21 ธันวาคม 2010 โดย PchyZ, CPE@RMUTT
1. จงอธิบายความหมายของ HTML
HTML ย่อมาจากคำว่า Hyper Text Markup Language เป็นภาษาที่ใช้ในการแสดงผลของเอกสารบน website หรือที่เราเรียกกันว่าเว็บเพจ เป็นภาษาที่พัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C)
HTML ยังคงเป็นรูปแบบไฟล์อย่างหนึ่ง สำหรับ .html (หรือ .htm ที่ใช้ในระบบปฏิบัติการที่รองรับรูปแบบนามสกุล 3 ตัวอักษร) ในปัจจุบัน มีโปรแกรมต่างๆ มากมายที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโค้ด html เช่น โปรแกรม Macromedia Dreamweaver ปัจจุบันเวอร์ชัน CS5 แล้ว มีความง่ายและสะดวกในการสร้าง html ขึ้นมา ด้วย Tool ต่าง ๆ ของโปรแกรม
2. จงอธิบาย ระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL มาพอสังเขป
Mysql จัดเป็นระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS: Relational Database Management System) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของ Internet เนื่องจาก
- Mysql จัดเป็นซอฟท์แวร์ประเภท Open Source Software ทางด้านฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง
- รวดเร็ว การรองรับจำนวนผู้ใช้ และขนาดของข้อมูลจำนวนมหาศาล
- สนับสนุนการใช้งานบนระบบปฏิบัติการมากมาย เช่น UNIX OS/2 MAC OS Windows
- สามารถใช้งานร่วมกับ Web Development Platform เช่น C, C++, Java, Perl, PHP, Python, TCL, ASP
- ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
3. AppServ ประกอบด้วยโปรแกรมอะไรบ้าง
AppServ 2.5.10 เป็น package รวม Apache 2.2.8, PHP 5.2.6, MySQL 5.0.51b และ phpMyAdmin 2.10.3
4. เกี่ยวกับ Joomla ! จงตอบคำถามต่อไปนี้?
1) Joomla! คือ?
Joomla! คือระบบที่ช่วยในการจัดการเนื้อหา (Content Management System: CMS) บนเว็บไซต์ เพื่อช่วยในการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และความยุ่งยากในการบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม หรือออกแบบเว็บไซต์ ก็สามารถจัดทำเว็บไซต์ด้วยตัวเองได้ Joomla! เป็นระบบจัดการเนื้อหาเว็บแบบโอเพนซอร์ส ที่เขียนด้วยภาษา PHP และใช้ฐานข้อมูล MySQL
2) ข้อดีของ Joomla?
- ความมั่นคงของซอฟต์แวร์ที่รับประกันว่าจะมีผู้พัฒนาขีดความสามารถให้สูงขึ้น และมีบุคลากรที่จะพัฒนาต่อไป
- ความมีมาตรฐานของซอฟต์แวร์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรเฉพาะทาง ขอเพียงเข้ารับการอบรม หรือฝึกฝนจากตำราคู่มือ ก็สามารถใช้งานได้
- ประหยัดงบประมาณและเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ลงได้อย่างมากเมื่อเทียบกับฟังก์ชันที่ใช้งาน ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
3) Extensions คือ?
สำหรับโปรแกรมส่วนเสริมที่เรียกว่า Extensions ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของโปรแกรมหลักที่ดาวน์โหลดมา ทั้งในส่วนของ Joomla! จึงทำให้เกิดการขยายขีดความสามารถทำงานของ Joomla! CMS ให้สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม เพียงดาวน์โหลดโปรแกรมเสริมที่ต้องการ และนำไปติดตั้งผ่านระบบบริหารจัดการของ Joomla! CMS ก็ใช้งานได้ทันที Extension ของ Joomla! มี ด้วยกัน 3 ตัว คือ
- Component เป็นโปรแกรมเสริมที่เพิ่มความสามารถการทำงานให้กับโปรแกรมหลัก การติดตั้ง Component จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างฐานข้อมูลหลัก และโครงสร้าง Directory ของ Hosting เพื่อให้สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงในฐานข้อมูลได้
- Module เป็นโปรแกรมเสริมที่ช่วยในการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในมานำเสนอผ่านหน้าเว็บ แต่ก็มีบางโปรแกรมที่ถึงเอาข้อมูลจากภายนอกมาใส่ไว้ในเว็บของเราได้เช่นกัน
- Plug-in เป็นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมให้กับโปรแกรมหลักเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับความ สามารถเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เช่น การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
4) ส่วนประกอบของ Joomla!
