อ้างอิง-1

จำนวนครั้งเข้าชม

จำนวนผู้เข้าชมไม่ซ้ำคน

การกำเนิดของคำว่า แซ่

ในสมัยโบราณนั้นแซ่ตระกูลมีที่มาแตกต่างกัน แซ่เป็นอย่างหนึ่ง ตระกูลก็เป็นอย่างหนึ่ง

แซ่ ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซิ่ง” ตามรากศัพท์หมายถึง

เผ่าพันธุ์ที่มีสตรีเป็นหัวหน้าหรือผู้ให้กำเนิด ตระกูลในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซื่อ”

ตามรากศัพท์หมายถึงฐานะของผู้ชายที่เป็นนักรบ ในความหมายเดิม ๆ

แซ่จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นคนอยู่เผ่าใด ส่วนตระกูลเป็นเครื่องแสดงฐานะของบุคคล

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ซื่อหรือตระกูลเป็นสิ่งแยกวรรณะ ส่วนแซ่หรือซิ่งนั้น

เป็นสิ่งแสดงสถานภาพการสมรสของฝ่ายหญิง

แซ่ในยุคโบราณจึงมักมีรูปอักษรที่มีคำว่า “หนี่” หมายถึงผู้หญิง กำกับอยู่ด้วยเสมอ

ส่วนซื่อหรือตระกูลนั้นมีใช้กันไม่แพร่หลายมากนัก จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้น ผู้ดีมีฐานะทางสังคม

อย่างเช่นหวงตี้ที่ถือกันว่าเป็นพระเข้าแผ่นดินองค์แรกของคนจีนทั้งมวล มาจากตระกูลกงซุน

หมายความว่าเป็นหลานของกง ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ของขุนนางระดับชั้นสมเด็จเจ้าพระยา

หรือ Duke ของอังกฤษ สำหรับราษฎรธรรมดานั้นแต่เดิมไม่มีแซ่ตระกูล

มีเพียงชื่อตัวที่เรียกว่า หมิง เท่านั้น ต่อเมื่อสังคมบ้านเมืองจีนขยายใหญ่โตมากขึ้นพร้อมกับจำนวน

ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปขุนนางศึก

และชนชั้นเจ้าที่ดินทั้งหลาย ซึ่งมีอาณาเขตปกครองที่ดินทั้งหลายซึ่งมีอาณาเขตปกครองที่ดิน

ถือครองเพิ่มมากขึ้น จำต้องอาศัยประชาชนทั่วไปเป็นแรงงานสำคัญในการพัฒนา

ที่ดินตลอดจนการรบทัพจับศึก ดังนั้นจึ้งต้องหาสมัครพรรคพวกด้วยการเอาอกเอาใจคน

ในปกครองให้มีสิทธิมีเสียงมากขึ้น สัญชาตญาณของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ

ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับตนเอง คนที่เป็นทาสหรือเป็นคนสามัญก็อยากให้ตนเองมีฐานะ

