antiaging

วันที่โพสต์: Sep 27, 2015 10:14:22 AM

7 สุดยอด Vitamin อาหารเสริม เพื่อผิวสวยใส 

หาก ในแต่ละวันเราไม่สามารถกินผักผลไม้ ได้ครบ 5-8 จานย่อมๆ (ต้อง 7 สีด้วยนะ) แล้วจะทำยังงัย เราถึงจะได้รับวิตามินครบ เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวสวยใส วันนี้มีทางลัดมาแนะนำค่ะ 

วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซี หรือ แอสคอบิกแอซิด (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินที่ได้รับการยกย่องจาก Dr.Nicholas Perricone แพทย์ผิวหนังและ Anti-Aging ชื่อดังจากนิวยอร์ก ว่าเป็นวิตามินระดับซูเปอร์สตาร์ เป็นวิตามินที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระตัวแรกๆ ที่ถูกค้นพบและศึกษากันอย่างกว้างขวาง

จาก การทดลอง พบว่า วิตามินซี(Vitamin C) น่าจะยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ และมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจน จึงอาจช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยและการเสื่อมสภาพของผิวได้

นอกจาก ในเรื่องของผิวแล้ว วิตามินซีอาจช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดอาการโรคภูมิแพ้ ป้องกันโรคที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระเช่น โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง 

การ รับประทานวิตามินซี(Vitamin C) นั้น ในทาง Anti-Aging แนะนำให้ทานได้ถึง 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (รวมกับปริมาณที่ได้รับจากการทานอาหารด้วย) โดยแบ่งรับประทานครั้งละไม่เกิน 500 มก. เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ โอกาสที่วิตามินซีจะมากเกินไปและสะสมอยู่ในร่างกายนั้นมีน้อย เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ จึงถูกขับออกทางปัสสาวะได้โดยง่าย

วิตามินอี (Vitamin E)

เมื่อ พูดถึง วิตามินซีแล้ว ก็ต้องตามมาด้วยวิตามินอี เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของวิตามินซี วิตามินอีเป็นอีกหนึ่งในกองทัพต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพ แต่ข้อแตกต่างที่สำคัญจากวิตามินซีคือ วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แต่ไม่ละลายในน้ำ ดังนั้นในบางบริเวณของร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเป็นไขมัน จะต้องอาศัยวิตามินที่ละลายในไขมันได้ เข้าไปจัดการกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น เรียกง่ายๆ ว่า วิตามินซีกับวิตามินอีนั้น มีการแบ่งโซนการดูแลจัดการอนุมูลอิสระกันนั่นเอง 

วิตามิน อี (Vitamin E) มีความสามารถในการช่วยปกป้องคุ้มครองคอลลาเจน ให้รอดพ้นจากการทำลายของอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับวิตามินซี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังเซลล์ ไม่ให้ถูกทำลายโดยง่าย

มี หลายการศึกษาที่แนะนำว่า วิตามินอีอาจมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตในสมองตีบ อัลไซเมอร์ และมะเร็งต่างๆ 

การ เลือกรับประทานวิตามินอีแบบอัดเม็ด เพื่อเสริมอาหารนั้น ควรเลือกแบบที่เลียนแบบวิตามินอีในธรรมชาติได้ดีที่สุด คือ ประกอบไปด้วย แอลฟาโทโคฟีรอล แกมมาโทโคฟีรอล และโทโคไทรอีนอล หากรับประทานเพียงตัวใดตัวหนึ่ง อาจไม่ได้รับประโยชน์จากการทานเลย

ปริมาณวิตามินอี (Vitamin E) ที่แนะนำอยู่ที่ 200-400 IU

โคเอนไซม์คิวเท็น

โค เอนไซม์คิวเท็น หรือ Q10 คือสารที่ช่วยเอนไซม์ทำงาน ช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายเราเป็นไปโดยปกติ โคเอนไซม์คิวเท็นพบมากในอวัยวะที่ใช้พลังงานมาก เช่น เซลล์หัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อ และเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตสเปริ์ม นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า Q10 น่าจะมีส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ต่างๆ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญ 

จริงๆ แล้ว ร่างกายของคนเราทุกคนมี Q10 อยู่ในเซลล์ต่างๆ ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ด้วยผลแห่งสังขาร เมื่อเราอายุมากขึ้น พบว่าระดับ Q10 ในเซลล์ต่างๆ ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ และการรับประทานยาบางกลุ่ม เช่น ยาลดไขมันในกลุ่มสเตติน ก็จะทำให้ระดับของ Q10 ในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว 

มีการศึกษาในกลุ่มคนไข้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อได้ทาน Q10 เสริม พบว่าการทำงานของหัวใจดีขึ้น

ใน ส่วนของผิวหนังพบว่า เมื่อถูกแสงยูวีเอ UV A ทำลาย เกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้น Q10 เปรียบเสมือนทหารเดนตายด่านแรก ที่เข้าช่วยปกป้องผิวให้รอดพ้นจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

ปริมาณ โคเอนไซม์คิวเท็น Q10 ที่แนะนำ อยู่ที่ 30-100 มิลลิกรัมต่อวัน 

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านก่อนที่จะไปซื้อหามารับประทานเอง 

แอลฟาไลโพอิกแอซิด

แอลฟา ไลโพอิกแอซิด หรือ ALA นั้น เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติพิเศษในการรีไซเคิล วิตามินซี อี โคเอนไซม์คิวเท็น และกลูทาไทโอน ที่ถูกใช้ไปแล้ว ให้ร่างกายนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก หรืออีกนัยหนึ่งคือ เพิ่มระดับของวิตามินตัวอื่นๆ ในร่างกายเรานั่นเอง

ALA ยังมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่ง คือ สามารถทำงานต้านอนุมูลอิสระได้ ทั้งในบริเวณที่เป็นไขมันเช่น เยื่อหุ้มเซลล์ หรือบริเวณที่เป็นน้ำเช่น ในเซลล์ เปรียบได้กับทหารในรถสะเทินน้ำสะเทินบก ที่บุกตะลุยสู้ข้าศึกได้ทุกที่ 

ใน ยุโรป นอกจาก ALA จะเป็นที่นิยมนำมารับประทาน เพื่อส่งเสริมสุขภาพในคนทั่วไปแล้ว ยังเป็นที่นิยมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า ALA อาจช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในคนไข้โรคเบาหวาน เช่น ภาวะปลายประสาทชาได้ 

ปริมาณ แอลฟาไลโพอิกแอซิด ALA ที่แนะนำสำหรับการทานเพื่อส่งเสริมสุขภาพทั่วไปอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม 

และสำหรับการทานเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน 100-200 มิลลิกรัม

สารสกัดจากองุ่น

องุ่น ประกอบด้วยสารสำคัญที่ควรรู้จักสองอย่าง คือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งพบมากในส่วนผิวขององุ่น และ OPC (Oligomeric proanthocyanidin, Proanthocyanidin, Pycnogenol) ซึ่งพบมากในส่วนเมล็ด

นัก วิจัยจากฮาร์เวิร์ดได้พยายามนำสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่างๆ มาทดลองในเซลล์เชื้อราและตัวหนอน เพื่อหาสารที่สามารถยืดอายุขัยของเซลล์ได้ ผลการทดลองพบว่า สารที่สามารถยืดอายุขัยของเซลล์ หรือสารที่มีแนวโน้มจะเป็นยาอายุวัฒนะได้คือ เรสเวอราทรอล และยังพบอีกว่า เรสเวอราทรอลทำงานโดยไปกระตุ้นยีน Sir 2 ซึ่งเป็นยีนที่มีบทบาทสำคัญในการยืดอายุเซลล์

ต่อมานักวิจัยทีมเดิมได้นำเรสเวอราทรอลมาทดลองกับเซลล์ของมนุษย์ และพบว่าสามารถยืดอายุเซลล์ของมนุษย์ ได้เช่นเดียวกัน

นอกจาก นี้ เรสเวอราทรอลยังมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ โดยมีคุณสมบัติยับยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด และลดไขมันตัวไม่ดี (LDL) และยังอาจช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย

สำหรับ OPC ก็มีคุณสมบัติไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มีการศึกษาพบว่า การรับประทาน OPC เปรียบเสมือนมีสารกันแดดจากภายใน เนื่องจาก OPC ช่วยลดการถูกทำลายโดยแสงยูวีของเซลล์ผิวหนังลงได้ถึง 15% และยังช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนได้อีกด้วย

โอเมกา 3 

เม็ด สีเหลืองอร่ามราวบุษราคัม ภายในเม็ดสีเหลืองนั้นประกอบด้วย น้ำมันเข้มข้นสกัดจากปลาทะเลน้ำลึกย่านอลาสกา หรือ Fish oil นั่นเอง น้ำมันจากปลาอุดมไปด้วยไขมันที่มีประโยชน์กับร่างกายที่มีชื่อว่า โอเมกา 3 (Omega 3) 

โอเมกา 3 มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็น Natural COX 2 inhibitor ชั้นยอด หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นสารที่สามารถไปยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบ (Inflammation) ต่างๆ ในร่างกาย เปรียบได้กับ น้ำยาดับเพลิงที่ช่วยยับยั้งการเผาผลาญของเปลวไฟที่ลุกลามอยู่ภายในร่างกาย ของเรา 

มี การศึกษาถึงประโยชน์ของโอเมกา 3 อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ของการลดระดับไขมันตัวไม่ดี(LDL) ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง อัลไซเมอร์ ข้ออักเสบ รูมาทอยด์ SLE สะเก็ดเงิน ผื่นแพ้ 

สำหรับปริมาณโอเมกา 3 (Omega 3) ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันจะอยู่ที่ 1-2 กรัม

แคลเซียม Calcium

ยา บำรุงกระดูกขนานแท้ ประกอบไปด้วย แคลเซียม วิตามินดี แมกนีเซียม สตรอนเซียม สังกะสี และโบรอน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน

การ รับประทานแคลเซียมเพื่อป้องกันการเกิดกระดูกพรุน ควรเริ่มกันตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะความแข็งแรงของกระดูกจะค่อยๆ ดิ่งลงเหวตั้งแต่เลขหลักสามเป็นต้นไป

การ เลือกซื้อแคลเซียม มารับประทานเสริม ควรเลือกเป็น “แคลเซียมซิเทรต” (Calcium citrate) ซึ่งเป็นปฟอร์มที่ร่างกายดูดซึมได้ดี และไม่ก่อให้เกิดนิ่วในไต ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำโดยทั่วไปอยู่ที่ 1,000 มิลลิกรัม และ 1,500 มิลลิกรัม สำหรับหญิงวัยทอง

Vitamin อาหารเสริม ทั้ง 7 เพื่อสุขภาพและผิวสวยใส

วิตามินซี : ยับยั้งการสร้างเม็ดสี จัดการอนุมูลอิสระพื้นที่ในเซลล์

วิตามินอี : เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด จัดการอนุมูลอิสระพื้นที่นอกเซลล์

Q 10 : เกราะต้านยูวี จัดการอนุมูลอิสระพื้นที่ในเซลล์

ALA : รีไซเคิล วิตามินซี อี Q10 กลับมาใช้อีก จัดการอนุมูลอิสระทั้งพื้นที่ในเซลล์และนอกเซลล์

สารสกัดจากองุ่น : ยืดอายุเซลล์

โอเมกา 3 : ต่อต้านการอักเสบ

แคลเซียม : เสริมสร้างกระดูกและฟัน

คำเตือน

วิตามินและอาหารเสริมทุกชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายจริง แต่ต้องใช้เวลาและความอดทนในการรับประทาน ไม่มีวิตามินใดเห็นผลได้ในชั่วข้ามคืน

และควรทานอาหารหลากหลาย ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่พอเหมาะเป็นประจำ ด้วยนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง :

7 สุดยอด Vitamin อาหารเสริม เพื่อผิวสวยใส (ตอนแรก)

การอักเสบ ฆาตกรเงียบตัวที่สอง

ขอขอบคุณและรวบรวมข้อมูลจาก

- หนังสือ Anti-Aging สูตรลับชะลอวัย โดย แพทย์หญิงธิดากานต์ รัตนบรรณางกูร