เรกิคืออะไร

เรกิคืออะไร

เรกิคืออะไร พลังแห่งจักรวาลคืออะไร เราจะวัดพลังนี้ได้ไหมหรือคุณจะพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงได้หรือไม่ คุณอาจจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรกิเป็นร้อยเป็นพันเล่ม แต่นั่นก็คงไม่ได้ทำให้คุณรู้จัก เข้าใจ หรือเชื่อในเรกิได้แต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน หากคุณแค่ได้รับการบำบัดดว้ ยเรกิเพียงไมกี่นาที คุณอาจจะรับรูไดว้า่พลังเรกินั้นอุน่ สบาย หรือไม่

ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังแห่งการเยียวยา คุณจะพิสูจน์ได้ว่าเรกิมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อคุณสามารถสัมผัสถึงพลังนั้นได้ในร่างกายและจิตใจของคุณเองและถ้าหากคุณอยากวัดพลังเรกิบางทีคุณอาจจะต้องวัดจากใจของคุณเองว่าพร้อมจะเปิดกว้างมากน้อยแค่ไหน หรือไม่ก็จากความกล้าของคุณว่าคุณกล้าเพียงใดที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่มาพร้อมกับเรกิ......ฟังดูเหมือนคุณไม่อยากจะเชื่อผมใช่ไหมครับ....

หนังสือเรกิ พลังธรรมชาติเล่มนี้พยายามที่จะนำเสนอความเข้าใจเรื่องเรกิอย่างเป็นองค์รวมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประวัติของเรกิ เรกิคืออะไร เรกิทำงานอย่างไร และเราจะใช้พลังนี้เพื่อการเยียวยารักษาและการเติบโตได้อย่างไร โดยในหนังสือเล่มนี้ผมพยายามที่จะนำเสนอแนวทางการเยียวยารักษาและการพัฒนาตนเองต่างๆ ทั้งหมดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมากที่สุด เริ่มตั้งแต่ความรูเ้รกิระดับตน้ จนถึงระดับสูง รวมทั้งยังไดผ้ สมผสานเอาการทำสมาธิและหลักการพัฒนาชีวิตทั้งในรูปแบบและแง่มุมต่างๆ มาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และถึงแม้มันจะจริงอยู่ว่าการที่คุณจะสามารถเชื่อมต่อกับพลังเรกิได้ ในฐานะผู้ที่ต้องการทำเรกิให้กับตัวเองหรือแก่ผู้อื่นก็ตาม ครั้งแรกสุดนั้นคุณต้องอาศัยอาจารย์เรกิที่มีประสบการณ์ช่วยในการปรับเจิมพลัง (attunement) ก่อน แต่อย่างน้อยผมก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นการพยายามของผมที่จะคอยเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณ ที่จะค่อยๆ ช่วยอธิบายให้คุณทราบถึงหลักการพื้นฐานต่างๆ ทั้งหลายทั้งมวลอันเกี่ยวข้องกับเรกิ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาเบื้องหลัง เทคนิคพื้นฐาน รวมทั้งหลักการฝึกปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับเรกิทั้งระดับ ๑ ระดับ ๒ อีกทั้งยังได้รวบรวมประสบการณ์ส่วนตัวอีกมากมายและคำแนะนำอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่ต้องการจะฝึกฝนเรกิต่อไปเรกิเป็นพลังธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในจักรวาล และคุณสามารถนำพลังนี้ไปใช้ได้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กันมากมาย หากเพียงแต่คุณต้องได้รับการปรับพลังและการฝึกฝน ฝึกอบรมมาสักช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจากอาจารย์ของคุณ เรกินั้นสามารถช่วยพัฒนาและเยียวยารักษาด้านจิตวิญญาณ เรกิสามารถช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์และสติปัญญา เรกิสามารถช่วยให้พลังด้านจิตวิญญาณของคุณทำงานอย่างกลมกลืนกับด้านร่างกายเรกินอกจากจะทำให้ทุกส่วนของคุณสอดคล้องสมดุล ยังช่วยให้ตัวคุณทั้งหมด

