เสถียรภาพวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์ในยุค Disruptive Technology ในทัศนะนักผลิตสื่อการตลาด
ธนพล กาญจนโยธิน
นักผลิตสื่อส่งเสริมการตลาด
บ.ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
เสถียรภาพวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์ในยุค Disruptive Technology ในทัศนะนักผลิตสื่อการตลาด
ธนพล กาญจนโยธิน
นักผลิตสื่อส่งเสริมการตลาด
บ.ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ขณะที่ Digital Technology เข้ามาเติมเต็มความต้องการ สร้างชีวิตที่ง่าย สบายเพียงปลายนิ้ว จนเกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า DisruptiveTechnology ไปทั่วทุกวงการ หันมามองที่วิชาชีพนักผลิตและพัฒนาสื่อทางการแพทย์ เราจะมีแนวทางอย่างไร ให้วิชาชีพยังคงมูลค่าและเสถียรภาพ ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงนี้
ย้อนไปไม่เกินครึ่งชีวิต กล้องฟิล์ม...ไปแล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องโตกับแผ่นดิสท์ 3-4 นิ้ว เมื่อ 20 ปีก่อนหายไปนานแล้ว VDO เทป CD เพลง ที่เคยขายเคยเช่า ถูก Disrupt ไปด้วยช่องทางออนไลน์ที่ให้ดูให้ฟังกันฟรี ๆ ข้าวของเครื่องใช้ชิ้นใหญ่ถูกทำให้เล็กและบาง จนกระทั่งมารวมอยู่ในโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการขยายตัวของประชากรและความต้องการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าสาขาอาชีพใดก็เป็นนักผลิตสื่อได้ด้วย Digital Technology ที่มีให้เรียนรู้ได้ง่าย ๆ คุณภาพงานที่ถูกปรับลด เพื่อสนองความรวดเร็วในการรับรู้
เด็กมัธยมสองวันนี้...ตัดต่อภาพและเสียงได้ สร้างวิดีโอคลิป เขียนโปรแกรม Interactive เสนอผลงาน ออกแบบ Profile ด้วยโปรแกรมกราฟฟิค
ที่เราท่านบางคนไม่ถนัดด้วยซ้ำ ทุกสิ่งอย่างค้นหาผ่านช่องทาง Online เริ่มต้นจากความสนใจและให้เวลาอย่างจริงจังเพียงเล็กน้อยกับมันเท่านั้น
สิ่งที่นักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์หวาดหวั่นกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนอย่างไม่รู้ตัว ทุกสาขาอาชีพก็มีอาการเช่นเดียวกัน แล้วเขาเหล่านั้น
ปฎิวัติตัวเองอย่างไร พอสรุปออกมาให้ทราบได้ประมาณนี้
“ปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่เปลี่ยน...เท่ากับ ตาย”
“ควบรวมหรือรวมกลุ่ม เพื่อสร้างพลังร่วม”
“เสียสละ...เพื่อส่วนรวม”
“คิดใหญ่...แล้วทำให้สำเร็จ”
หากนำแนวคิดและแนวทางเหล่านั้นมาปรับใช้กับกลุ่มวิชาชีพนักพัฒนาและผลิตสื่อทางการแพทย์
“ปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่เปลี่ยน...เท่ากับ ตาย”
“นอกจากเป็นนักสร้างสรรค์สื่อ ควรมีความเป็นนักการตลาดในตัว” เริ่มจากปรับ Mindset ของตนเอง เพราะนอกจากพัฒนารู้ เข้าใจงานและช่องทางสื่ออย่างรอบด้านแล้ว นักพัฒนาและผลิตสื่อฯ ควรวิเคราะห์ความต้องการ ปรับประยุกต์ รวมถึงการผสมผสานทั้งกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์งานให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในยุค Digital Technology อีกด้วย เช่น วิดีโอสอนการเย็บแผล ความยาวกว่า 15 นาที บรรยายซะก่อน การเย็บมีกี่แบบ สาธิตที่ละแบบ กล่าวสรุปจบ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน คนป่วยคงเลือดไหลหมดร่างพอดี หากปรับเป็นไม่มีการบรรยาย ขึ้นหัวข้อและสาธิตการเย็บแต่ละแบบ ยาวไม่เกินนาที เลือกช่องทางสื่อให้เหมาะกับผู้รับชม การตอบรับยอมมีมากกว่า ผลที่ได้...ก็คงไม่ต่างกัน