- Front end คือ ส่วนหน้าเว็บไซต์ ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องลงทะเบียนหรือมีหน้าที่ดูแลระบบสามารถเข้าถึงได้
- Back end คือ ส่วนด้านในเว็บไซต์ที่ผู้ดูแลระบบใช้จัดการตั้งค่าระบบ พิมพ์เนื้อหาบทความต่างๆ ผู้ใช้ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงหน้านี้ได้
5. เกี่ยวกับ CMS จงตอบคำถามต่อไปนี้?
1) CMS คือ?
CMS ย่อมาจาก Content Management System เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป โดยในการใช้งาน CMS นั้นผู้ใช้งานแทบไม่ต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ โดยที่ตัว CMS เองมีโปรแกรมประยุกต์ พร้อมใช้งานอยู่ภายในมากมาย
2) ข้อดีของ CMS
- ความสามารถในการใช้ Template และส่วนประกอบของการออกแบบที่ครอบคลุมการออกแบบทั้งไซต์
- ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถใช้งาน Template โดยนำมาประกอบกับเอกสารหรือเนื้อหาทำให้ช่วยลดภาระเรื่องการเขียนโค้ดให้น้อยลง
- ผู้ใช้งานเว็บไซต์ให้ความสนใจเฉพาะเนื้อหามากกว่าการออกแบบ และในการที่จะเปลี่ยนหน้าตาของเว็บไซต์ ผู้ดูแลเว็บไซต์ก็แค่ไปแก้ไขที่ Template ไม่ใช่ที่แต่ละหน้าของเว็บเพจ
- ง่ายในการสร้างและบำรุงรักษาเว็บไซต์ ช่วยจัดระดับการใช้งานสำหรับแต่ละส่วนงานของเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเข้ามาเซ็ตการใช้งานของระบบที่เซิร์ฟเวอร์โดยตรง เพราะสามารถทำได้โดยผ่านเว็บบราวเซอร์
- มีส่วนเสริมเข้ามาเสริมการทำงานได้ และ ส่วนนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บ
3) ประเภทของ CMS
- Weblog เป็น CMS ส่วนของการบันทึกเผยแพร่ส่วนบุคคล
- e-Commerce (อีคอมเมิร์ช) เป็น CMS ส่วนของการทำร้านค้า online
- e-Learning เป็น CMS ที่ใช้ในการทำงานสื่อการเรียนการสอน
- Forums เป็น CMS ที่ใช้ในการตั้งกระทู้ถามตอบปัญหา
- Image Galleries (อัลบั้มภาพ) จะใช้ในการจัดการอัลบั้มภาพหรือทำ Galleries
- Groupware เป็น CMS ที่ออกแบบมาเพื่อที่จะช่วยการทำงานในองค์กรหรือหน่วยงานให้มีความสัมพันธ์กัน
4) ยกตัวอย่าง CMS ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันมา 5 CMS
PHPNuke , Mambo , Drupal , Joomla , WordPress
6. อธิบายความหมายและความสำคัญของ RSS มาใช้งานบน Joomla!
RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication เป็นบริการใหม่บนเว็บไซต์ภาษา XML ใช้สำหรับดึงข่าวจากเว็บต่างๆ มาแสดงบนหน้าเว็บเพจ โดยนำมาเฉพาะหัวข้อข่าว เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์ก็จะแสดงรายละเอียดข่าวในเว็บต้นฉบับนั้นๆ โดยที่หัวข้อข่าวจะอัพเดทตามเว็บต้นทาง ซึ่งการดึงหัวข้อข่าวไปแสดงนั้นจะมีส่วนประกอบทั้งหมดสามส่วนคือส่วนผู้ให้ บริการดึงข่าว และส่วนผู้สร้างเว็บไซต์ใช้ทั่วไปที่ต้องการดึงข่าวไปแสดง และส่วนผู้ใช้ทั่วไป
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์โดยเฉพาะกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ปัจจุบัน RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริการข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการแชร์ข้อมูล เช่นเว็บไซต์ข่าว เว็บล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหากเพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึงสามารถสืบค้นข้อมูลได้
จุดเด่นของ RSS คือผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆเพื่อดูว่ามีข้อมูลอัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดทไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์