ทางสังคมขึ้นมาบ้าง พวกเจ้านายทั้งหลายที่มีสติปัญญาความรู้ ย่อมเล็งเห็นความจริง

ในข้อนี้ จึงยินยอมให้คนในปกครองเกิดความรู้สึกจงรักภักดี ต่อตนเองด้วยการ

ให้มาร่วมใช้แซ่ตระกูลของตน หรือคิดตั้งแซ่ตระกูลต่าง ๆ ให้ ซึ่งมีความเกี่ยวโยง

กับแซ่ตระกูลของคนที่เป็นเจ้านาย ดังนั้น ในยุคจ้านกว๋อหรือยุครณรัฐ อันเป็นสมัยที่

วอร์ลอร์ดทั้งหลายต่างแสวงหาอำนาจอิทธพลกันอย่างกว้างขวาง จึงมีการประทาน

แซ่ตระกูลให้แก่คนทั่วไปนับแตันั้นมาการใช้แซ่ตระกูลของจีน ก็เป็นไปอย่างแพร่หลาย

เพิ่มเติมจากแซ่เดิมแต่โบราณที่มีอยู่ไม่กี่แซ่ ตามตำนานโบราณบันทึกว่า

หวงตี้หรือพระเจ้าเหลืองมีโอรสทั้งหมดยี่สิบห้าองค์ เกิดจากมเหสีสิบสององค์

โอรสทั้งหลายต่างใช้แซ่ของมารดาตนเองจึงมีแซ่ที่สืบเชื้อสายมาจากหวงตี้สิบสองแซ่

บางตำนานว่าสิบสี่แซ่ ยังมีตำนานบางเล่มกล่าวว่าหวงตี้ได้พระราชทานแซ่แก่ขุนนาง

ที่มีความดีความชอบให้ออกไปกินเมืองต่าง ๆ ขุนนางนั้นเลยใช้แซ่พระราชทานเป็นชื่อเมือง

คนที่อยู่เมืองนั้นต่อมาก็ใช้ชื่อเมืองเป็นแซ่ของตน ในพระราชประวัติของพระเจ้าฮั่นเกาจู่

(หลิวปัง) จักรพรรดิปฐาราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ครั้นพระองค์ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้แล้ว

ได้โปรดเกล้าฯให้ประชาชนทุกคนมีแซ่ตระกูลประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ขุนนางหรือไพร่

และจากยุคนี้เองที่แซ่ตระกูลได้มารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยรวมเรียกว่าแซ่

และให้ถือตามแซ่ของบิดาอย่างเป็นทางการ จากการที่มีการใช้แซ่กันอย่างกว้างขวาง

ไม่เลือกคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรือประชาชนคนสามัญทั่วไปจึงทำให้เกิดความนิยมขึ้นมา

อย่างหนึ่งคือ การสืบเสาะหาความเป็นมาของแซ่ตระกูล ยุคราชวงศ์ฮั่นจึงได้มีนักศึกษา

ประวัติศาสตร์สาขามานุษยวิทยาแขนงตระกูลวิทยาAnthroponomy เกิดขึ้น

นักศึกษาเหล่านี้มีความสนใจค้นคว้าถึงความเป็นมาของแซ่ตระกูลต่าง ทั้งการเริ่มต้น

และการดับสูญ นับเป็นแขนงวิชาหนึ่งซึ่งเป็นกระจกสะท้อนถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษยได้ดีพอควร

จากความมุ่งหมายเดิมที่ต้องการเพียงแต่สืบค้นถึงที่มาของบรรพบุรุษในแซ่ตระกูลตนเอง

กลายเป็นการสืบสาวโยงใยไปถึงบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกัน

ความเกี่ยวพันกันทั้งใน

ฐานะญาติพี่น้อง มิตรสหาย หรือศัตรู ในปี ค.ศ.1990 เช่นกัน รัฐบาลจีนได้สำรวจ

แซ่ตระกูลจีนที่มีมาแต่โบราณถึงปัจจุบัน ปรากฏว่ามีแซ่ตระกูลทั้งหมด

มากกว่า 8,000 แซ่แต่มีบางแซ่ได้เลิกใช้กัน ไปแล้ว ที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้มี

