พระราชกรณีกิจด้านการศึกษา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสนพระราชหฤทัยในด้านการศึกษา และทรงยึดมั่นในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ปัญญาทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์" สติปัญญาเกิดขึ้นได้ด้วยการศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการอ่านหนังสือ พระราชกรณียกิจด้านการศึกษานานัปการ
ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้นประกอบด้วย ทรงส่งเสริมการศึกษาในระบบโรงเรียน เช่น พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียน สร้างโรงเรียน พระราชทานพระราชทรัพย์อุดหนุนโรงเรียน พระราชทานอุปกรณ์การเรียน ทรงรับโรงเรียนไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน เป็นต้น ด้านการศึกษานอกโรงเรียน เช่น ทรงสอนหนังสือชาวบ้าน ทรงสร้างศาลาร่วมใจ ทรงส่งเสริมการอาชีวศึกษา ทรงอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนางานศิลปาชีพ นอกจากนี้ ยังทรงส่งเสริมการศึกษาของพระภิกษุสามเณร และทรงรับมูลนิธิแม่ชีไทยไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นต้น
พระอัจฉริยภาพด้านการศึกษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปทั้งในประเทศและนานาประเทศ พระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญด้วยพระวิริยอุตสาหะพระราชทานแก่องค์การศึกษาของภาครัฐ ภาคเอกชน และพสกนิกรทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษามีฐานะยากจน หรืออยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร ทำให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการศึกษาแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เช่น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ใน พุทธศักราช 2509 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใน พุทธศักราช 2516 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พุทธศักราช 2535
ทรงเป็นครูที่ดี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระอุปนิสัยรักการอ่านหนังสือมาก ซึ่งเป็นอุปนิสัยที่ได้ถ่ายทอดมายังพระราชโอรส พระราชธิดาทุกพระองค์ นอกจากจะโปรดการอ่านแล้วยังโปรดการเป็นครูด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเล่าไว้ในพระราชนิพนธ์ เรื่อง "สมเด็จแม่กับการศึกษา" ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โปรดการเป็นครูมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยทรงเล่นเป็นครูและนักเรียนกับเด็กที่บ้าน ทรงมีวิธีการสอนที่สนุก เด็ก ๆ ในบ้านจึงชอบเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ เมื่อพระราชโอรสและพระราชธิดายังทรงพระเยาว์ ทรงสอนให้พับกระดาษ เขียนรูป และทำการฝีมือต่าง ๆ ก่อนเข้าบรรทมทรงอ่านหนังสือหรือทรงเล่านิทานพระราชทาน และทรงซื้อหนังสือพระราชทานด้วย ซึ่งมีทั้งวรรณคดี ภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พุทธศาสนา ฯลฯ
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ขณะที่เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังจากเสด็จเยี่ยมราษฎรแล้ว ทรงใช้ศาลาริมหาดปราณบุรี ประทับสอนหนังสือราษฎรด้วยพระองค์เอง ทรงทำหน้าที่เป็นครูใหญ่และข้าราชบริพารที่ตามเสด็จเป็นครูน้อยช่วยสอนหนังสือด้วย ทรงวางแผนการศึกษาอย่างมีระบบ โดยจัดครูสอนเป็นกลุ่ม ๆ ตามความรู้พื้นฐานของผู้เรียน และพระราชทานหนังสือเรียนให้ ซึ่งมีทั้งหนังสือเรียนตามระดับชั้น หนังสืออ่านประกอบ และหนังสือความรู้ทั่วไปสำหรับเด็กโต เช่น นิทานพื้นบ้าน นิทานชาดก ประวัติศาสตร์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะใช้วิธีสอนแบบตัวต่อตัวบ้าง เป็นกลุ่มเล็ก ๆ 2-3 คนบ้าง ทรงทดลองความรู้พื้นฐานของผู้เรียนโดยการซักถาม ให้อ่านหนังสือถวาย แล้วจึงเริ่มเรียนแล้วหัดอ่านจากผู้ช่วยต่อไป ทรงมีบันทึกรายชื่อนักเรียน ผลการเรียน และทรงติดตามความก้าวหน้าในการเรียนอย่างใกล้ชิด ถ้าใครเรียนดีก็จะพระราชทานรางวัลให้ วิธีการสอนของพระองค์นอกจากจะมุ่งให้ เด็กอ่านออกเขียนได้แล้ว ยังทรงแทรกความรู้ทางพุทธศาสนา จริยธรรม สุขภาพอนามัย และความรักชาติรักแผ่นดินเกิดด้วย นับเป็นแบบอย่างที่ดีของครู เพราะนอกจากจะทรงสอนวิชาการแล้ว ยังทรงอบรมให้เป็นคนดีด้วย
ทรงเป็นนักการศึกษา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มิได้ศึกษาด้านการศึกษาโดยตรง แต่พระราชดำริที่พระราชทานในเรื่องการศึกษา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับนักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์ โครงการศิลปาชีพ หรือศาลารวมใจล้วนแสดงถึงพระปรีชาญาณด้านการจัดการศึกษาของชาติทั้งสิ้น ศาลารวมใจ ที่พระราชทานไว้เมื่อ พุทธศักราช 2519 นั้น คือโครงการที่สอดคล้องกับปรัชญาการศึกษาสากลว่า การศึกษาคือชีวิต ประชาชนควรมีโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้ได้ตลอดชีวิต ไม่เฉพาะแต่ในโรงเรียนเท่านั้น
ศาลารวมใจ คือ แหล่งเรียนรู้ที่ชาวบ้านสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นที่พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด สร้างความสามัคคีให้เกิดในชุมชน หนังสือประเภทต่าง ๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานไว้ที่ศาลารวมใจทุก ๆ แห่ง คือ หนังสือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศไทย ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณี นวนิยายที่มีคติสอนใจ คู่มือทำการเกษตร ฯลฯ ชาวบ้านสามารถติดตามข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้านเมืองได้ นอกจากนี้ยังมีรูปภาพติดตามผนัง มีสมุดภาพซึ่งรวบรวมภาพต่าง ๆ จากนิตยสาร ปฏิทินหรือภาพสิ่งที่น่าสนใจของประเทศไทย บางคราวที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปทรงเยี่ยมราษฎร ก็โปรดให้ราษฎรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่ศาลารวมใจ ทรงฉายสไลด์ และทรงบรรยายเรื่องราวด้วยพระองค์เอง ศาลารวมใจนี้นอกจากเป็นห้องสมุดที่ชาวบ้านสามารถหาความรู้ด้วยตนเองแล้ว ยังมีห้องปฐมพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น เพราะนอกจากจะมียาพระราชทานแล้ว ยังเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร หมอหมู่บ้าน เป็นผู้ดูแลอย่างน้อย 1 คน เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีความรู้พื้นฐานด้านการปฐมพยาบาล การสาธารณสุข และการใช้ยาสามัญประจำบ้าน สามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือชาวบ้านได้ ศาลารวมใจจึงเปรียบเสมือนศูนย์รวมชาวบ้านในท้องถิ่นทุรกันดาร เป็นทั้งห้องสมุด ห้องพยาบาล และห้องประชุมในคราวเดียวกัน ศาลารวมใจหลายแห่งสร้างอยู่ใกล้วัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เพื่อดึงดูดให้ชาวบ้านที่มาวัดสนใจที่จะหาความรู้จากศาลารวมใจด้วย ศาลารวมใจมีทั้งหมด 7 แห่ง ดังนี้