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและช่องทางการรับสารเป็นเรื่องลำดับต้นไปแล้วสำหรับการสร้างสรรค์สื่อในปัจจุบัน เพราะช่องทางสื่อแต่ละช่องทางมี
ข้อจำกัดที่ต่างกันซึ่งจะส่งผลตั้งแต่การผลิตและการนำสื่อไปเผยแพร่
นำ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาสร้างศักยภาพในงาน เรียนรู้และพัฒนาสื่อให้เหมาะสมกับช่องทางและกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งที่ต้องให้
ความสำคัญเพราะนั้นหมายร่วมถึงการแสดงตัวตนในผลงานให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง
“ควบรวมหรือรวมกลุ่ม เพื่อสร้างพลังร่วม”
ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ใช่ยุคเลือกเขาเลือกเรานั้น...มิตร นี่...ศัตรู รวมกันเรา...อยู่ แยกหมู่...เราตายต่างหาก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ การรวมกลุ่มกันเช่นนี้มีมา
นานแล้ว เรียกว่า “ผู้ร่วมธุรกิจ” ธุรกิจใดแยกย่อยเกินไปก็ควบรวมเสียใหม่ โดยเฉพาะในยุคที่อะไรก็ Digital
เพราะรวมกันวันนี้...ดีกว่าไม่รอดทั้งหมด สำหรับวิชาชีพที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ควรเริ่มต้นตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ สถาบันหรือแหล่งผลิตบุคลากรขยายสู่นักวิชาการ นักวิชาชีพและกลุ่มงานในแวดวงต่าง ๆ ให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง การกระชับพื้นที่ให้มีช่องว่างทางความคิดและทัศนะคติที่แตกต่างให้น้อยที่สุด ทำให้เกิดการกำหนดแนวทาง ช่วยลดและแก้ไขอุปสรรค เพื่อให้วิชาชีพนั้นก้าวต่อไปได้อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกัน ดีกว่าต่างคนต่างจะเฝ้ารอหิมะตกจากฟ้าในหน้าร้อน
“เสียสละ...เพื่อส่วนรวม”
ความรู้ความสามารถที่มีต้องรู้จักแบ่งปัน แบ่งปันต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ แบ่งปันต่อสังคม แล้วไม่ควรลืมที่จะให้เครดิตวิชาชีพที่คุณใช้เป็นบันได
ในวันที่ก้าวสู่ความสำเร็จด้วย การสร้างค่านิยมในความเป็นตัวตนให้สังคมได้รับรู้ เสมือนการสร้างตัวตน ต่อลมหายใจให้วิชาชีพตนเอง เสมือนพลังภายใน ที่คอยพลักดันพลังของบุคลากรให้มุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเกิดขึ้นในทุกองค์กร แม้กระทั่งในระดับรัฐหรือระดับชาติ ชีวิตนั้นสั้นนัก ทำให้โลกมันจำ...อย่างยั่งยืนดีกว่า
การจบลงอย่างไร้ที่ยืนของวิชาชีพหรือบางองค์กรที่ผ่านมา ทั้งที่สั่งสมผู้มีความรู้และศักยภาพไว้มากมาย ก็เพราะแต่ละคนมองไม่พ้นเงาของตนเอง
“คิดใหญ่...แล้วทำให้สำเร็จ”
เป็นธรรมชาติอยู่เองที่มนุษย์เราจะคิดและทำเรื่องง่ายใกล้ตัวก่อน คิดกาลใหญ่...ไม่ง่าย อาจทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย งั้นทำเพียงพออยู่พอตัว...ก็พอ
(อย่าอุปโลกน์ว่าเป็นความพอเพียง ควรเรียกว่าขาดความทะเยอทะยาน) เป็นเช่นนี้...เราจึงอยู่อย่างผู้ถูกลืม ทั้งที่ศักยภาพทางวิชาชีพนี้ควรครอบครองพื้นที่บริการได้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะคงไม่มีหน้าไหนหาญกล้ามาแข่งทั้งด้านความรู้และความสามารถ
เปลี่ยนมาคิดการณ์ใหญ่และกล้าจะก้าวออกจาก Safe Zone ความเหน็ดเหนื่อย บาดแผลแห่งความผิดหวังนั้นจะเป็นประสบการณ์ที่สร้างให้เราท่านแข็งแกร่งและเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง.
