วิเคราะห์เสถียรภาพและแนวทางวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์
ยุค Disruptive Technology ในทัศนะนักผลิตสื่อการตลาด
วิเคราะห์เสถียรภาพและแนวทางวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์
ยุค Disruptive Technology ในทัศนะนักผลิตสื่อการตลาด
ธนพล กาญจนโยธิน
นักผลิตสื่อส่งเสริมการตลาด
บ.ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ขณะที่ Digital Technology เข้ามาเติมเต็มความต้องการ สร้างชีวิตที่ง่าย สบายเพียงปลายนิ้ว จนเกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า DisruptiveTechnology ไปทั่วทุกวงการ หันมามองที่วิชาชีพนักผลิตและพัฒนาสื่อทางการแพทย์ เราจะมีแนวทางอย่างไร ให้วิชาชีพยังคงมูลค่าและเสถียรภาพ ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงนี้
ย้อนไปไม่เกินครึ่งชีวิต กล้องฟิล์ม...ไปแล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องโตกับแผ่นดิสท์ 3-4 นิ้ว เมื่อ 20 ปีก่อนหายไปนานแล้ว VDO เทป CD เพลง ที่เคยขายเคยเช่า ถูก Disrupt ไปด้วยช่องทางออนไลน์ที่ให้ดูให้ฟังกันฟรี ๆ ข้าวของเครื่องใช้ชิ้นใหญ่ถูกทำให้เล็กและบาง จนกระทั่งมารวมอยู่ในโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการขยายตัวของประชากรและความต้องการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าสาขาอาชีพใดก็เป็นนักผลิตสื่อได้ด้วย Digital Technology ที่มีให้เรียนรู้ได้ง่าย ๆ คุณภาพงานที่ถูกปรับลด เพื่อสนองความรวดเร็วในการรับรู้
เด็กมัธยมสองวันนี้...ตัดต่อภาพและเสียงได้ สร้างวิดีโอคลิป เขียนโปรแกรม Interactive เสนอผลงาน ออกแบบ Profile ด้วยโปรแกรมกราฟฟิค
ที่เราท่านบางคนไม่ถนัดด้วยซ้ำ ทุกสิ่งอย่างค้นหาผ่านช่องทาง Online เริ่มต้นจากความสนใจและให้เวลาอย่างจริงจังเพียงเล็กน้อยกับมันเท่านั้น
สิ่งที่นักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์หวาดหวั่นกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนอย่างไม่รู้ตัว ทุกสาขาอาชีพก็มีอาการเช่นเดียวกัน แล้วเขาเหล่านั้น
ปฎิวัติตัวเองอย่างไร พอสรุปออกมาให้ทราบได้ประมาณนี้
“ปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่เปลี่ยน...เท่ากับ ตาย”
“ควบรวมหรือรวมกลุ่ม เพื่อสร้างพลังร่วม”
“เสียสละ...เพื่อส่วนรวม”
“คิดใหญ่...แล้วทำให้สำเร็จ”
หากนำแนวคิดและแนวทางเหล่านั้นมาปรับใช้กับกลุ่มวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์
“ปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่เปลี่ยน...เท่ากับ ตาย”
“นอกจากเป็นนักสร้างสรรค์สื่อ ควรมีความเป็นนักการตลาดในตัว” เริ่มจากปรับ Mindset ของตนเอง เพราะนอกจากพัฒนารู้ เข้าใจงานและช่องทางสื่ออย่างรอบด้านแล้ว นักพัฒนาและผลิตสื่อฯ ควรวิเคราะห์ความต้องการ ปรับประยุกต์ รวมถึงการผสมผสานทั้งกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์งานให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในยุค Digital Technology อีกด้วย เช่น วิดีโอสอนการเย็บแผล ความยาวกว่า 15 นาที บรรยายซะก่อน การเย็บมีกี่แบบ สาธิตที่ละแบบ กล่าวสรุปจบ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน คนป่วยคงเลือดไหลหมดร่างพอดี หากปรับเป็นไม่มีการบรรยาย ขึ้นหัวข้อและสาธิตการเย็บแต่ละแบบ ยาวไม่เกินนาที เลือกช่องทางสื่อให้เหมาะกับผู้รับชม การตอบรับยอมมีมากกว่า ผลที่ได้...ก็คงไม่ต่างกัน