ทรงเป็นนักการศึกษา
◊ ศาลารวมใจบ้านกาด บ้านคอนเปา หมู่ 4 ตำบลบ้านกาด อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พระราชทานเมื่อ วันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2519
◊ ศาลารวมใจบ้านขุนคง บ้านขุนคง หมู่ที่ 5 ตำบลขุนคง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พระราชทานเมื่อ วันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2519
◊ ศาลารวมใจพร้าว บ้านสหกรณ์นิคม 2 หมู่ที่ 6 ตำบลเขื่อนผาก อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พระราชทานเมื่อ วันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2519
◊ ศาลารวมใจบ้านวัดจันทร์ บ้านวัดจันทร์ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พระราชทานเมื่อ วันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2533
ศาลารวมใจภาคอีสาน ได้แก่
◊ ศาลารวมใจเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร พระราชทานเมื่อ วันที่ 15 มกราคม พุทธศักราช 2535
ศาลารวมใจภาคใต้ ได้แก่
◊ ศาลารวมใจวัดพระพุทธ บ้านวัดพระพุทธ หมู่ที่ 3 ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พระราชทานเมื่อ วันที่ 26 กันยายน พุทธศักราช 2521
◊ ศาลารวมใจวัดสารวัน บ้านลุดง (สารวัน) หมู่ที่ 2 ตำบลไทรทอง กิ่งอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี พระราชทานเมื่อ วันที่ 18 มิถุนายน พุทธศักราช 2527
การจัดสร้างศาลารวมใจได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหลายฝ่ายทั้งหน่วยงานของรัฐและประชาชน ราษฎรในถิ่นร่วมมือร่วมใจกันดูแลและพัฒนาบริเวณโดยรอบของศาลารวมใจ เช่น การทำความสะอาดและการปลูกต้นไม้ให้สวยงามน่าดู ศาลารวมใจที่พระราชทานนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป
ทรงส่งเสริมการอาชีวศึกษา
ตลอดระยะเวลาที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภาคของประเทศทรงพบว่าราษฎรส่วนหนึ่งที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทนั้นยากจน ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีอาชีพ ด้อยโอกาสทางการศึกษา มีความรู้เรื่องสุขอนามัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมอาชีพของราษฎรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวให้มีความสุข ทุกครั้งที่เสด็จพระราชทานดำเนินไปเยี่ยมราษฎรจะทรงสังเกตชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย การแต่งกาย และสิ่งของที่ราษฎรนำมาทูลเกล้ากระหม่อมถวาย ว่าจะมีสิ่งใดหรือวิธีใดที่จะทรงหยิบยกขึ้นมาส่งเสริมให้เป็นอาชีพเสริมแก่ ราษฎรได้ เช่น ราษฎรแต่งกายด้วยผ้าไหมมัดหมี่ที่ทอใช้กันเองในครัวเรือน ก็ทรงตระหนักด้วยพระปรีชาญาณว่า หัตถกรรมเหล่านี้มีคุณค่าทางศิลปะซึ่งสืบทอดภูมิปัญญามาจากบรรพบุรุษ สมควรที่จะอนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ พระราชดำริที่จะพัฒนางานหัตถกรรมพื้นบ้านต่าง ๆ เช่น หัตถกรรมทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา เครื่องจักสาน เครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องถม ไม้แกะสลัก เป็นต้น ได้กลายเป็นโครงการศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสัมฤทธิผลของโครงการศิลปาชีพ ถือเป็นการศึกษาด้านอาชีพ หรือการอาชีวศึกษาที่สำคัญของชาติ เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ
การศึกษาด้านศิลปาชีพนั้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยทรงวางแผนการศึกษาอย่างครบวงจร โปรดให้ชาวบ้านในชุมชนเดียวกันนั้น หรือชุมชนใกล้เคียงเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ด้านหัตถกรรมทั้งหลายให้แก่ลูกหลานหรือเพื่อนบ้านของตน เช่น การทอผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา ผ้าไหม และผ้าฝ้ายลวดลายดั้งเดิมชนิดต่าง ๆ การจักสาน เช่น จักสานย่านลิเภา ไม้ไผ่ และหวาย เป็นต้น ส่วนงานหัตถกรรมที่ชาวบ้านไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เช่น การปั้นตุ๊กตาไทยหรืองานหัตถกรรมที่ต้องใช้ความสามารถและความอดทนสูง เช่น งานเครื่องเงินเครื่องทอง งานคร่ำ งานถมเงินถมทอง ก็โปรดให้แสวงหาครูผู้มีความสามารถ เช่น นานไพฑูรย์ เมืองสมบรูณ์และนายจุลทัศน์ พยาฆรานนท์ มาถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนักเรียนในโครงการมีฝีมือดีและชำนาญแล้ว ก็จะคัดเลือกให้เป็นครูต่อไป ทรงติดตามผลงานจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น และพระราชทานคำแนะนำในการพัฒนางานให้สวยงามสมบรูณ์ขึ้น ทรงหาตลาดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ทรงรับซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ทรงเป็นแบบอย่างให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ ทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่นิยมของคนไทยและชาวต่างประเทศพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการพัฒนางานอาชีพตามโครงการศิลปาชีพ นอกจากจะส่งผลให้สมาชิกในโครงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างช่างฝีมือที่ชำนาญในศิลปะไทยหลายแขนง เช่น ช่างทอง ช่างเขียน ช่างปั้น ช่างไม้แกะสลัก ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นศิลปะที่ประณีตงดงามเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติภูมิของไทยอย่างยิ่ง
พระบรมราชินูปถัมภ์ด้านการศึกษา
โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนเริ่มแรกเป็นเงิน 13,500 บาท ในการสร้างโรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 สำหรับชาวไทยภูเขาเผ่าเย้าที่บ้านห้วยขาน ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2505 ทรงมอบโรงเรียนให้อยู่ในความดูแลของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ปัจจุบันเป็นโรงเรียนที่สอนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 20,000 บาท เพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ให้แก่โรงเรียนชายแดนสงเคราะห์ 14 ของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ตำบลแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารเมื่อ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2510 และพระราชทานนามว่า "โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียนนี้หลายครั้ง โรงเรียนได้โอนไปสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อพุทธศักราช 2523
นักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับนักเรียนยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาที่ทรงพบด้วยพระองค์เองระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เกือบสองพันคน มีพระราชเสาวนีย์ให้กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถติดตามดูแลความประพฤติและความเป็นอยู่ของนักเรียนนิสิต นักศึกษาที่ได้รับทุนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด กองราชเลขานุการฯ มีหน้าที่จะต้องกราบบังคมทูลรายงานให้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาททุกเดือน นักเรียนทุนจะมีแฟ้มประวัติประจำตัว มีข้อมูลบันทึกไว้ครบถ้วน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัว สถานศึกษา รูปถ่าย ที่อยู่ที่ติดต่อได้ ผลการเรียน บัญชีค่าใช้จ่ายที่พระราชทาน จดหมายรายงานความเป็นอยู่ของนักเรียน ฯลฯ ทุนการศึกษานี้พระราชทานแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
นอกจากนี้ยังพระราชทานทุนการศึกษาแก่เด็กพิการให้เข้ารับราชการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ คือ
◊ โรงเรียนสอนคนตาบอด ได้แก่ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพมหานคร โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
◊ โรงเรียนสอนคนหูหนวก-หูตึง ได้แก่ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ถนนพระราม 5 โรงเรียนโสตศึกษา ทุ่งมหาเมฆ กรุงเทพมหานาคร
◊ โรงเรียนอนุสารสุนทร จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนโสตศึกษาขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดสงขลา
◊ โรงเรียนสอนคนปัญญาอ่อน ได้แก่ โรงเรียนกาวิละอนุกูล จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนอุบลปัญญานุกูล จังหวัดอุบลราชธานี
◊ โรงเรียนสอนคนพิการแขนขาและลำตัว ได้แก่ ศรีสังวาลย์ จังหวัดนนทบุรี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ให้กองราชเลขานุการ ฯ ปฏิบัติเช่นเดียวกับนักเรียนสามัญ มีประวัติและติดตามผลการศึกษา จนจบการศึกษาตามความสามารถ เพื่อไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณสูงสุด แก่นักเรียนและการศึกษาของชาติ
ข้อมูลจาก :www.belovedqueen.com
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นอัครศาสนูปถัมภก ประชาชนมีสิทธิและเสรี ในการนับถือศาสนา ตามที่ตนเชื่อและศรัทธา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงตระหนักว่า ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์มิให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นความชั่ว และเป็นแนวทางให้มนุษย์เลือกกระทำแต่ความดี จึงทรงตระหนักถึงความสำคัญในการอุปถัมภ์ศาสนา นอกจากจะทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางศาสนาโดยสม่ำเสมอแล้ว
ยังทรงทะนุบำรุงศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ฮินดู และซิกข์ เพราะทรงถือว่าทุกศาสนาต่างก็มีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ของประชาชนเช่นเดียวกัน ดังนั้น คราวใดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในงานพระราชพิธีหรือทรงประกอบพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศาสนา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มักจะโดยเสด็จเสมอไม่ว่าจะเป็นพิธีของศานาใด บางครั้งก็เสด็จพระราชดำเนินโดยลำพังพระองค์เอง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยความเคารพในประเพณีของศาสนานั้น ๆ อย่างดียิ่ง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ด้วยทรงรับการอบรมพื้นฐานความรู้เรื่องศาสนามาจากพระบิดาพระมารดา คือ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว กิติยากร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดทรงเคารพนอบน้อมในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทรงบำเพ็ญกุศลทาง เช่น ทรงบาตร ทรงเก็บดอกไม้มาบูชาพระ ทรงสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยได้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ มีน้ำพระราชหฤทัยเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่ ทรงยึดมั่นในสัจจะ อยู่ในโอวาทครูอาจารย์ พระบิดามารดา
เมื่อเข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสและทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถแล้ว ได้ทรงศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมในพระบวรพุทธศาสนามากขึ้น ทรงยกย่องเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้พระราชทานความรู้แก่พระองค์ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงนมัสการและสนทนาธรรมกับพระเถรานุเถระอยู่เสมอ ทรงใช้หลักธรรมเป็นแนวปฏิบัติทั้งในส่วนพระองค์และในฐานะสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่กลุ่มนักข่าวหญิง เมื่อพุทธศักราช 2524 ว่า
"....ฉันรู้สึกว่า ชีวิตของฉันทั้งโดยฐานะส่วนตัวและในฐานะที่เป็นพระราชินี ถ้าเผื่อไม่ได้พระพุทธศาสนา ก็คงจะแข็งแรงอยู่ไม่ได้อย่างนี้..."