...ว่าด้วยโครงสร้าง Radio Spot ในทัศนะของข้าพเจ้า
"โครงสร้างมันไม่ต่างอะไรกับการ์ตูนสามช่องในหนังสือขายหัวเราะพ็อกเก็ตบุ๊คนั่นแหละคุณ"
Radio Spot สื่อยอดนิยมใช้ในการสื่อสารอีกตัวที่น่าสนใจ หากย้อนกลับไปสื่อทางวิทยุ ถือว่ามีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรมผู้บริโภคสูงมากกก...สำหรับผู้สนใจใคร่รักใคร่ลอง อยากเขียนสปอตวิทยุ ในทัศนะแล้วโครงสร้างของสื่อประเภทนี้ก็เหมือนกับสื่ออื่น ๆ คุณ คือ มี
- เกริ่นนำ Beginning
- เนื้อหาหรือสิ่งที่ต้องการบอก Story
- และสรุปจบ Ending
แต่เพราะสื่อสปอตวิทยุนั้นมีช่วงเวลาการสื่อสารที่ค่อนข้างสั้น...มากกมาตรฐานคือ 30-45 วินาที ดังนั้น...การเกริ่นนำหรือจั่วหัว จึงควรเรียกความสนใจแก่ผู้ฟังอย่างรวดเร็ว ในข้อมูลหรือเนื้อหาต้องบอกเล่าอย่างกระชับและชัดเจนที่สุด ส่วนการสรุปจบก็ควรจะเน้นย้ำให้เกิดความน่าสนใจและจดจำถึงที่มา เพื่อให้ผู้ฟังได้ติดตาม เช่น "พบกันให้ได้วันนี้ ที่...", "เริ่มแล้ววันนี้...", "อย่าลืม" ฯลฯ
ดังนั้น เราจึงต้องสรรหาภาษาแนวโฆษณามาใช้กันอย่างเต็มที่ แต่หลัง ๆ เราจะได้ยินสื่อประเภทขายของกันมากขึ้น เหมือนแผงขายผักขายปลา มีอะไรก็วางโชว์กันเลย การเปลี่ยนแปลงของสื่อไม่ใช่ใครคุณ...คนจ่ายตังค์เรานั่นเอง ย้อนกลับไปที่โครงสร้างกันหน่อย จริงแล้วโครงสร้างมันไม่ต่างอะไรกับการ์ตูนสามช่องในหนังสือขายหัวเราะพ็อกเก็ตบุ๊คนั่นแหละคุณ เริ่มจากตั้งโจทย์ วิธีแก้ และผลของมัน พ่วงท้ายเพิ่มขึ้นมาด้วยการเน้นให้ผู้ฟังจดจำ
ส่วนปัญหาที่พบบ่อยสำหรับทั้งลูกค้า (หมายถึงเจ้าของสินค้าหรือ Promotion) และนักเขียนมือใหม่ คือ อยากเล่าอยากบอกรายละเอียดไปซะทั้งหมด นักเขียนบางคนก็อยากบรรยายอารมณ์ผู้ฟังรู้กันทุกอณูเนื้อ ซึ่งมันจะกลายเป็นการพรรณาจนน้ำหนักของเนื้อหาที่อยากบอกเบาบางลงไป บ้างไม่กล้าที่จะตัดทอนเนื้อหา (อันนี้เป็นกันเยอะ) เพราะกลัวผู้ฟังไม่เก็ด ไม่เครีย ซึ่งจริง ๆ สปอตวิทยุทำหน้าที่กระตุ้นให้ผู้ฟังรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น และน่าสนใจแค่ไหนเท่านั้น ยิ่งออกอากาศบ่อย ก็ยิ่งเป็นการย้ำให้ผู้ฟังเกิดคล้อยตาม เมื่อคล้อยตามก็มักจะติดตามหรือค้นหาต่อ ลองทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์จริง ๆ ของสื่อ แล้วปั่นไอเดียออกมาภายใต้โครงสร้างที่เล่าให้ฟังคร่าว ๆ เท่านี้
สปอตวิทยุดี ๆ ใครก็เขียนได้คุณ
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pinestudio&month=02-2011&date=10&group=2&gblog=2
การจัดการเรียนการสอนแบบ Simulation base learning : กรณีศึกษาดูงาน
การใช้หุ่นจำลองเสมือนจริงในการเรียนการสอนเป็นกลยุทธ์การเรียนรู้ใหม่และเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทางการแพทย์และการพยาบาล วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์กับผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตที่ดีของนักศึกษาและผู้รับบริการ เพื่อการเรียนการสอนพยาบาล โดยได้นำหุ่นจำลองสำหรับฝึกช่วยชีวิต (Manikin) ช่วยในการควบคุมและเชื่อมโยงกับจอแสดงผลสัญญาณชีพ ในการฝึกปฎิบัติการพยาบาล และสามารถแสดงอาการต่างๆได้เหมือนจริง เช่น เหงื่อไหล น้ำตาไหล มีเลือกออกส่งเสียงร้อง และการเต้นของชีพจร ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์
เทคนิคการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ดังนี้