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและช่องทางการรับสารเป็นเรื่องลำดับต้นไปแล้วสำหรับการสร้างสรรค์สื่อในปัจจุบัน เพราะช่องทางสื่อแต่ละช่องทางมี
ข้อจำกัดที่ต่างกันซึ่งจะส่งผลตั้งแต่การผลิตและการนำสื่อไปเผยแพร่
นำ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาสร้างศักยภาพในงาน เรียนรู้และพัฒนาสื่อให้เหมาะสมกับช่องทางและกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งที่ต้องให้
ความสำคัญเพราะนั้นหมายร่วมถึงการแสดงตัวตนในผลงานให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง
“ควบรวมหรือรวมกลุ่ม เพื่อสร้างพลังร่วม”
ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ใช่ยุคเลือกเขาเลือกเรานั้น...มิตร นี่...ศัตรู รวมกันเรา...อยู่ แยกหมู่...เราตายต่างหาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ การรวมกลุ่มกันเช่นนี้มีมา
นานแล้ว เรียกว่า “ผู้ร่วมธุรกิจ” ธุรกิจใดแยกย่อยเกินไปก็ควบรวมเสียใหม่ โดยเฉพาะในยุคที่อะไรก็ Digital
เพราะรวมกันวันนี้...ดีกว่าไม่รอดทั้งหมด สำหรับวิชาชีพที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ควรเริ่มต้นตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ สถาบันหรือแหล่งผลิตบุคลากรขยายสู่นักวิชาการ นักวิชาชีพและกลุ่มงานในแวดวงต่าง ๆ ให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง การกระชับพื้นที่ให้มีช่องว่างทางความคิดและทัศนะคติที่แตกต่างให้น้อยที่สุด ทำให้เกิดการกำหนดแนวทาง ช่วยลดและแก้ไขอุปสรรค เพื่อให้วิชาชีพนั้นก้าวต่อไปได้อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกัน ดีกว่าต่างคนต่างจะเฝ้ารอหิมะตกจากฟ้าในหน้าร้อน
“เสียสละ...เพื่อส่วนรวม”
ความรู้ความสามารถที่มีต้องรู้จักแบ่งปัน แบ่งปันต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ แบ่งปันต่อสังคม แล้วไม่ควรลืมที่จะให้เครดิตวิชาชีพที่คุณใช้เป็นบันได
ในวันที่ก้าวสู่ความสำเร็จด้วย การสร้างค่านิยมในความเป็นตัวตนให้สังคมได้รับรู้ เสมือนการสร้างตัวตน ต่อลมหายใจให้วิชาชีพตนเอง เสมือนพลังภายใน ที่คอยพลักดันพลังของบุคลากรให้มุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเกิดขึ้นในทุกองค์กร แม้กระทั่งในระดับรัฐหรือระดับชาติ ชีวิตนั้นสั้นนัก ทำให้โลกมันจำ...อย่างยั่งยืนดีกว่า
การจบลงอย่างไร้ที่ยืนของวิชาชีพหรือบางองค์กรที่ผ่านมา ทั้งที่สั่งสมผู้มีความรู้และศักยภาพไว้มากมาย ก็เพราะแต่ละคนมองไม่พ้นเงาของตนเอง
“คิดใหญ่...แล้วทำให้สำเร็จ”
เป็นธรรมชาติอยู่เองที่มนุษย์เราจะคิดและทำเรื่องง่ายใกล้ตัวก่อน คิดกาลใหญ่...ไม่ง่าย อาจทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย งั้นทำเพียงพออยู่พอตัว...ก็พอ
(อย่าอุปโลกน์ว่าเป็นความพอเพียง ควรเรียกว่าขาดความทะเยอทะยาน) เป็นเช่นนี้...เราจึงอยู่อย่างผู้ถูกลืม ทั้งที่ศักยภาพทางวิชาชีพนี้ควรครอบครองพื้นที่บริการได้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะคงไม่มีหน้าไหนหาญกล้ามาแข่งทั้งด้านความรู้และความสามารถ
เปลี่ยนมาคิดการณ์ใหญ่และกล้าจะก้าวออกจาก Safe Zone ความเหน็ดเหนื่อย บาดแผลแห่งความผิดหวังนั้นจะเป็นประสบการณ์ที่สร้างให้เราท่านแข็งแกร่งและเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง.