(06มี.ค.55)
แนวข้อสอบปลายภาค 2555
การแบ่งระดับชั้นของเนื้อหา Joomla
1.1 Article
1.2 Category
1.3 Section
HTML
HTML ย่อมาจากคำว่า Hyper Text Markup Language เป็นภาษาที่ใช้ในการแสดงผลของเอกสารบน website หรือที่เราเรียกกันว่าเว็บเพจ เป็นภาษาที่พัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C)
HTML ยังคงเป็นรูปแบบไฟล์อย่างหนึ่ง สำหรับ .html (หรือ .htm ที่ใช้ในระบบปฏิบัติการที่รองรับรูปแบบนามสกุล 3 ตัวอักษร) ในปัจจุบัน มีโปรแกรมต่างๆ มากมายที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโค้ด html เช่น โปรแกรม Macromedia Dreamweaver ปัจจุบันเวอร์ชัน CS5 แล้ว มีความง่ายและสะดวกในการสร้าง html ขึ้นมา ด้วย Tool ต่าง ๆ ของโปรแกรม
ระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL
Mysql จัดเป็นระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS: Relational Database Management System) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของ Internet เนื่องจาก
- Mysql จัดเป็นซอฟท์แวร์ประเภท Open Source Software ทางด้านฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง
- รวดเร็ว การรองรับจำนวนผู้ใช้ และขนาดของข้อมูลจำนวนมหาศาล
- สนับสนุนการใช้งานบนระบบปฏิบัติการมากมาย เช่น UNIX OS/2 MAC OS Windows
- สามารถใช้งานร่วมกับ Web Development Platform เช่น C, C++, Java, Perl, PHP, Python, TCL, ASP
- ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
AppServ
AppServ 2.5.10 เป็น package รวม Apache 2.2.8, PHP 5.2.6, MySQL 5.0.51b และ phpMyAdmin 2.10.3
เกี่ยวกับ Joomla !
Joomla! คือ?
Joomla! คือระบบที่ช่วยในการจัดการเนื้อหา (Content Management System: CMS) บนเว็บไซต์ เพื่อช่วยในการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และความยุ่งยากในการบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม หรือออกแบบเว็บไซต์ ก็สามารถจัดทำเว็บไซต์ด้วยตัวเองได้ Joomla! เป็นระบบจัดการเนื้อหาเว็บแบบโอเพนซอร์ส ที่เขียนด้วยภาษา PHP และใช้ฐานข้อมูล MySQL
ข้อดีของ Joomla?
- ความมั่นคงของซอฟต์แวร์ที่รับประกันว่าจะมีผู้พัฒนาขีดความสามารถให้สูงขึ้น และมีบุคลากรที่จะพัฒนาต่อไป
- ความมีมาตรฐานของซอฟต์แวร์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรเฉพาะทาง ขอเพียงเข้ารับการอบรม หรือฝึกฝนจากตำราคู่มือ ก็สามารถใช้งานได้
- ประหยัดงบประมาณและเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ลงได้อย่างมากเมื่อเทียบกับฟังก์ชันที่ใช้งาน ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
Extensions คือ?
สำหรับโปรแกรมส่วนเสริมที่เรียกว่า Extensions ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของโปรแกรมหลักที่ดาวน์โหลดมา ทั้งในส่วนของ Joomla! จึงทำให้เกิดการขยายขีดความสามารถทำงานของ Joomla! CMS ให้สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มเติม เพียงดาวน์โหลดโปรแกรมเสริมที่ต้องการ และนำไปติดตั้งผ่านระบบบริหารจัดการของ Joomla! CMS ก็ใช้งานได้ทันที Extension ของ Joomla! มี ด้วยกัน 3 ตัว คือ
- Component เป็นโปรแกรมเสริมที่เพิ่มความสามารถการทำงานให้กับโปรแกรมหลัก การติดตั้ง Component จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างฐานข้อมูลหลัก และโครงสร้าง Directory ของ Hosting เพื่อให้สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงในฐานข้อมูลได้
- Module เป็นโปรแกรมเสริมที่ช่วยในการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในมานำเสนอผ่านหน้าเว็บ แต่ก็มีบางโปรแกรมที่ถึงเอาข้อมูลจากภายนอกมาใส่ไว้ในเว็บของเราได้เช่นกัน
- Plug-in เป็นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมให้กับโปรแกรมหลักเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับความ สามารถเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เช่น การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์
ส่วนประกอบของ Joomla!
- Front end คือ ส่วนหน้าเว็บไซต์ ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องลงทะเบียนหรือมีหน้าที่ดูแลระบบสามารถเข้าถึงได้
- Back end คือ ส่วนด้านในเว็บไซต์ที่ผู้ดูแลระบบใช้จัดการตั้งค่าระบบ พิมพ์เนื้อหาบทความต่างๆ ผู้ใช้ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงหน้านี้ได้
เกี่ยวกับ CMS
CMS คือ?
CMS ย่อมาจาก Content Management System เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป โดยในการใช้งาน CMS นั้นผู้ใช้งานแทบไม่ต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ โดยที่ตัว CMS เองมีโปรแกรมประยุกต์ พร้อมใช้งานอยู่ภายในมากมาย
ข้อดีของ CMS
- ความสามารถในการใช้ Template และส่วนประกอบของการออกแบบที่ครอบคลุมการออกแบบทั้งไซต์
- ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถใช้งาน Template โดยนำมาประกอบกับเอกสารหรือเนื้อหาทำให้ช่วยลดภาระเรื่องการเขียนโค้ดให้น้อยลง
- ผู้ใช้งานเว็บไซต์ให้ความสนใจเฉพาะเนื้อหามากกว่าการออกแบบ และในการที่จะเปลี่ยนหน้าตาของเว็บไซต์ ผู้ดูแลเว็บไซต์ก็แค่ไปแก้ไขที่ Template ไม่ใช่ที่แต่ละหน้าของเว็บเพจ
- ง่ายในการสร้างและบำรุงรักษาเว็บไซต์ ช่วยจัดระดับการใช้งานสำหรับแต่ละส่วนงานของเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเข้ามาเซ็ตการใช้งานของระบบที่เซิร์ฟเวอร์โดยตรง เพราะสามารถทำได้โดยผ่านเว็บบราวเซอร์
- มีส่วนเสริมเข้ามาเสริมการทำงานได้ และ ส่วนนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บ
ประเภทของ CMS
- Weblog เป็น CMS ส่วนของการบันทึกเผยแพร่ส่วนบุคคล
- e-Commerce (อีคอมเมิร์ช) เป็น CMS ส่วนของการทำร้านค้า online
- e-Learning เป็น CMS ที่ใช้ในการทำงานสื่อการเรียนการสอน
- Forums เป็น CMS ที่ใช้ในการตั้งกระทู้ถามตอบปัญหา
- Image Galleries (อัลบั้มภาพ) จะใช้ในการจัดการอัลบั้มภาพหรือทำ Galleries
- Groupware เป็น CMS ที่ออกแบบมาเพื่อที่จะช่วยการทำงานในองค์กรหรือหน่วยงานให้มีความสัมพันธ์กัน
ความหมายและความสำคัญของ RSS
RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication เป็นบริการใหม่บนเว็บไซต์ภาษา XML ใช้สำหรับดึงข่าวจากเว็บต่างๆ มาแสดงบนหน้าเว็บเพจ โดยนำมาเฉพาะหัวข้อข่าว เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์ก็จะแสดงรายละเอียดข่าวในเว็บต้นฉบับนั้นๆ โดยที่หัวข้อข่าวจะอัพเดทตามเว็บต้นทาง ซึ่งการดึงหัวข้อข่าวไปแสดงนั้นจะมีส่วนประกอบทั้งหมดสามส่วนคือส่วนผู้ให้ บริการดึงข่าว และส่วนผู้สร้างเว็บไซต์ใช้ทั่วไปที่ต้องการดึงข่าวไปแสดง และส่วนผู้ใช้ทั่วไป
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์โดยเฉพาะกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ปัจจุบัน RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริการข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการแชร์ข้อมูล เช่นเว็บไซต์ข่าว เว็บล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหากเพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึงสามารถสืบค้นข้อมูลได้
จุดเด่นของ RSS คือผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆเพื่อดูว่ามีข้อมูลอัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดทไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์