เรื่องที่ 007 พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดน้ำเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น

วันที่โพสต์: 26 ก.ย. 2011, 14:17:09

พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว

บุพกรรมของพระติสสะ

"...ในสมัยพระพุทธกัสสป ท่านติสสะ เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำ คือยิงนกมาแล้วก็แกงขายบ้าง ขายเป็นบ้าง ขายตายบ้าง ถ้าวันไหนได้นกมามาก ขายวันนั้นไม่หมดก็หักแข้งหักขา หักกระดูกปีก แรกงว่านกจะบินหนีไป เอาไว้ขายสด ๆ ในวันพรุ่งนี้ ท่านทำอย่างนี้มาตลอดกาล คำว่าบุญกุศลไม่เคยทำเลย ต่อมาวันหนึ่งก่อนที่ท่านจะไปหานกในตอนเช้า วันนั้นบังเอิญพระอรหันต์มาบิณฑบาตองค์เดียว ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ ก็คิดในใจว่าในชีวิตของเราทั้งชีวิตขึ้นชื่อว่าการทำความดีที่จะทำบุญกุศลไม่เคยมีในเรา เรามีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกวัน วันนี้ขอทำบุญตอนเช้า เมื่อเห็นพระเดินมาก็ออกไปรับบาตรกล่าวคำนิมนต์ แล้วก็นำพระเข้าบ้าน สั่งแม่บ้านแกงนกที่มีอยู่ให้แกงอย่างดีที่สุด เมื่อแกงเสร็จก็จำมาใส่บาตรพระ พระท่านก็ให้พรแล้วท่านก็กลับ หลังจากนั้นมาท่านก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดมา

เป็นอันว่าในชีวิตของท่านทำบุญครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการบังเอิญทำบุญกับพระอรหันต์ซึ่งมีอานิสงค์มาก แต่ไม่เท่าสังฆทาน ก่อนที่จะตายท่านก็นึกถึงการทำบุญ ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ครั้นหมดบุญวาสนาบารมี ในสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านก็กลับมาเกิดเป็นคน อาศัยที่เคยทำบุญทำกุศลมาแล้วครั้งเดียวในชีวิต คือถวายทานกับพระอรหันต์ จึงไปพบพระพุทธเจ้าเข้ามีความเลื่อมใส ตั้งใจฟังเทศน์ เมื่อฟังเทศน์จบก็มีจิตเลื่อมใสอยากจะบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเห็นวิสัยว่าเขาจะเป็นอรหันต์ได้ จึงอนุญาตให้บวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็เจริญฌานสมาบัติแต่ว่ายังไม่ได้ฌานโลกีย์ ท่านก็เกิดอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นในร่างกาย ตามตัวมีการพุพองเม็ดเล็ก ๆ ตลอดทั้งตัว ต่อไปการพุพองเม็ดเล็ก ๆ ก็โตขึ้น ๆ จนกระทั่งเท่าผลส้ม ในที่สุดก็แตกมีน้ำเหลืองรอบตัว กระดูกต่าง ๆ ในร่างกายก็หัก มีทุกขเวทนามาก พระที่พยาบาลอยู่เห็นเข้าก็ทนไม่ไหวจึงทิ้ง เพราะท่านขยับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตายกันแน่แล้ว

คืนวันนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ว่า วันพรุ่งนี้จะมีใครได้บรรลุมรรคผลบ้าง ก็ทรงทราบว่าพระติสสะเวลานี้ป่วยหนักและการตายของเธอจะเข้ามาถึงในวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไปสงเคราะห์เธอ เธอจะได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพาน ฉะนั้นในตอนเช้าพอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกจากพระมหาวิหารเดินเรื่อย ๆ ไปไม่บอกใคร เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเห็นพระพุทธเจ้าเดินก็เดินตาม

พอไปถึงกุฏิของ พระติสสะ พระองค์ก็แวะเข้าไปเห็นน้ำเหลืองไหลเกรอะเปื้อนผ้า ก็ทรงเปลื้องผ้าทั้งหมดเอาไปจะต้มน้ำร้อน พระทั้งหลายก็รับอาสาว่าการต้มให้น้ำเหลืองหมดเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เอาผ้ามาชุบน้ำอุ่น ๆ เช็ดร่างกาย พระติสสะ จนกระทั้งน้ำเหลืองแห้ง ร่างกายก็มีอาหารปลอดโปร่ง ผ้าที่เอาไปต้มนั้นก็แห้งพอดี พระพุทธเจ้าก็สั่งให้นุ่งผ้าให้ พระติสสะ พระก็ห่มให้

แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บอกว่า

"ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ไร้ประโยชน์"

หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันที่และก็นิพพานทันทีในวันนั้น

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงสั่งให้พระสงฆ์ทำฌาปนกิจศพคือเผาศพ แล้วก็ให้ทำสถูป หมายความว่าพูนดินขึ้นมาคล้าย ๆ กับบาตรคว่ำเป็นโคกพูนไว้เอากระดูกไว้ในนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเข้ากราบทูลว่า "เวลานี้พระติสสะตายแล้วไปไหน"

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "พระติสสะ ตายจากความเป็นคนไปนิพพานแล้ว"

พระทั้งหลายจึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "อยากจะทราบว่าพระติสสะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เมื่อไร"

พระองค์ก็ตรัสว่า "พระติสสะ เป็นพระอรหันต์เมื่อเราพูดจบ"

บรรดาพระทั้งหลายก็เลยถามว่า "พระติสสะ ทำบุญอะไรไว้จึงเป็นอรหันต์ง่าย"

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป พระติสสะ ทำแต่บาปอย่างเดียวไม่เคยทำบุญ หมายถึงทำบุญอย่างชาวบ้านธรรมดา ๆ นี้ไม่เคยทำ มีหน้าที่ยิงนกดักนกเอามาขายแก่ชาวบ้าน ถ้าวันไหนนกเหลือมาก ตัวไหนมันใกล้จะตายก็ย่าง นกย่างขายได้ราคาถูกกว่านกเป็น ๆ ถ้านกเป็น ๆ มีมากเกินไปก็เกรงว่านกจะบินหนีก็หักกระดูกแข้งเสียบ้าง หักกระดูกปีกเสียบ้าง ผลอันนี้เป็นปัจจัยให้ท่านติสสะเมื่อบวชเข้ามาแล้ว จึงมีร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว และตุ่มนั้นค่อย ๆ โตมาทีละน้อยจนกระทั่งแตกเป็นน้ำเหลืองเยิ้ม และกระดูกร่างกายที่หักก็เพราะเคยหักกระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกปีกนก เพราะกฎของกรรมอย่างนี้มาสนอง แต่อาศัยที่พระติสสะได้ ทำบุญกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะอานิสงส์นี้เองทำให้พระติสสะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เมื่อตถาคตเทศน์จบ"

เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน

ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะไปเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่าย ๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อสักเล็กน้อยว่า

"นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง"

ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมกันทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศรีษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น..."