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพยายามทุกวิถีทางและทุกโอกาสที่จะทรงแนะนำให้พสกนิกรเห็นว่า ความเจริญทางด้านจิตใจเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุด ไม่น้อยไปกว่าความเจริญทางด้านวัตถุ เพราะจะช่วยให้ชีวิตมนุษย์สมบูรณ์และมีค่า ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่นักศึกษาพยาบาล ณ หอประชุมราชแพทยาลัย โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พุทธศักราช 2510 ความตอนหนึ่งว่า
“ความเจริญทางด้านวัตถุจำต้องควบคู่ไปกับความเจริญทางด้านจิตใจจะทำให้ชีวิต มนุษย์สมบูรณ์และมีค่า บุคคลแม้จะเป็นผู้ที่ขาดความมั่นคงทางวัตถุ แต่ร่ำรวยในด้านคุณธรรม มีความรักและห่วงใยในเพื่อนมนุษย์ จึงนับว่าเป็นผู้ที่พระพุทธศาสนายกย่องแล้วว่าเจริญแท้...”
นอกจากทรงได้รับความรู้ทางธรรมะจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงศึกษาธรรม ด้วยการทรงสนทนาธรรมกับพระเถระและภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ในยามที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ หากทรงมีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมวัดวาอารามใด ก็จะมีพระราชศรัทธาถวายเงินบำรุงวัด รวมทั้งทรงสนทนาธรรมกับพระภิกษุสงฆ์ที่วัดเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังโปรดให้ข้าราชบริพารจัดซื้อหนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับพุทธประวัติ ประวัติพระอัครสาวก และพระอริยสงฆ์มาถวาย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงยึดในพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ทรงพระเมตตากรุณาแก่ราษฎรทั่วไป โดยเฉพาะคนป่วย คนชรา คนพิการ คนปัญญาอ่อน และเด็ก ทรงปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข โปรดการทำบุญหรือการสังเคราะห์มาแต่ทรงพระเยาว์ทรงดำรงตำแหน่งประธาน กิตติมศักดิ์ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงตั้ง "กองทุนเมตตา" ขึ้นโดยพระราชทรัพย์ริเริ่ม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรุนแรงและกระทบกับสถานภาพทางครอบครัว มีน้ำพระราชหฤทัยเมตตาห่วงใยบุคคลผู้พิการทั้งทางร่างกายและสมอง มีพระราชดำริว่า ผู้พิการควรได้รับความเอาใจใส่ดูแลได้รับการบำบัดรักษาเมื่อป่วยเจ็บเช่น เดียวกันกับบุคคลทั่วไป และควรได้รับการอบรมให้มีอาชีพตามความถนัด เพื่อจะได้ยังประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้นอกจากนี้ยังทรงไว้ซึ่งมุทิตาธรรม มีพระราชหฤทัยโสมนัสในความสุข ความเจริญและความสำเร็จของอาณาประชาราษฏร์ และทรงส่งเสริมพระราชทานกำลังใจทำความดียิ่งขึ้น ทรงรักษาอุเบกขาธรรมวางพระองค์เป็นกลางไม่ทรงหวาดเกรงภยันตรายต่าง ๆ เมื่อต้องเสด็จพระราชดำเนินไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงยึดมั่นในเบญจศีล เบญจธรรม อันเป็นธรรมะขั้นพื้นฐานที่สอนเว้นการทำชั่วประพฤติดีปฏิบัติชอบ มีพระราชศรัทธาอุปถัมภ์บำรุงพุทธศาสนา นอกจากการบำรุงด้วยพระราชทรัพย์แล้ว ยังทรงช่วยเผยแผ่ธรรมะด้วยวิธีการหลายหลาก เช่น พระราชทานเทปและหนังสือธรรมะแก่ผู้อยู่ในความทุกข์หรือเจ็บป่วย หรือพระราชทานไปยังโรงเรียนเพื่อเป็นการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แก่เยาวชน
นอกจากนี้ ยังทรงอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์หลายด้าน เช่น ทรงถวายปัจจัยแด่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ และพระเถระที่ทรงรู้จักเป็นประจำทุกเดือน ทรงอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ ทรงถวายปัจจัยเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือพระราชทานทรัพย์แก่โรงพยาบาลเป็นทุนในการบริการ และอำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ์ที่มารับการรักษา ตลอดจนมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดภัตตาหารไปถวายพระเถระที่อาพาธเป็นพิเศษ เป็นต้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสถาบันแม่ชีไทยไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยทรงเล็งเห็นว่าสถาบันแม่ชีไทยเป็นสถาบันของสตรีกลุ่มใหญ่ที่มุ่งรักษา ศีล บำเพ็ญธรรม และช่วยทำงานให้แก่สังคมในด้านการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก อีกทั้งทรงรับ "มูลนิธิส่งเสริมพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์" ของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อเป็นการส่งเสริมการสอนศีลธรรมแก่เยาวชน
นอกจากจะทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นในประเทศด้วย เพราะมีพระราชศรัทธาว่า ทุกศาสนาล้วนมีหลักธรรมที่สอนให้คนประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามเช่นเดียวกัน มักจะเสด็จพระราชดำเนินหรือโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปในงานพิธี ของศาสนาต่าง ๆ โดยมิทรงเลือกว่าเป็นงานพิธีของศาสนาใด ดังเช่นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2527 ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกรับเสด็จพระสันตปาปา จอนห์น ปอล ที่ 2 ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทย ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทด้วยความเคารพยกย่องอย่างสมพระเกียรติ ยังความชื่นชมยินดีมาสู่คริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอันมาก
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปเยี่ยมราษฎรในภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีขนบธรรมเนียมแตกต่างออกไปตามหลักปฏิบัติของศาสนา ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรเหล่านั้นโดยมิได้เว้น ด้วยทรงถือว่าทุกคนเป็นราษฎรของพระองค์เช่นเดียวกัน ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมมัสยิดที่อิหม่ามประจำมัสยิดกราบบังคมทูล เชิญเสด็จ และพระราชทานเงินบำรุงมัสยิดนั้น ๆ ในเดือนรอมฎอนอันเป็นเดือนที่ชาวมุสลิมถือศีลอด ยังทรงพระกรุณาพระราชทานอินทผลัมแก่อิหม่ามในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
พระราชกรณียกิจในการทะนุบำรุงศาสนาในพระราชอาณาจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธศาสนา ซึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกชนตลอดมา ทำให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาพระพุทธศาสนา เมื่อ พุทธศักราช 2546 เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้แผ่ไพศาลยิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก :www.belovedqueen.com
ในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้ทรงรับฉันทานุมัติ เป็นผู้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ มีความตอนหนึ่งว่า
"...ได้ทรงเลือกสรรประสบผู้ที่สมควรแก่การสนองพระยุคลบาทร่วมทุกข์ แบ่งเบาพระราชภาระในภายภาคหน้า..."
ในครั้งนั้น ใครจะคิดว่าพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นพระประมุขของประเทศ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น นอกจากการประกอบพระราชกรณียกิจ ที่เป็นพระราชพิธี รัฐพิธี ศาสนพิธี และพระราชกรณียกิจที่กำหนดชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยแล้วจะยังมีพระราชกรณียกิจอื่นที่มากพ้นล้นเหลือประมาณอีกด้วย แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ คนไทยก็ได้ประจักษ์ว่าพระราชกรณียกิจ ทั้งหลายทั้งปวงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติมากมายสุดจะพรรณนา นั้นทรงปฏิบัติด้วยพระราชหฤทัยห่วงใยประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง ได้ทรงมีพระวิริยอุตสาหะไม่ท้อถอย ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พัฒนาอาชีพและชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ทรงแก้ไขปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงแบ่งเบาพระราชภาระต่าง ๆ มาโดยตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในชนบทให้มีความรู้ มีงานมีรายได้ สามารถดำรงชีวิตอย่างมีสุขอนามัย
เมื่อครั้งทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีใหม่ ๆ นั้น เมื่อ เกิดอุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัยขึ้นที่จังหวัดใด ราษฎรได้รับความเดือดร้อนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชบริพารฝ่ายในนำอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค สิ่งของเครื่องใช้ไปแจกจ่าย ให้แก่ผู้ที่ประสบภัยเหล่านั้นอย่างทันท่วงที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในการประชุมการสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ครั้งที่ 1 ที่กรมประชาสงเคราะห์ร่วมกับองค์กรเอกชนจัดขึ้น ณ ศาลาสันติธรรม เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2503 ได้มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
"ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเร่งรัดสร้างสรรค์ความเจริญ จำเป็นต้องตระหนักถึงผลทางสังคมอันจะเกิดขึ้น และเตรียมที่จะรับปัญหานั้นในเรื่องนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงข้อขัดข้องและความผิดพลาด น่าจะศึกษาบทเรียนที่ประเทศต่าง ๆ ได้รับในระยะการพัฒนาการ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิตลอดจนผู้แทนและผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานหรือองค์กรสถานศึกษาต่าง ๆ นั้น ก็ควรจะ ประสานงานสอดคล้องต้องกันเพื่อพัฒนางานในด้านนั้นให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประชาชน ซึ่งเป็นกุศลบุญ ควรแก่การอนุโมทนา..."
พระราชดำรัสในเรื่องการสังคมสงเคราะห์เมื่อกว่าสี่สิบปีมาแล้วแสดงถึงความสนพระราชหฤทัยและความถี่ถ้วนรอบคอบในกิจการทั้งปวงที่หน่วยงานต่าง ๆ ควรจะต้องประสานงานกัน การศึกษาสังเกตการณ์ซึ่งได้ทรงถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง การสังคมสงเคราะห์ในระยะต่อมาได้ทรงค่อย ๆ เปลี่ยนจากการที่ทรง "ให้" เป็นความพยายามให้ราฏรได้ช่วยตนเองด้านการตามแนวทางและวิธีการ โดยอาศัยความรู้ความสามารถที่ราษฏรมีอยู่แล้วในแต่ละท้องถิ่นแต่ได้ถูกทอดทิ้งละเลย ให้นำมาพัฒนาใช้ให้เป็นประโยชน์
เมื่อมีการจัดตั้งสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยขึ้นใน พุทธศักราช 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานเปิดการประชุมหลายครั้ง ในวันที่ 10 สิงหาคม พุทธศักราช 2505 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานทุนทรัพย์ตั้ง "กองทุนเมตตา" ขึ้นเมื่อทรงทราบว่า คนบางคนแม้จะตั้งใจประกอบอาชีพโดยสุจริตด้วยความขยันแล้ว แต่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่ความจำเป็นที่ต้องใช้จ่าย จึงเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ จนมีหนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ยากที่จะปลดเปลื้องได้ เกิดความเดือดร้อน เป็นความทุกข์ของครอบครัวทับถมซับซ้อน ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น ความเจ็บป่วยด้านจิตใจ ความเก็บกดหรือการแก้ปัญหาในทางที่ผิดของเยาวชนที่อยู่ในครอบครัวนั้น ๆ ความท้อแท้ที่จะศึกษาเล่าเรียน จนท้ายที่สุดกลายเป็นปัญหาของสังคม กองทุนเมตตาได้ขจัดปัดเป่าบรรเทาความทุกข์ยากของผู้ที่เดือดร้อนได้ตามวัตถุประสงค์ในเวลานั้น นอกจากนี้ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จำนวนหนึ่งให้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นทุนริเริ่มกองทุนพระราชทานช่วยเหลือการศึกษาเด็กเยาวชน เพื่อช่วยเหลือเด็กขาดแคลนให้มีโอกาสได้เล่าเรียน มีความรู้ไปประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตในแนวทางที่ถูกที่ควรกองทุนนี้ต่อมา ได้มีผู้สมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และขยายเป็นทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ทำนองเดียวกันนี้อีกหลายทุน มีชื่อต่าง ๆ ได้ช่วยสร้างคนให้เป็นคนที่มีคุณค่าแก่แผ่นดินเมื่อเติบโตขึ้น นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระบรมราชินูปถัมภ์แก่สมาคม และมูลนิธิเพื่อการสังคมสงเคราะห์เป็นจำนวนมาก เช่น มูลนิธิช่วยเด็กปัญญาอ่อน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้ทรงส่งเสริมการปฏิบัติงานช่วยเหลือองค์กรการสังคมสงเคราะห์ เพื่อดำเนินงานสาธารณกุศล เช่น เมื่อเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2506 สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ได้จัดตั้งศูนย์บริการอาสาสมัครขึ้น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ประจำของหน่วยงาน บรรเทาทุกข์หรือสาธารณประโยชน์ ได้แก่ โรงพยาบาล ศูนย์เยาวชน สถานสงเคราะห์ ฯลฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะกรรมการและอาสาสมัครเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2510 ได้มีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า
"...การที่คนไทยเรายึดหลักอุดมคติว่า ความทุกข์สุข ไม่ไช่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล หรือเฉพาะครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น เป็นความคิดที่ทันสมัยในโลกปัจจุบัน เราจะมีความสุขตามลำพัง โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่นอีกหลายคนที่แวดล้อมเราอยู่นั้นไม่ได้ ผู้มีเมตตาจิตหวังประโยชน์ส่วนร่วม ย่อมรู้จักแบ่งปันความสุขเพื่อผู้อื่น และพร้อมที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้อื่นตามกำลังและโอกาสเสมอ...."
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรใน พุทธศักราช 2513 เมื่อเกิดอุทกภัยในจังหวัดนครพนม เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรทางภาคกลางเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ไร่นาล่ม จมเสียหายใจ พุทธศักราช 2518 รวมทั้งในระหว่างเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชนิเวศน์ในต่างจังหวัด ได้มีพระราชดำรัสถามราษฎรที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ทำให้ทรงทราบว่าราษฏรในชนบทจำนวนมากยากจน มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ และไม่สามารถที่จะหารายได้เพิ่ม ไม่เห็นหนทางที่จะแก้ไขความเดือดร้อนด้วยตนเอง ขาดแคลนสาธารณสุขพื้นฐานขาดสุขอนามัย ยามเจ็บไข้ก็ไม่มีแพทย์และยารักษาโรคที่จะบำบัดรักษา จึงมีพระราชดำริที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ปรากฏในคำบอกเล่าของ ดร.สุเมธ จันติเวชกุล ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ที่กล่าวในการอภิปรายเรื่อง "สมเด็จฯ ของเรา" ณ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พุทธศักราช 2531 ซึ่งได้เชิญพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตอนหนึ่งว่า
"...พระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าไม่ได้พึงพอใจกับเพียงแต่เยี่ยมเยียนราษฏร หรือทำแต่สิ่งที่เคยทำเป็นประเพณี เราต้องพยายามให้ดีกว่านั้น เราต้องช่วยรัฐบาลส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นเพราะเราเป็น ประเทศด้อยพัฒนา ดังนั้นการที่เพียงแค่ไปเยี่ยมเยียนราษฏรเพราะเป็นหน้าที่ของประมุขของ ประเทศที่จะต้องทำตามประเพณีนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ หากเราไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนแล้ว เราต้องถือว่าการเป็นประมุขประสบความล้มเหลว...."