สอดคล้องสมดุลกับจักรวาลด้วย นอกจากนี้พลังนี้ยังเอื้อให้คุณเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของจักรวาล และช่วยให้คุณเข้าถึงชีวิตอย่างเป็นองค์รวมในทุกๆ แง่มุมและทุกการเผยแสดงของชีวิต เราสามารถนำเรกิมาใช้เพื่อเยียวยาทั้งตัวคุณเอง เยียวยาผู้อื่น และเชื่อมโยงตัวคุณกับพลังแห่งจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ (meta-physical spiritual energies) โดยผ่านพิธีปรับเจิมพลังอันทรงพลังเรกิสามารถช่วยให้คุณตระหนักรู้ถึงความจริงทางจิตวิญญาณ โดยผา่ นการสัมผัสกับความอบอุน่ หรือการสั่นสะเทือนของพลังงานขั้นสูง และก็เปดิท่อธารแห่งจิตใจ จิตวิญญาณ และอารมณ์ของคุณเพื่อให้คุณได้สัมผัส และรับรูค้ วามจริงทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งขึ้น และยังเกื้อหนุนใหคุ้ณเกิดการเติบโตทางจิตวิญญาณที่มากขึ้นด้วย ว่ากันว่าบางครั้งปัญญาขั้นลึกของคุณอาจผุดขึ้นมาในขณะที่คุณปฏิบัติสมาธิก็ได้ นอกจากนี้เรกิยังสามารถช่วยในการเยียวยาปัญหาต่างๆ หลายๆ ด้านของคุณ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณ ปมด้านอารมณ์หรือความเจ็บป่วยทางร่างกาย คุณไม่จำเป็นต้อง “เชื่อ” ในเรกิ แต่ได้โปรดปล่อยวาง “ความไม่เชื่อ” ลง ทั้งนี้เพราะมันจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจทั้งมวลของคุณ และถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเห็นได้ว่ามีเนื้อหาอยูห่ ลายบทหลายตอนทีเดียวที่ผมไดท้ า้ ทายความรับรูทั้งมวลของคุณที่มีต่อโลก ทั้งนี้เพราะผมต้องการให้คุณลองปลดปล่อยตัวเองจากความเชื่อต่างๆ ใดๆ ก็ตามที่มีข้อจำกัด และสนับสนุนให้คุณลองเปิดรับความเข้าใจแบบที่เปน็ องคร์ วม ที่จะนำพาคุณไปสูสุ่ขภาพอันแข็งแรง ทั้งของตัวคุณเองและของโลกใบนี้เข้ามาแทน โดยทั้งหมดนี้ผมก็หวังว่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คุณสามารถเข้าใจในธรรมชาติของความจริงและของตัวคุณเอง โดยมีเรกิเป็นทางผ่านได้ และท้ายที่สุดโปรดเปิดจิตและใจเพื่อรับประสบการณ์การสัมผัสกับเรกิสักครั้งหนึ่งในชีวิตครับ

แล้วเรกิทำงานอย่างไรเล่า ลูกศิษย์ทุกคนถามคำถามนี้กับผม ผมเองก็ตอบคำถามนี้อย่างหลากหลายแตกต่างกันไปทุกครั้ง แม้ว่าแนวคิดพื้นฐานจะเหมือนเดิม เรกิทำงานอย่างที่ทุกสิ่งทำงาน นั่นก็คือ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ไม่ครับ ไม่ใช่ กฎทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเรียนในโรงเรียน แต่เป็นกฎธรรมชาติที่ไปเหนือทฤษฎีวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมทั้งหลาย จริงๆ แล้วแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และตัวมนุษย์นั้นมีข้อจำกัดอย่างเลวร้ายและคับแคบ ด้วยการสังเกตเชิงประจักษ์ที่เน้นแต่ด้านวัตถุ สปีชีส์ของเราได้ถูกทำให้ลดทอนลงจนแทบจะเหลือค่าเป็นเพียงเครื่องจักรที่ประกอบไปด้วยอะตอม ไฟฟ้า และหลักกลศาสตร์ ไม่มีอะไรมากกว่าวัตถุธาตุและสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากันในร่างกายของเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถขยายขอบเขตแห่งการตระหนักรู้ และเพิ่มความลึกซึ้งให้กับจิตสำนึกของเราขึ้นมาหน่อย เรกิก็จะกลายเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย และประสบการณ์การได้สัมผัสกับเรกิก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่งเช่นกัน แล้วการอธิบายเรื่องเรกินั่นเองที่จะเป็นสิ่งที่ยากมากที่สุด

แน่นอนว่าขั้นตอน เทคนิค และประวัติของเรกินั้นเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจได้ง่าย แต่คำถามว่าเรกิทำงานอย่างไรนั้น กลับกลายเป็นสิ่งลึกลับ และไปเกินกว่าที่เราจะใช้ความคิดเชิงตรรกะและวิทยาศาสตร์มาทำความเข้าใจได้ เซอร์เจมส์ จีนส์ นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ได้ให้ข้อสังเกตอันทรงพลังไว้ในช่วงทศวรรษ ๑๙๒๐ ว่า จักรวาลนั้นมองดูคล้าย ความคิดที่ยิ่งใหญ่มากกว่าจะเป็นเครื่องจักรที่ยิ่งใหญ่ และตลอดระยะเวลา ๘๐ ปีหลังมานี้ การทดลองของนักฟิสิกส์หลายคนก็ดูเหมือนจะเข้าข่ายไปช่วยยืนยันข้อสังเกตนี้กันครั้งแล้วครั้งเล่า จนท้ายที่สุดคุณเชื่อหรือไม่ว่า ด้วยมุมมองแบบนี้เองได้ทำให้ความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งในจักรวาล และพลังของจิตสำนึกได้กลายมาเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงและมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าผมจะพูดให้แคบและชัดลงมาอีก ให้ใกล้เคียงกับประเด็นของเรามากที่สุด นั่นก็คือ เพียงแค่เราเริ่มมีความคิดที่จะเยียวยารักษาใครสักคนหนึ่ง ก็ได้นำมาซึ่งการเยียวยารักษานั้นๆ แล้ว เมื่อความคิดส่งผลต่อความคิด และเราทุกคนเป็นความคิด เพราะฉะนั้นตัวเราเองจึงย่อมส่งผลต่อทุกๆ สิ่ง นั่นแหละครับ หัวใจของมัน !! ว่าแต่คุณเถอะครับ พร้อมหรือยัง!! เรกิจะเยียวยาทั้งในระดับจิตวิญญาณ อารมณ์ สติปัญญา และร่างกาย โดยแปรเปลี่ยนแบบแผนชีวิตที่ถูกปิดกั้นหรือเป็นเชิงลบ ให้กลายเป็นพลังเชิงบวกที่ไหลเวียนอย่างไม่มีการปิดกั้น โปรดจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพลังงาน สสารเป็นพลังงาน ไฟเป็นพลังงาน อะตอมและวัตถุเป็นพลังงาน ความคิดในแง่ดีและไม่ดีเป็นพลังงาน ความรักและความเกลียดชังเป็นพลังงานร่างกายของมนุษย์ก็เป็นพลังงาน แต่เป็นพลังงานที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่ตํ่าในขณะที่จิตสำนึกและจิตวิญญาณ (ของมนุษย์) สั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงขึ้น ดังนั้น ความแตกต่างของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งมวลจึงอยู่ที่ระดับความถี่ของการสั่นสะเทือนนั่นเอง การที่มีคนบางคนชอบพูดว่า บางมิตินั้นไม่มีอยู่จริง เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นเรื่องเดียวกับการบอกว่าความถี่เกิน ๒๐,๐๐๐ เฮิรตซ์นั้นไม่มีหรอก ก็เพราะเราไม่สามารถได้ยินมันได้ตรงจุดนี้เองจึงทำให้ผมนึกถึงความข้อหนึ่งขึ้นมาทันทีที่ว่า บางทีหากมนุษย์เราอาศัยความฉลาดอยู่เพียงแค่ระดับสติปัญญาเท่านั้นล่ะก็ เราอาจจะไม่สามารถเรียนรู้จักรวาลอันยิ่งใหญ่และแท้จริงนี้ได้ ทั้งยังอาจจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เรารู้จัก เข้าใจ และหยั่งถึงจักรวาล

แม้ความคิดจะส่งผลต่อสสาร เหมือนดังที่จิตใจส่งผลต่อร่างกาย แต่ก็ใช่ว่าอวัยวะรับสัมผัสทางกายทั้ง ๕ ของเรานั้นจะสามารถรับรูพ้ ลังคลื่นความถี่สูงของจิตและจิตวิญญาณได้เองโดยตรง แต่มันมีกระบวนการทำงานอื่นที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกันเข้ามาแทน นั่นคือผลจากการทำงานของจิตจะแสดงออกมาให้เราเห็นผ่านสภาวะทางกายภาพต่างๆ ของเรา เช่น ความเจ็บป่วยหลายๆ อย่าง อาทิ ปวดหัว หรือโรคกระเพาะ เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อเรื่องของอารมณ์ พลังทางอารมณ์ ในทำนองเดียวกัน การยิ้มหรือหัวเราะก็เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อพลังงานของอารมณ์ด้านบวก เมื่อคุณเข้าใจตัวเองเชน่ ที่วา่ มานี้ได ้ การที่คุณจะเขา้ ใจวา่ เรกิสามารถกระตุนให็ร้า่งกายของคุณสรา้งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เรกิเป็นพลังแห่งความกรุณา คล้ายกับพลังทางด้านบวกที่เกิดจากการทำสมาธิ ความรัก หรือการภาวนา พลังเหล่านี้เป็นพลังที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงและจะเข้าไปเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ มีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนรอบศูนย์การปฏิบัติธรรมมีอัตราการเกิดอาชญากรรมตํ่ากว่าชุมชนในบริเวณอื่นๆ ดังนั้นผมพอจะสรุปได้ไหมครับว่า ผลของพลังทางบวกนั้นสามารถแผ่ขยายออกไปได้จากตัวเรา ไปสู่ชุมชน และสู่...มวลมนุษยชาติทั้งปวงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผมพบว่าลูกศิษย์คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาหาผม ที่เป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะบ้าง ปวดหลังหรือปวดหัวบ้างเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว หลังจากที่ได้รับการบำบัดด้วยเรกิเพียงครั้งเดียว เราตา่งไดต้ ระหนักรูแ้ ละเรียนรูร้ ว่ มกันวา่ อาการเหลา่ นี้สว่ นมากเปน็ ผลมาจากการเก็บกดอารมณ์ด้านลบของตัวเองเอาไว้ เช่น ความกลัว ความโกรธ หรือความรู้สึกผิดเอาไว้ในจิตใต้สำนึก พลังด้านลบถูกขังไว้ในอวัยวะย่อยอาหาร ติดอยู่ในกล้ามเนื้อ หรือไม่ก็ฝังแน่นอยู่ในสมอง ซึ่งทั้งหมดนี้ขัดขวางการไหลเวียนของพลังตามธรรมชาติ เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยทางกาย คนมักหันไปใช้ยาเคมีเพื่อบรรเทาอาการ แต่เมื่อเราตระหนักแล้วว่าสาเหตุของอาการปวดหัว หรือโรคกระเพาะอยูที่จิตหรืออารมณ ฉะนั้นยาทั้งหลายในโลกยอ่ มไมอ่ าจรักษาได้ยาอาจจะบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว โดยไปปิดทับหรือกดอาการไว้ แต่น้อยเหลือเกินที่จะรักษาไปถึงต้นเหตุของโรคได้ แล้วทำไมสังคมสมัยใหม่จึงลดทอนความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ให้เหลือเพียงสมการทางเคมี ทำไมเราจึงไม่มองตัวเราอย่างเป็นองค์รวม และจัดการปัญหาทางสุขภาพของเราอย่างเป็นองค์รวมทั้งหมด นี่เองครับ คือสิ่งที่เรกิและวิธีการรักษาอย่างเป็นองค์รวมอื่นๆ ทั้งหลายมุ่งกระทำ แต่ก็มีสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่นะครับ นั่นคือแม้วิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมจะมองโลกด้วยการใช้เหตุและผล แต่นั่นก็เพราะมันเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะมันคือธรรมชาติที่เป็นจริง! และอีกประเด็นก็คือ ทั้งเรกิและวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมนั้น แม้จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือต้องใช้การสังเกต แต่ก็เป็นการสังเกตในสิ่งที่ต่างกัน กล่าวคือ เมื่อนักเคมีทำการทดลอง สิ่งที่เขาสังเกตคือปฏิกิริยาทางเคมี แต่ในทางกลับกัน เมื่อนักบำบัดเรกิทำการเยียวยารักษา เขาจะสังเกตดูผลที่เกิดขึ้นจากพลัง แล้วอะไรเล่าจะคือสิ่งที่เป็นจริง บางทีอาจไม่มีอะไรที่เป็นจริงเลยก็ได้ครับจนกว่าคุณจะได้ลองสัมผัสและมีประสบการณ์ตรงด้วยตัวของคุณเอง ซึ่งจะว่าไปความเข้าใจแบบนี้แทบจะเป็นไปในทำนองเดียวกันกับแนวคิดเรื่องความจริงหลากหลายของโพสต์โมเดิร์นและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ที่เรียกว่าควอนตัมฟิสิกส์นักบำบัดเรกิต้องเปิดจิตและใจเพื่อเป็นช่องพลัง (channel) ให้กับพลังแหง่ การเยียวยารักษา ดว้ ยการวางมือบนผูรั้บ แลว้ เรกิก็จะถูกสง่ ผา่ นทางจิตสำนึก เพื่อชำระล้างหรือแปรเปลี่ยนพลังที่ไม่ดีหรือพลังที่ถูกปิดกั้น อันเป็นพลังที่เป็นสาเหตุของความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย เรกิสามารถช่วยให้เราเพิ่มความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจักรวาล สร้างสัมผัสอันเบาสบาย สว่าง และเปี่ยมด้วยความกรุณา เหมือนดังที่จีนากล่าวไว้เมื่อเธอได้รับเรกิครั้งแรกว่าฉันรู้สึกเหมือนฉันเป็นจิตวิญญาณ ซึ่งผมก็บอกเธอกลับอย่างอ่อนโยนว่าแน่นอนที่สุด เธอเป็นจิตวิญญาณ ผลจากการทำเรกิคราวนั้น ทำให้จีน่ามั่นใจมากๆ ว่ามนุษย์นั้นมีธาตุแท้เป็นจิตวิญญาณ ทั้งนี้เพราะประสบการณ์ของความสงบและเบาสบายของเธอนั้นชัดเจนมาก

ฉันไม่เชื่อในเรกิ! ไม่เป็นไรครับ เพราะหลาย ๆ คนก็ไม่เชื่อเรกิ! แต่มันทั้งน่าแปลกใจและก็น่าสนใจตรงที่เจ้า “ความไม่เชื่อ” นี้ทำไมมันถึงเป็นความเชื่อที่หนักแน่นมากๆ ทั้งๆ ที่พวกเราส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะ “เชื่อ” ในพลังไฟฟ้าแม่เหล็ก หรือแรงโน้มถ่วงได้โดยไม่ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งด้วยซํ้าว่าพลังเหล่านี้ทำงานอย่างไร ใครจะรู้ว่าเอาเข้าจริงมันอาจจะเป็นเพียงแค่ทฤษฎีก็ได้ หรือไม่มันก็อาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนก็คือคอมพิวเตอร์ทำงานได้เมื่อเราเปิดสวิตช์ และถ้วยกาแฟก็ไม่ลอยล่องไปในอากาศ คุณเคยเจอคนที่ไม่ยอมเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์เพราะเขาไม่เชื่อในกฎข้อสองของเทอร์โมไดนามิกหรือไม่ ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่าเรกิก็เหมือนกันว่าความเข้าใจนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อน้อยมาก เมื่อพลังเรกิทำงานได้มันก็เท่านั้น เหมือนกับที่รงดึงดูดดูดแก้วกาแฟของผมเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าผมจะเห็นด้วยกับนิวตันหรือไม่ก็ตามแล้วไหนจะยังเรื่องเกี่ยวกับการวัดพลังเรกิอีก ผมว่าบางทีนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์แบบดั้งเดิมอาจจะพูดออกมาจากใจจริงๆ ก็ว่าได้ ว่าพวกเขาไม่สามารถวัดเรกิได้ แต่แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเดียวกับการพูดว่าเรกิไมมี่อยูจ่ ริง เพราะหากนักวิทยาศาสตรค์ นไหนกลา้ พูดวา่ เรกิไมมี่อยูจ่ ริง นี่ไมใ่ช่อะไรอื่นเลย นอกจากมันคือเกมปิดตาของคนหัวรั้นก็เท่านั้น ที่ปฏิเสธทุกอย่างที่วัดไม่ได้ และนอกจากนั้น ผมถามหน่อยเถอะว่าใครให้อำนาจนักวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมทั้งหลายให้เป็นผู้กำหนดธรรมชาติและขอบเขตของชีวิตของเราแตเ่ รกิก็ยังดูไกลเกินเอื้อมอยูดี่ มันซับซอ้ นและยากมากอยา่ งนั้นเลยหรือ ไม่จริงหรอก ถ้าคุณคุยกับใครสักคนที่รู้จักเรกิ การที่คุณจะได้สัมผัสหรือมีประสบการณ์กับเรกิก็อยู่แค่ปลายเอื้อมแล้ว ส่วนคำถามที่เหลือก็มีอยู่แค่ว่า แล้วคุณจะยื่นมือออกไปรับประสบการณ์นั้นหรือไม่ เรกิมีไว้เพื่อให้คุณได้สัมผัสและผ่านประสบการณ์ แล้วความเข้าใจจะตามมาเองหลังจากนั้น แม้คุณจะอ่านเรกิมากี่ปี ทำการค้นคว้ามากมายเกี่ยวกับเรกิ แต่นี่ไม่ใช่การรับประกันว่าคุณจะสามารถเข้าถึงเรกิได้อย่างซาบซึ้ง ทั้งคุณยังอาจไม่รู้ว่าพลังนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณได้อย่างไร คุณอาจไม่สามารถหยั่งรู้ไปถึงภายในได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพลังงาน การจะอธิบายเรกิก็คล้ายกับการที่เราพยายามจะอธิบายพระเจ้า คุณอาจคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพระเจ้าได้ทั้งวันและไม่เคยคิดแม้แต่จะเขา้ ใกลค้ วามรูโ้ ดยใชป้ ระสบการณต์ รง จนกระทั่งเมื่อไรก็ตามที่คุณมีโอกาสได้นั่งนิ่งๆ เงียบ ๆ ในสมาธิหรือในการภาวนา เมื่อนั้นคุณอาจจะได้สัมผัสกับองค์พระเจ้าจากภายในของคุณเอง นี่จึงไม่ใช่การเข้าถึงทางวิชาการหรือทางการใช้ความคิด พูดง่ายๆ ก็คือ พระเจ้าไม่ใช่หัวข้อทางวิชาการหรือการแสวงหาทางความคิด แม้ว่าตลอดเวลาจะมีคนเดินอยู่บนเส้นทางนั้นก็ตามดังนั้นในทำนองเดียวกันเราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงเรกิผ่านทางญาณทัศนะ