เพียง 5,007 แซ่ โดยสามารถแยกประเภทของการใช้แซ่ออกได้ตามลักษณะสำคัญดังนี้

1. การใช้แซ่ตามมารดาผู้ให้กำเนิด

2. การใช้แซ่ตามถิ่นเกิด

3. การใช้แซ่ตามเมืองที่ไปอยู่

4. การใช้แซ่ตามอาชีพ

5. การใช้แซ่ตามฉายา

6. การใช้แซ่ตามตัวเลข

สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้แก่

1. จาง 2. หวาง 3. หลี่ 4. จ้าว 5. หลิว

6. เฉิน 7. หยาง 8. หลิน 9. สวี 10.โจว

สิบแซ่นี้รวมกันแล้วมีประมาณ 250 ล้านคน เฉพาะแซ่จางแซ่เดียวก็กว่า 100 ล้านคน

เข้าไปแล้วหรือมากเกือบเท่ากับคนอังกฤษและฝรั่งเศสสองประเทศรวมกัน

ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในสาธาณรัฐประชาชนจีนได้แก่

1. หลี่ 2. หวาง 3. จาง 4. หลิว 5. เฉิน

6. หยาง 7. จ้าว 8. หวง 9. โจว 10.หวู

11. สวี 12.ซุน 13.หู 14.จู 15.หวัง

16.หลิน 17.เหอ 18.กวัว 19.ไช่ 20.หม่า

ยี่สิบแซ่นี้รวมกันแล้วประมาณ 56% ของคนจีนทั้งประเทศ หรือมากกว่า 600 ล้านคน

อันดับหนึ่งถึงสี่คือ หลี่ หวาง จาง หลิว แต่ละแซ่มีมากกว่า

70 ล้านคน หรืออีกนัยหนึ่ง

แต่ละแซ่ดังกล่าวนี้มีมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ

ส่วนทางจีนไต้หวัน ซึ่งเป็นชุมนุมชาวจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก

สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้มีการสำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้แซ่ตระกูลจีน

เช่นกันปรากฏว่ามีแซ่ที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน 6,363 แซ่ แต่แซ่ที่ใช้กัน

ประจำมีเพียง 1,694 แซ่ แยกออกเป็นประเภทต่าง ดังนี้ แซ่อักษรเดียว 3730 แซ่

แซ่อักษรสองตัว 2,498 แซ่ แซ่อักษรสามตัว 127 แซ่ แซ่อักษรสี่ตัว 6 แซ่

แซ่อักษรห้าตัว 2 แซ่ ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในได้หวันได้แก่

1. เฉิน 2. หลิน 3. หวง 4. จาง 5. หลี่

6. หวู 7. หวาง 8. ไช่ 9. หลิว 10.หยาง

11.เคอ 12.เจี่ยน 13.ถาง 14.ตู้ 15.เหอ

16.หาน 17.เจิ้ง 18.ล่าย 19.ชิว 20.หง

ที่ไต้หวันนี้มีคำกล่าวว่าเฉินหลินหมั่นเทียนเซี่ย แปลว่า คนแซ่เฉินแซ่หลินมีเต็มแผ่นดิน

คนแซ่เฉินมีประมาณ 12.29 % ของประชากรไต้หวัน

ส่วนคนแซ่หลินมีประมาณ 8.5 %

ทางด้านเกาหลีใต้ซึ่งมีประชากร 40 ล้าน มีคนแซ่จิน (กิม) มากถึง 9 ล้านคน

รองลงมาเป็นคนแซ่หลี่ 6 ล้านคนและแซ่ปัก 3.5 ล้านคนนอกจากคนจีนนิยมใช้แซ่

เป็นเครื่องกำหนดสายพันธุ์ของตระกูลแล้ว ประเทศญี่ปุ่นที่รับเอาวัฒนธรรมจีนไปใช้

ก็ใช้แซ่ตระกูลอย่างชาวจีนด้วย และน่าสังเกตว่า แม้คนญี่ปุ่นจะมีจำนวนน้อยกว่าจีนถึงสิบเท่า

แต่กลับมีแซ่ตระกูลมากกว่าคนจีนเสียอีก ญี่ปุ่นมีแซ่ตระกูลมากกว่า 120,000 แซ่

ส่วนประเทศไทยนั้น เมื่อต้นปี 2535 รายการเมืองไทยก้าวไกล ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 9

