หอคอยเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)
หอคอยเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)
หอคอยเกียวโต ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ สถานีเกียวโต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมหลักของเมือง สถานีเกียวโต เป็นหนึ่งในอาคารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นทั้งหมดเป็นสถานที่สำคัญเช่นกัน หากต้องการไปยัง หอคอยเกียวโต เพียงออกจากประตู Karasuma Central แล้วข้ามถนนหรือใช้ทางเดินใต้ดินเข้าสู่หอคอย คุณสามารถเข้าถึง สถานีเกียวโต ด้วยรถไฟหรือรถบัสจากที่ใดก็ได้ใน เกียวโต สถานีนี้มีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงตรงไปยัง โตเกียว โอซาก้า และ นาโกย่า ทำให้การเดินทางไปชม หอคอยเกียวโต เป็นเรื่องง่ายแม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในเมืองก็ตาม
แผนสำหรับการก่อสร้าง หอคอยเกียวโต ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2503 โดยได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกสมัยใหม่ชื่อมาโมรุยามาดะและเริ่มการก่อสร้างในปี 2506 บนเว็บไซต์ก่อนหน้านี้ ที่ทำการไปรษณีย์กลางของเกียวโต รูปร่างและสีโดยรวมของหอคอยนั้นมีจุดประสงค์คล้ายกับเทียนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม มันถูกสร้างขึ้นเพื่อทนต่อกองกำลังของแผ่นดินไหวและไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ การก่อสร้างใกล้จะแล้วเสร็จในปลายปีถัดไปและหอเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ธันวาคม 2507 แม้ว่าจะมีการคัดค้านต่อสาธารณะในการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ทันสมัยในใจกลาง เกียวโต ประวัติศาสตร์ หนึ่งล้านคนในปีแรก
แน่นอนว่าหอคอยหลักของ หอคอยเกียวโต นั้นแน่นอนว่าเป็นหอสังเกตการณ์อันสูงส่ง ตั้งอยู่บนชั้น 4 และ 5 ของหอคอยดาดฟ้าล้อมรอบศูนย์กลางของอาคารทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์มุมกว้าง 360 องศาทั่วเมือง เว็บไซต์ยอดนิยมรวมถึง สถานีเกียวโต ด้านล่างโดยตรง วัดโทจิ และเจดีย์ห้าชั้นไปทางตะวันตกเฉียงใต้และแม้กระทั่ง โอซาก้า ในระยะไกลในวันที่อากาศแจ่มใส! มุมมองสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงขึ้นอยู่กับฤดูกาลและแม้กระทั่งชั่วโมงที่คุณไป พระอาทิตย์ตกเป็นช่วงเวลาที่สวยงามเป็นพิเศษในการเยี่ยมชม หอคอยเกียวโต และคุณสามารถชมทิวทัศน์อันงดงามของท้องฟ้าสีส้มจากทางด้านบน ผู้เข้าชมยังสามารถใช้กล้องโทรทรรศน์บนชั้น 5 ได้ฟรีและมีการตรวจสอบข้อมูลการท่องเที่ยวเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว
ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)
ปราสาทนิโจ ตั้งอยู่ที่เมืองเกียวโต โดยถือเป็นอีกสิ่งปลูกสร้างหนึ่งของเมืองที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกของยูเนสโก้ ปราสาทแห่งนี้นั้นมีอายุมานานหลายร้อยปี
โดยถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1603 เพื่อเป็นที่พำนักอาศัยของท่านโชกุนโทคุกาวะ ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญ เนื่องจากท่านนั้นเป็นโชกุนคนแรกของสมัยเอโดะราวๆปี ค.ศ. 1603-1867 ซึ่งการสร้างปราสาทนี้นั้นเรียกได้ว่าไม่ใช่ง่ายๆเลยอาจจะเป็นเพราะภายในมีอาคารมากมายหลายส่วน อีกทั้งในยุคนั้นอาจมีอุปสรรคหลากหลายด้าน จนทำให้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะสร้างเสร็จ หากที่เห็นในปัจจุบันก็ไม่ใช่เฉพาะที่ส้รางในยุคเอโดะเท่านั้นยังมีอีกหลายๆส่วนที่ได้ต่อเติมหรือสร้างขึ้นใหม่อีกภายหลังด้วยล่ะ
ปราสาทนิโจมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่สวยงามและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่ทางมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1994 ภายในปราสาทนิโจนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักใหญ่ๆอย่างฮอนมารุ – honmaru (ปราสาทชั้นใน) นิฮอนมารุ – ninomaru (ปราสาทชั้นนอก) และสวนรวมไปถึงกำแพงหินที่โอบล้อมปราสาททั้งหมด หลังจากหมดยุคราชวงศ์โทคุกาวะในปี 1867 ปราสาทนิโจถูกใช้เป็นพระราชวังสำหรับราชวงศ์ในยุคต่อๆมา จนมาภายหลังนั่นเองที่ได้ถูกส่งมอบให้กับเมืองเกียวโตและเปิดให้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โดยมีการเปิดให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม นับว่าเป็นปราสาทอันเก่าแก่ที่ไม่ควรพลาดอีกแห่งหนึ่งเลยล่ะ
วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple)
วัดคิโยมิสึ เป็นวัดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับจังหวัดเท่านั้น ยังเป็นวัดที่พูดได้เลยว่าดังที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ผิดเลยล่ะ เนื่องจากการที่วัดมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามชวนตะลึงจนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 780 แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเองล่ะ
ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่แค่การสร้างก็น่าทึ่งแล้ว เพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สุดยอดเลยจริงๆ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
เมื่อพูดถึงส่วนต่างๆภายในวัดแล้วนั้นจะมีอาคารหลักๆทั้งหมด 9 อาคาร ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2017นั้นได้มีการทยอยไปบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหลักหลายๆส่วน และจะมีกำหนดการเสร็จสิ้นประมาณปี 2020 โดยทางวัดจะมีการบูรณะและซ่อมแซมอาคารเหล่านี้ที่ละอาคาร และในปัจจุบันอาคารโอคุโนะอิง (Okunoin Hall ), อาคารอะมิดา (Amida Hall) และอาคารชากะ (Shaka Hall) อยู่ในระหว่างการซ่อมแซมบูรณะ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ 3 ชั้นตรงทางเข้าที่กำลังเตรียมปรับปรุงเช่นกัน ใครที่ไปช่วงนี้แล้วอยากจะดูหลายๆส่วนให้ครบอาจจะผิดหวังกันบ้าง แต่ส่วนที่เหลือที่ยังคงเปิดให้เข้าชมก็สวยงามไม่แพ้กันเชื่อว่าความงดงามของสถานที่ สถาปัตยกรรม รวมไปถึงวิวทิวทัศน์ที่ได้สัมผัสกันไม่ทำให้เสียอรรถรสในการเข้าชมอย่างแน่นอน