1. การเตรียมสถานการณ์จำลอง โดยอาจสร้างขึ้นเอง การสร้าง scenario ที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย โดยใช้หุ่นจำลองเสมือนจริง SimMan เริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นสร้างสถานการณ์ผู้ป่วย สถานที่ที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา อาการสำคัญ ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติครอบครัว การดำเนินกิจวัตรในชีวิตประจำวัน หรืออาจเลือกสถานการณ์จำลองที่มีผู้สร้างไว้แล้ว ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด เมื่อมีสถานการณ์จำลองแล้ว ผู้สอนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจในสถานการณ์จำลองนั้นเป็นอย่างดี
2. การนำเสนอสถานการณ์จำลอง เนื่องจากสถานการณ์จำลองส่วนใหญ่ จะมีความซับซ้อนพอสมควรไปถึงระดับมาก การนำเสนอสถานการณ์ บทบาท และกติกา จำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างดี ควรนำเสนออย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ไม่สับสน และควรจัดข้อมูลทุกอย่างไว้ให้พร้อม ควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผลและวัตถุประสงค์กว้างๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำลองนี้จะให้อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงค่อยให้ภาพรวมของสถานการณ์จำลองทั้งหม แล้วจึงให้รายละเอียดที่จำเป็น เช่น กติกา บทบาท เมื่อทุกคนเข้าใจพอสมควรแล้ว จึงให้เล่นได้
3. การเล่นในสถานการณ์จำลอง ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นในสถานการณ์จำลองนั้น ผู้สอนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนและจดบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการการเรียนเรียนรู้ของผู้เรียน ให้คำปรึกษาตามความจำเป็น รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
4. การให้ผู้เรียนสะท้อนคิด เพื่อประเมินวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ผู้สอนตั้งไว้ โดยเป็นไปในทางการเสริมแรงทางบวก ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกที่ดีและความเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่า การให้ผู้เรียนเรียนรู้จากสถานการณ์จำลองเหล่านี้ ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและมีความมั่นใจในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลสะท้อนของผู้เรียนจากการใช้สถานการณ์จำลอง ผู้สอนควรพัฒนาสถานการณ์จำลองให้มีประสิทธิภาพต่อไป
เขียนโดย Tidawan Chaimanee ที่ 17:12
จาก http://km.bcnnv.ac.th/2014/08/simulation-base-learning.html
"อยากได้...อยากโดรน"
แม้ว่า 'โดรน' หรือเครื่องบินไร้คนขับมักจะถูกใช้เป็นอาวุธโจมตีจนกลายเป็นกรณีอื้อฉาวสำหรับกองทัพสหรัฐฯ แต่สื่อต่างประเทศก็นำเสนอการใช้เทคโนโลยีนี้ในมุมอื่นๆ ที่บางมุมก็เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์เช่นการใช้ช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ หรือช่วยพัฒนาด้านการขนส่งลำเลียง
ภาพโดย Don McCullough (CC BY 2.0)
30 ต.ค. 2557 สำนักข่าวโกลบอลโพสต์นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องบินไร้คนขับควบคุมจากระยะไกลหรือ 'โดรน' โดยระบุว่าแม้โดรนจะถูกนำมาใช้เป็นอาวุธอันตรายที่สังหารคนจำนวนมาก แต่ก็มี 5 วิธีการที่จะทำให้เทคโนโลยีโดรนกลายเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้
สำนักงานข่าวสืบสวนสอบสวนของอังกฤษซึ่งเป็นผู้คอยติดตามเฝ้าระวังการใช้งานโดรนระบุว่ามีคนจำนวนมากถูกโดรนสังหารเช่นในประเทศปากีสถาน โซมาเลีย และเยเมน อย่างไรก็ตามในตอนนี้กำลังมีการจับตาโดรนในบทบาทใหม่ซึ่งไม่ใช่การสังหารผู้คนแต่เป็นการช่วยเหลือทำให้โลกดีขึ้น รวมถึงการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น โครงการ 'ไพร์มแอร์' ของอมาซอน และโครงการ 'โปรเจกต์วิง' ของกูเกิลซึ่งกำลังทดลองใช้โดรนในการช่วยส่งสินค้าตามบ้าน ทางด้านนักช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็กำลังศึกษาการใช้โดรนเพื่อช่วยงานในด้านนี้โดยมีการศึกษาประสิทธิภาพและผลกระทบเช่นงานศึกษาจากศูนย์วิจัยด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของนอร์เวย์ แพทริก ไมเออร์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมสังคมจากสถาบันวิจัยวิชาการคอมพิวเตอร์ของกาตาร์ประเมินว่าการใช้โดรนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนพบเห็นได้ทั่วไป จากช่วงเริ่มต้นที่อาจจะมีราคาสูงมากหลายแสนดอลลาร์ แต่จะเริ่มถูกขึ้นจนเท่ากับราคาโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังจะมีความซับซ้อนมากขึ้น มีการใช้งานอัตโนมัติมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น ขณะที่ขนาดจะเล็กลง เบาลง และปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็มีกรณีที่ผู้มีอำนาจควบคุมพยายามควบคุมการใช้โดรนและนักวิจัยก็ยังมีความกังวลว่าผู้ผลิตให้กองทัพอาจจะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อขยายตลาดใหม่ในขณะที่ทำให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ดูดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเอาป้ายแปะโดรนที่ตนเองต้องการจะโปรโมทว่า "เป็นการใช้ช่วยเหลือในเชิงมนุษยธรรม" อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวโกลบอลโพสต์นำเสนอวิธีการใช้งานโดรนในทางที่ไม่ใช่การสังหารผู้คนเอาไว้ 5 วิธีดังนี้
1. ใช้โดรนเพื่อคุ้มกันสัตว์ป่า
นักกิจกรรมด้านสัตว์ที่เป็นขาโหดอาจจะอยากได้โดรนล่าสังหารไว้จัดการกับพวกล่าช้างล่าแรด แต่ที่จะกล่าวถึงในตอนนี้ไม่ใช่โดรนจำพวกนั้น แต่เป็นโดรนที่ใช้ในการติดตามการเคลื่อนที่ของสัตว์ เช่นในองค์กรอนุรักษ์โอลเพฮาตาที่ประเทศเคนยามีการทดลองใช้โดรนขนาดกว้าง 6 ฟุตครึ่งเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของสัตว์
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนใช้โดรนในการติดตามการบุกรุกล่าสัตว์ในพื้นที่ 90,000 เอเคอร์ ซึ่งถือว่ากว้างมาก หรือใช้โดรนเพื่อปฏิบัติงานประจำวันของอุทยาน ช่วยเหลือนำทางนักท่องเที่ยว รวมถึงช่วยงานเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งเป็นงานอันตรายเช่นการขับไล่ผู้บุกรุกล่าสัตว์ นอกจากในเคนยาแล้วประเทศนามิเบียและอินเดียยังวางแผนจะนำโดรนมาใช้ในการคุ้มครองสัตว์ป่าด้วย
2. ใช้ในการรับมือเชิงมนุษยธรรม
ถึงแม้ว่าคริสติน แซนด์วิค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของนอร์เวย์จะกล่าวว่า "การระบุถึงปัญหาวิกฤติด้านมนุษยธรรมเป็นคำถามเชิงการเมืองและการใช้โดรนจะไม่สามารถช่วยเหลือพวกเราด้านข้อจำกัดทางการเมืองหรือทรัพยากรได้" แต่ก็เริ่มมีการนิยมใช้โดรนเพิ่มมากขึ้นในการรับมือเชิงมนุษยธรรมแล้ว
