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งทำการคัดเลือก โดยคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" แล้วทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อขอพระราชทานธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" ให้กับชุมชน ลักษณะของธง จะปรากฏภาพช้างอยู่ในป่าอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยย่อ สก.
คณะกรรมการโครงการธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" จึงได้คัดเลือกชุมชน ที่มีผลงานอนุรักษ์ ทรัพยากรป่าไม้ เป็นผลดี เข้ารับพระราชทานธงพิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต ตั้งแต่ ปีพุทธศักราช 2539 เป็นต้นมา
ความเป็นมาโครงการ
ธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" นี้เป็นธงที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทาน ให้แก่ราษฎรเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ที่ได้ร่วมกันดูแลหวงแหน อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ของหมู่บ้าน/ชุมชน ของชาติเป็นส่วนรวม โดยได้ร่วมแรงร่วมใจกัน อนุรักษ์ป่าไม้ในหมู่บ้าน/ ชุมชนของตน รักษาชีวิตสัตว์ป่า รักษาสิ่งแวดล้อม โดยไม่เข้าไปตัดไม้ทำลายป่า แผ้วถางทำไร่เลื่อนลอย หรือล่าสัตว์
ลักษณะของธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด กว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 114 เซนติเมตร โดยประมาณ ผืนธงเป็นสีฟ้า ภายในธงประกอบไปด้วย ส่วนบน กลางผืนธง จะเป็นพระมหามงกุฎ มีพระปรมาภิไธยย่อ "สก" อยู่ภายในรูปวงรี ส่วนกลางผืนธง จะเป็นต้นไม้สองต้น ระหว่างกลางจะมีช้าง จำนวน 1,2 หรือ 3 เชือก ส่วนกลางผืนธง จะมีแถบสะบัดขึ้นกลางแถบมีคำว่า "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" ของธงปักด้วยไหมสีน้ำเงิน
ความหมายของธงและสี
สีฟ้า เป็นสีประจำพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สีเขียว หมายถึง ความชุ่มชื่น ร่มเย็น
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
ต้นไม้ แสดงถึงป่าไม้
ช้าง แสดงถึงป่าที่อุดมสมบูรณ์
หลักเกณฑ์การพิจารณาพระราชทานธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต"
ชั้นที่ 1 ธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" มีช้างประกอบ 1 เชือก บนผืนธง จะพระราชทานให้แก่ กลุ่มราษฎรที่ได้รวมตัวกัน รักษาป่าจนเป็นที่ยอมรับ จากประชาชนในระดับ ตำบล อำเภอ จังหวัด มีการจัดตั้งองค์กร ในการดูแลรักษาป่าไม้ ตั้งแต่ 1 ถึง 5 ปี มีกฎเกณฑ์คือ การดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากป่า มีพื้นที่ดูแลรักษา ไม่น้อยกว่า 300 ไร่ สภาพป่าบางส่วน อยู่ในระหว่างฟื้นตัวตามธรรมชาติ ไม่มีการบุกรุกแผ้วถางป่าไม้
ชั้นที่ 2 ธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" มีช้างประกอบ 2 เชือก บนผืนธง จะพระราชทานให้แก่ กลุ่มราษฎรที่ได้รวมตัวกัน รักษาป่าจนเป็นที่ยอมรับ จากประชาชนทั่วไปในระดับภูมิภาค มีการจัดตั้งองค์กร ในการดูแลรักษาป่าไม้ ตั้งแต่ 5 ถึง 10 ปี มีกฎเกณฑ์คือ การดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากป่า มีพื้นที่ดูแลรักษา ไม่น้อยกว่า 500 ไร่ สภาพป่าบางสวน อยู่ในระหว่างฟื้นตัวตามธรรมชาติ ไม่มีการบุกรุกแผ้วถางป่าไม้
ชั้นที่ 3 ธง "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต" มีช้างประกอบ 3 เชือก บนผืนธง จะพระราชทานให้แก่ กลุ่มราษฎรที่ได้รวมตัวกัน รักษาป่าจนเป็นที่ยอมรับ จากชุมชนระดับท้องถิ่น จนถึงระดับประเทศ มีการจัดตั้งองค์กร ในการดูแลรักษาป่าไม้ ตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป มีกฎเกณฑ์ในการดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากป่า อันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อป่า มีพื้นที่ดูแลรักษา ไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ สภาพป่าสมบูรณ์ ไม่มีการบุกรุกแผ้วถางป่าไม้
ศปร.กอ.รมน.ภาค 2 ค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ข้อมูลจาก :www.prd2.in.th