ได้นำเสนอเรื่องราวของสิบอันดับแซ่ตระกูลจีนที่มีผู้ใช้มากที่สุดในเมืองไทย

ปรากฏว่ามีผู้ชมสนใจรายการนี้มากถึงขนาดต้องเพิ่มการออกอากาศเฉพาะ

เรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษถึงสองตอน

สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในไทยได้แก่

1. ตั้ง (เฉิน) 84,829 คน 2.ลิ้ม (หลิน) 74,719 คน

3.ลี้ (หลี่) 49,291 คน 4.อึ้ง (หวง) 44,485 คน

5. โง้ว (หวู) 33,533 คน 6.โค้ว (สวี่) 31656 คน

7.เตียว (จาง) 31,246 คน 8.แต้ (เจิ้ง) 25,922 คน

9.เล้า (หลิว) 25,346 คน 10.เฮ้ง (หวาง) 17,821 คน

ถ้าเราค่อย ๆ นับไล่ย้อนหลังไปจากปัจจุบันที่มีแซ่ใช้ประจำ 5,007 แซ่

ในสมัยราชวงศ์หมิงมีเพียง 1,000 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่งมี 600 แซ่ สมัยราชวงศ์ถังมี 293 แซ่

สมัยราชวงศ์โจวมีเพียง 22 แซ่ กลับไปถึงสมัยหวงตี้มี 12 แซ่ แล้วถึงตัวหวงตี้เอง

มีเพียงเดียว อย่างนี้ย่อมนับได้ว่าคนจีนทุกคน ไม่ว่าปัจจุบันจะใช้แซ่อะไรก็ตาม

ล้วนแต่เป็นสายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับตามความคิดนี้

ย่อมก่อให้เกิดความสงบสันติสุข ไม่อยากฆ่าฟันทำลายล้างกันอีกต่อไป ทั้งนี้ไม่จำกัดวงแคบ

เฉพาะ ในหมู่คนจีน หรือคนที่มีสายเลือดจีนเท่านั้น ถ้าเรามีน้ำใจเผื่อแผ่โดยถือว่าทุกคน

ที่เป็นมนุษย์ล้วนแต่มีแซ่เดียวกัน คือ แซ่ “ตน” โลกนี้ก็น่าจะอยู่กว่านี้อีกมากนัก

ปัจจุบันชาวโลกมีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น เพราะต่างตระหนักดีว่า

การทำตัวเป็นศัตรูกันอย่างงมงานด้วยการถือเขาถือเราเป็นคนละเผ่ากันนั้น

ย่อมเป็นความคิดที่ล้าหลังน่าหัวเราะ โลกนี้แคบลงทุกวันตามจำนวนประชากรโลก

ที่เพิ่มพูนขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้มีมากมายกว่า 5,300 ล้านคน การที่คนจีนมีจำนวนถึง

ประมาณ 1,200 ล้านคนในประเทศ และอีกเกือบ 100ล้านคนในประเทศอื่นทั่วโลก

เทียบได้ว่าพลโลกทุกสี่คนจะเป็นคนจีนหนึ่งคนความเป็นมาของคนจีนจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย จนอาจกลาวได้ว่าการศึกษาความเป็นมาของคนจีนคือการศึกษา

ความเป็นมาของมวลมนุษย์ คำนี้คิดว่าคงไม่ใช่คำกล่าวที่เกิดเลยความจริง

เพราะชาติจีนเป็นชาติหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน

มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดตอน เป็นชาติเดียวในโลกที่มีคนในสายลือดกระจาย

ไปอยู่ทุกทวีป เป็นชาติเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครองที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา

ครบทุกรูปแบบ ครบเครื่องทั้งระบอบราชาธิปไตย ประชาธิปไตยเผด็จการ

สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ระบอบกึ่งอาณานิคม เสรีนิยม และอำนาจนิยม .

ข้อมูลจากนิตยสาร “ร้อยแซ่พันธุ์มังกร”ผลิตโดยผู้จัดการ หน้า 14-17

-----------------------------------------------

link ที่มา :

http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/9/0007-1.html

ผู้สร้าง page : พาณิชย์