มากกว่าทางตรรกะเหตุผล และถึงแม้มันจะใช้เวลานานหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะกว่าที่เราจะเห็นความจำกัดเป็นอย่างยิ่งของความคิดแบบตรรกะเหตุผลที่เรายึดถือมาเป็นเวลานานนั้น มันต้องใช้เวลานานเพียงแต่ขอให้เริ่มแรกคุณค่อยๆ ปล่อยวางความเชื่อ (แบบตรรกะเหตุผล) ของคุณก่อนก็เท่านั้นเหมือนดังที่เพื่อนผมคนหนึ่งเขียนอีเมลมาว่า สวัสดีธอม ยินดีที่ได้ข่าวจากคุณขอบคุณสำหรับข้อมูลเรื่องคอร์สเรกิ... แต่ผมอยากจะแน่ใจในประสิทธิภาพของเรกิมากกว่านี้....คุณช่วยแสดงให้ผมดูได้ไหม ผมเขียนตอบกลับไปว่า ผมยินดีที่จะทำเรกิให้กับคุณ แต่อย่างแรกที่ผมอยากจะถามคุณก็คือคุณเปิดใจให้กับกระบวนการแบบนี้แค่ไหน ถามตัวเองดูนะครับและประมาณดูว่า เอ ฉันอยากจะเชื่อหรือยอมรับเรื่องนี้เพียงใด แน่นอนว่าความเชื่อเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับที่ “นักค้นความจริง” ใช้กัน เพราะพวกเขามักจะลดทอนผลของสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ให้เหลือเป็นเพียงแค่ผลของอุปาทาน (placebo effects) เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การปฏิเสธที่จะเชื่อนั้น เป็นตัวสนับสนุนหรือเร่งให้คนคนนั้นจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ดั้งนั้น มันก็จะไปยืนยันความสงสัยของเขามากขึ้น และสิ่งนี้เองที่คนมักหลงใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่มีอยู่จริง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเปิดใจ หรือวางสิ่งใดๆ ที่ปิดกั้นเราลง เมื่อนั้นก็คือการที่เรายินยอมให้จิตวิญญาณได้เริ่มเผยแสดงตัวแก่เราดั้งนั้น ถ้าคนคนหนึ่งเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียง ๒๐ % ผลก็คือเขาจะรับพลังได้ประมาณ ๒๐ % และก็อาจจะพลอยสรุปไปด้วยว่าพลังหรือจิตวิญญาณนั้นมีประสิทธิภาพแค่ ๒๐ % และผมพบว่าเหตุผลที่คนปฏิเสธที่จะเชื่อ หรือ ปิด ไม่ยอมรับพลังนั้นก็มีหลากหลาย เช่น ถ้าคนคนหนึ่งมีเรื่องบาดหมางกับประเทศตน แล้วเรกิทำให้เรื่องนี้กลับขึ้นมาในใจเขาอีก ผ่านทางญาณทัศนะของผู้บำบัด จิตใต้สำนึกหรือจิตใจก็จะปิดทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ยอมรับพลังหรือไม่ก็ทำให้เกิดการปิดกั้นการไหลของพลัง เพื่อปิดกั้นข้อมูลที่ได้จากญาณทัศนะ การทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาได้มีโอกาสโผล่กลับขึ้นมาอีกครั้งได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะมันอาจจะน่ากลัวเกินไปสำหรับคนไข้ ณ ช่วงเวลานั้นๆ และหรือเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะเยียวยาปัญหาลึกๆ นั้นก็ได้ผมเขียนอีเมลนี้เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว และเป็นดังคาด เพื่อนผมก็ยังไม่รับข้อเสนอที่ผมจะทำเรกิให้กับเขา

ผมคาดว่าตัวอย่างที่ผมเขียนในจดหมายอาจจะใกล้ตัวเขาเกินไป หรือไม่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะมีประสบการณ์กับเรกิ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อ แต่เพราะในจิตใต้สำนึกของเขาอาจจะกลัวก็ได้ว่ามันจะเป็นจริง และกลัวว่ามันอาจจะนำพาความเจ็บปวดที่เขาซุกซ่อนไว้ให้ไกลตัวที่สุดในหัวใจของเขา จะกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง