โดยปกติแล้วการทํางานของเว็บไซต์สามารถแบ่งการประมวลผลออกเป็น 2 ฝั่ง คือ Client Side และ Server Side ซึ่งแบ่งเว็บไซต์ออกเป็นประเภทที่มีลักษณะ Static Video Aimphan Channel และ Dynamic
1. Static Web เว็บเพจธรรมดาที่นามสกุลของไฟล์เป็น htm หรือ html เมื่อใช้เว็บเบราว์เซอร์เปิดดูเว็บเพจใด เว็บเซิร์ฟเวอร์ก็จะส่งเว็บเพจนั้นกลับมายังเบราว์เซอร์ จากนั้นเบราว์เซอร์จะแสดงผลไปตามคําสั่งภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ที่อยู่ในไฟล์จะเห็นได้ว่าเว็บเพจลักษณะ static กล่าวคือ ผู้ใช้จะพบกับเว็บเพจหน้าตาเหมือนเดิมทุกครั้ง จนกว่าผู้ดูแลเว็บไซต์จะทําการปรับปรุงเว็บเพจนั้น นี่คือข้อจํากัดอันมีต้นเหตุมาจากภาษา HTML ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้อธิบายหน้าตาของเว็บเพจ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ HTML สามารถกําหนดให้เว็บเพจมีหน้าตาอย่างที่เราต้องการได้ แต่ไม่ช่วยให้เว็บเพจมี “ความฉลาด”
2. Dynamic Web การฝังสคริปต์ PHP ไว้ในเว็บเพจ ช่วยให้เราสร้างเว็บเพจแบบ dynamic ได้ ซึ่งหมายถึงเว็บเพจที่มี เนื้อหาสาระและหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละครั้งที่ผู้ใช้เปิดดู โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ข้อมูล ที่ผู้ใช้ส่งมาให้ หรือข้อมูลในฐานข้อมูล เป็นต้นเป็นการทํางานของเว็บเพจที่ฝังสคริปต์ภาษา PHP ไว้ (หรือเรียกว่า ไฟล์ PHP) เมื่อ เว็บเบราว์เซอร์ร้องขอไฟล์ PHP ไฟล์ใด เว็บเซิร์ฟเวอร์จะเรียก PHP engine ขึ้นมาแปล (interpret) และ ประมวลผลคําสั่งที่อยู่ในไฟล์ PHP นั้น โดยอาจมีการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือเขียนข้อมูลลงไปยัง ฐานข้อมูลด้วย หลังจากนั้นผลลัพธ์ในรูปแบบ HTML จะถูกส่งกลับไปยังเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์ก็จะแสดงผล ตามคําสั่ง HTML ที่ได้รับมา ซึ่งย่อมไม่มีคําสั่ง PHP ใด ๆ เหลืออยู่ เนื่องจากถูกแปลและประมวลผล โดย PHP engine ที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปหมดแล้ว สังเกตการทํางานของเบราว์เซอร์ในกรณีนี้ไม่ต่างจากกรณีของ เว็บเพจธรรมดาที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ เพราะสิ่งที่เบราว์เซอร์ต้องกระทําคือ การร้องขอไฟล์จากเว็บ แม่ข่าย (Server) จากนั้นก็รอรับผลลัพธ์กลับมาแล้วแสดงผล ความแตกต่างจริง ๆ อยู่ที่การทํางานทางฝั่ง แม่ข่าย ซึ่งกรณีหลังนี้เว็บเพจที่เป็นไฟล์ PHP จะผ่านการประมวลผลก่อนที่จะถูกส่งไปยังเบราว์เซอร์