พระราชดำรัสครั้งนั้น แสดงถึงพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่นที่จะบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฏร และหากทบทวนพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า ราษฏรในชนบทได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากการเสด็จเยี่ยมทั่วราชอาณาจักรนับ ครั้งไม่ถ้วน โดยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายพันโครงการ มีทั้งโครงการเรื่องการเกษตรเรื่องน้ำ เรื่องดิน เรื่องการฟื้นฟูและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูและพัฒนางานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การแพทย์ การสาธารณสุข ฯลฯ
เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของราษฏร ในระยะแรกของการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรในต่างจังหวัด เมื่อทรงพบเห็นว่าราษฏรที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ มีอาการเจ็บป่วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้มีพระราชเสาวนีย์ให้แพทย์ที่ตามเสด็จไปในขบวนตรวจอาหาร จ่ายยา และให้คำแนะนำแก่ราษฏรในการดูแลรักษาตนเองแต่หากไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ในขณะนั้น หรือเป็นโรคที่ร้ายแรง จะมีพระราชเสาวนีย์ให้ส่งไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้ท้องถิ่นนั้น โดยพระราชทานหนังสือรับรองว่าเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์พร้อมค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ส่วนค่ารักษาพยาบาลและค่ายานั้น จะพระราชทานแก่โรงพยาบาลโดยตรง หากผู้ป่วยไม่สามารถไปเองได้จะทรงจัดเจ้าหน้าที่นำไป และพระราชทานค่าใช้จ่ายแก่เจ้าหน้าที่ด้วย ถ้าโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ท้องถิ่นนั้นขาดบุคลากรทางการแพทย์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษา ก็ให้ส่งไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โดยพระราชทานค่าเดินทางและค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรต่างจังหวัด หรือขณะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชนิเวศน์ในภูมิภาคต่าง ๆ มีราษฏรที่เจ็บไข้มาขอรับพระราชทานความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ต้องมีแพทย์และพยาบาลอาสาไปช่วยปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น แล้วยังใช้เวลามากขึ้นจนมืดค่ำ หลายครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงช่วยซักถามประวัติและอาการของผู้ป่วย ตลอดจนช่วยแพทย์ในการจ่ายยา และการบันทึกเพื่อติดตามผล นอกจากนี้โรงพยาบาลในท้องถิ่นมักมีความจำกัดในเครื่องเวชภัณฑ์และยารักษาโรค สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ เพื่อจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้และยาเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมช่วยเหลือคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เช่น ตำรวจตระเวนชายแดนนำคนไข้ไปส่งโรงพยาบาลการรถไฟแห่งประเทศไทย ออกใบเบิกทางให้คนไข้และญาติแทนค่าโดยสารโรงพยาบาล ลดค่ารักษาพยาบาลให้ ฯลฯ ในระหว่างที่ราษฏรผู้เจ็บป่วย ต้องจากบ้านไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเข้าพระราชหฤทัย ถึงความรู้สึกของคนไข้เป็นอย่างดีว่าย่อมจะว้าเหว่ เกิดความอ่อนแอทางจิตใจ ซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพทางกายเป็นอันมาก และคนในครอบครัวก็ย่อมจะห่วงใย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ญาติผู้ใกล้ชิดติดตามไป เพื่อช่วยดูแลคนไข้และพระราชทานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ด้วย
ข้อมูลจาก :www.belovedqueen.com
พล.อ. ณพล บุญทับ ข้าราชการบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ได้ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ โครงการต่าง ๆ ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงดำเนินการ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไว้ดังนี้
โครงการราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โครงการหนึ่ง คือ โครงการราษฎรอาสารักษาหมู่บ้านเกิดจากเมื่อปี 2547 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราดำเนินเยี่ยมราษฎร ใน 5 หมู่บ้าน ได้เข้ามาร้องไห้กับพระองค์ท่านแล้วบอกว่าอยู่ไม่ได้ แล้ว เพราะถูกรบกวนหนัก จนมีคนในตำบลตันหยงลิมอ ถูกตัดคอคามอเตอร์ไซค์ระหว่างไปกรีดยางตอนเช้ามืด ชาวบ้านบอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ชาวบ้านถามพระองค์ท่านว่าจะให้พวกฉันอยู่ที่นี่หรือจะให้ไปจากที่นี่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งว่าในเมื่อเราอยู่ที่นี่ เราทำมาหากินที่นี่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แล้วจะอพยพไปที่ไหนกัน
