วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นเสี่ยงทายหาคนที่เป็นอ้ายโม่ง เมื่อตกลงแล้วให้อ้ายโม่งปิดตา แล้วนำผ้าขาวม้ามาขวดให้อ้ายโม่งถือไว้ ผู้เล่นทุกคนรวมทั้งอ้ายโม่งอยู่ในวงกลม
ความเป็นมา
อ้ายโม่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่นิยมเล่นกันในจังหวัดนครศรีธรรมราชสมัยก่อน มีการเลียนแบบขโมยที่ชอบขึ้นบ้านคนอื่นในเวลากลางคืน มืดๆ แล้วถูกเจ้าของบ้านไล่ท่ามกลางความมืด ต่อมาชาวบ้านนำมาเล่นเป็นเกมปิดตาตีกัน เรียกว่า อ้ายโม่ง เป็นการเล่นสนุกสนานของชาวบ้านในงานรื่นเริงต่างๆ เล่นกันมากในหมู่เด็กๆ ทั้งหญิงและชาย เพื่อเป็นการออกกำลังกายและเสริมสร้างความสามัคคี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด พบว่ามีการเล่นมาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๗ (ขุนวิทยวุฒิ, ๒๔๖๗ : ๙๖) แล้ว พบว่ามีการเล่นอย่างแพร่หลายแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๐ (กรมพงศึกษา, ๒๔๘๐ : ๑๒๕๓) และเล่นสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
โอกาสที่เล่น
เล่นในเวลาว่าง นิยมเล่นในงานเทศกาลรื่นเริงต่างๆ
ผู้เล่น
เล่นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่เด็กๆ นิยมเล่นมากกว่าผู้ใหญ่ จำนวนผู้เล่นตั้งแต่ ๔ – ๕ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
๑. ผ้าสำหรับปิดตา ๑ ผืน
๒. ผ้าขาวม้าสำหรับใช้ตี ๑ ผืน
สถานที่เล่น
บริเวณลานบ้าน ลานวัด หรือสนามหญ้าโรงเรียน โดยเขียนเส้นเป็นรูปวงกลมให้มีขนาดพอเหมาะที่ผู้เล่นทั้งหมดจะเคลื่อนไหวภายในวงกลมได้สะดวก
๒. ผู้เล่นต้องช่วยกันล้อเลียนอ้ายโม่ง อ้ายโม่งต้องพยายามใช้การสังเกตจากเสียงเลียนและใช้ผ้าขาวม้าไล่ตีผู้เล่นคนอื่น ถ้าอ้ายโม่งจะออกนอกวง ผู้เล่นคนอื่นต้องร้องบอกไม่ให้อ้ายโม่งออกนอกวง
๓. ถ้าอ้ายโม่งตีถูกผู้เล่นคนใด ผู้ที่ถูกตีจะต้องเป็นอ้ายโม่งแทน
๔. ผู้เล่นคนใดเป็นอ้ายโม่งมากที่สุด จะถือว่าแพ้
กติกา
๑. ผู้เล่นจะหนีออกนอกวงไม่ได้ ผู้ใดเหยียบหรือออกนอกวงต้องเป็นอ้ายโม่งแทน
บรรณานุกรม
จรัล หอมเทียนทอง,อดิษฐาสุทธิแสง. การละเล่นพื้นบ้านไทย 4 ภาค ฐาปนี. 2537
สุทธิวงศ์ พงษ์ไพบูรย์. คติชาวบ้านปักษ์ใต้. กรุเทพ สำนักพิมพ์ก้าวหน้า. 2512
โอม รัชเวทย์. การละเล่นเด็กไทย.พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์แสงแดด. 2550