พระองค์ท่านก็ทรงพระกรุณาบอกทหารให้ส่งคนมาช่วยฝึกอาวุธให้ ตามที่ชาวบ้านได้ ถวายฎีกา และรับสั่งว่าที่ให้ฝึกนั้นเพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันทรัพย์สินพี่น้องเรากันเอง ไม่ได้มีเจตนาให้พวกเธอเที่ยวเอาปืนไปไล่ฆ่าใครต่อใครเขา ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ รับสั่งเสมอว่าผู้บริสุทธิ์มีสิทธิ์อยู่บนแผ่นดินนี้ มีทั้งพุทธและมุสลิม ไม่ได้แยกเชื้อชาติศาสนา ใครขอมาก็ฝึกให้ ครูเองก็มาขอฝึก บอกว่าฝึกให้แต่ชาวบ้าน พวกครูยิ่งเสี่ยงอันตรายหนักเลย ฝึกลักษณะการรวมกลุ่มกัน ใช้อาวุธเข้าเวรยามในการรักษาหมู่บ้านซึ่งมีผลให้หมู่บ้านเกิดความปลอดภัยมากขึ้น ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดว่ามีกลุ่มคนต้องการที่จะแบ่งแยกดินแดน เช่น มีการนำวิซีดีภาพการตัดศีรษะไปแพร่ภาพในจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คนทำมีวัตถุประสงค์ให้ชาวบ้านหวาดกลัว และไม่อยากจะอยู่ในพื้นที่หากเราปล่อยเหตุการณ์ให้ลุกลามบานปลายบ้านเมืองก็จะแย่
โครงการฟาร์มตัวอย่าง
จากการฝึกอาวุธ ทุกคนก็ระวังตัวหมด ไปไหนก็ไม่กล้าไป เมื่อก่อนเคยขายของในเมือง ไปรับจ้างในเมือง ตอนนี้จะไปคนเดียวก็ไม่กล้า เลยมีรับสั่งว่าจะช่วยเขาอย่างไรในเรื่องการทำมาหากินจึงได้ เกิดโครงการฟาร์มตัวอย่างขึ้นมา เพื่อจะสร้างงานให้กับชาวบ้าน คนไหนไม่กล้าไปทำงานในเมืองก็มาทำในฟาร์มทำการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ สัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ และก็มีการทำประมงในครัวเรือน วันใดไม่มีกับข้าวก็สามารถช้อนปลาเป็นอาหาร นอกจากนั้นมีการเลี้ยงแพะนม ที่มีโปรตีนสูง ให้จ้างคนเข้ามาทำงาน เพื่อจะสอนให้เรียนรู้การทำเกษตรอย่างถูกหลักวิชาการ เมื่อทำเป็นแล้วก็จะได้นำกลับไปทำในพื้นที่ของตัวเองได้ ผลผลิตเหลือจากรับประทานก็นำมาขายให้ฟาร์มรับซื้อ
การจัดตั้งฟาร์มนั้นอยู่ใกล้ ๆ กับแหล่งชุมชนเพื่อที่เขาจะได้มาทำงานง่าย ๆ อย่างในบางแห่งเป็นกลุ่มของไทยพุทธอาศัยอยู่ท่ามกลางกลุ่มไทยมุสลิม ผู้ไม่หวังดีก็ใช้วิธียุยงให้ราษฎรแตกสามัคคีกัน พระองค์ท่านทรงลงไปช่วย 30 กว่าปี ช่วยให้เขาทำมาหากินได้ ทรงทำอย่างต่อเนื่อง เช่นเรื่องน้ำ บางบ้านน่าสงสารมาก เพราะขุดขึ้นมาน้ำเป็นสนิม ดีที่ช่วงนี้เป็นหน้าฝนจึงพอบรรเทาได้บ้าง
พระองค์ท่านทรงยอมทำทุกอย่าง เหน็ดเหนื่อยพระวรกายเพื่อคนในชาติ ซึ่งเหมือนกับลูกของพระองค์ท่าน ไม่ว่าเดือดร้อนมีปัญหาอะไร เช่นโครงการปะการังเทียม อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ชาวบ้านร้องไห้ว่าทำมาหากินไม่ได้ เคยทำประมงอยู่ชายฝั่ง ตอนนี้ปลาไม่มีจากนั้นตี 3 พระองค์ท่านเรียกประชุม 2 ชั่วโมงว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งมีสาเหตุจากอวนลากอวนรุน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เสนอการกำหนดระยะของการทำประมง คือ ระยะ 5 กิโลเมตรจากชายฝั่งใช้เครื่องมือตกปลาขนาดเล็ก ระยะ 5-10 กิโลเมตร ให้ประมงปั่นไฟ และระยะ 10-15 กิโลเมตร อวนลากอวนรุนดำเนินการ แล้วก็ทิ้งปะการังเทียมเพื่อป้องกันการใช้อวนที่ระยะผิดประเภทไปในตัว และให้ปลาได้ อาศัยปะการังเทียมนี้เป็นที่หลบยามลมพายุแรง ๆ หรือ ใช้ชั้ง คือทางมะพร้าวถ่วงด้วยปูนซีเมนต์เพื่อให้ปลาเกาะอยู่ชายฝั่ง
พระองค์ท่านรับสั่งว่าอยากเห็นโครงการนี้เกิดขึ้นก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ ซึ่งตอนนั้นเป็นวันที่ 24 กันยายน พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินกลับต้นตุลาคม ทุกฝ่ายก็รีบดำเนินการ นี่คือการแก้ปัญหาให้ไทยมุสลิมโดยตรง ที่ปัตตานี ไม้แก่น สายบุรี หนองจิก อำเภอเมือง ปัตตานี จนถึงตากใบ นราธิวาสพอทิ้งไป 6 เดือน ปลาก็มาวางไข่ ตอนนี้ปลาชุกมาก ชาวบ้านมีกินมีใช้ สามารถนำปลาไปขายได้ กิโลกรัมละ 200-300 บาท นี่ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
พระองค์ท่านรับสั่งว่าเขาขาดเสาหลัก ตอนเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยยังไม่ได้ สร้างหลักปักฐาน พอสามีตายก็บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่รู้จะทำอะไรอย่างบางคนเป็นแม่บ้าน พระองค์ท่านก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงมาชุบชีวิตคนใกล้จมน้ำให้อยู่รอด ตัวอย่างอันนี้เป็นประจักษ์พยานอย่างเห็นได้ ชัด ประธานกลางมุสลิม OIC เห็นแล้วยังเทิดพระเกียรติว่าทรงช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม ไม่เลือกชาติศาสนา