ทางด้านแพทริก ไมเออร์ ผู้ก่อตั้งเครือข่ายให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมโดยเครื่องบินไร้คนขับหรือ UAViators กล่าวว่า ในตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นสำหรับการใช้โดรนให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่การใช้โดรนในการนี้ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาสำนักงานสหประชาชาติในนิวยอร์กก็เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของเหล่าผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต และคนทำงานให้ความช่วยเหลือ เพื่อหารือเรื่องการใช้โดรนในทางมนุษยธรรม ซึ่งไมเออร์บอกว่ามีหน่วยงานราว 20 หน่วยงานที่สนใจการใช้โดรนในแง่นี้
วิธีการใช้โดรนในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ได้แก่ การช่วยฟื้นฟูและดูแลด้านสุขภาวะหลังเกิดภัยพิบัติ การทำแผนที่วิกฤตการณ์เพื่อส่งความช่วยเหลือ ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย รวมถึงการสอดส่องดูแลด้านสิทธิมนุษยชน ในบางกรณีโดรนยังอาจช่วยเหลือร่วมกับการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลาย อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงวัตถุในสถานที่ๆ เข้าถึงยากหรือมีอันตรายด้วย
3. ใช้กับงานด้าน "รักษาสันติภาพ"
เมื่อเดือน ธ.ค. 2556 สหประชาชาติหรือยูเอ็นได้ใช้โดรนของพวกเขาเป็นครั้งแรกที่ทางภาคตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกซึ่งเป็นเขตที่เต็มไปด้วยป่าเขามีกองกำลังติดอาวุธหลากหลายทั้งกลุ่มเล็กและใหญ่ ซึ่งถือเป็นการขยายผลภารกิจรักษาสันติภาพของยูเอ็น
โดรนที่ใช้นี้ไม่ใช่โดรนล่าสังหารแต่เป็นโดรนรุ่น 'เซเล็กซ์อีเอส ฟัลโค' (Selex-ES Falco) ซึ่งนำมาใช้ลาดตระเวนสอดส่องการค้าอาวุธผิดกฎหมายหรือการเคลื่อนพลของกลุ่มติดอาวุธ นอกจากนี้ยังช่วยค้นหาการค่ายของกลุ่มติดอาวุธเพื่อชี้นำปฏิบัติการของกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นและกองทัพคองโก ช่วงที่โดรนของยูเอ็นบินกลับในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มีการพบเหตุเรือล่มระหว่างทางที่ทะเลสาบคีวูจนพวกเขาสามารถส่งเรือกู้ภัยช่วยเหลือคนได้ 17 คน
กลุ่มให้ความช่วยเหลือบางส่วนยังคงไม่ไว้ใจการใช้โดรนโดยปฏิเสธที่จะแบ่งปันข้อมูลเพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง แต่ฝ่ายปฏิบัติการรักษาสันติภาพของยูเอ็นเชื่อว่าพวกเขาประสบความสำเร็จโดยมีคองโกตะวันออกเป็น "หนูทดลอง" ซึ่งตอนนี้พวกเขายังได้นำโดรนไปใช้กับประเทศมาลี และกำลังวางแผนใช้กับสาธารณรัฐแอฟริกากลางรวมถึงปฏิบัติการในที่อื่นๆ ทั่วโลก
4. ใช้เพื่อขนส่งพัสดุ
ขณะที่กลุ่มให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกำลังพิจารณาใช้โดรนในการช่วยเหลือลำเลียงสิ่งให้ความช่วยเหลือไปในเขตที่เกิดภัยพิบัติ องค์กรบางแห่งก็กำลังคิดนำโดรนมาใช้กับการขนส่งเครื่องใช้ประจำวัน บ้างก็คิดว่าจะใช้โดรนในการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐานในระดับก้าวกระโดด เช่น โครงการ "ลาบินได้" ที่พยายามดัดแปลงการขนส่งสินค้าในเคนยาด้วยการใช้โดรนแทนลา ผู้นำเสนอพยายามอธิบายกับคนแก่ในเคนยาว่าโดรนก็เปรียบเสมือนลาที่บินบนท้องฟ้าได้
บริษัทอโฟรเทควางแผนออกแบบโดรนไว้ใช้ในเคนยาเพื่อ "ขนส่งพัสดุในระดับกลางเดินทางในระยะทางระดับกลางเพื่อส่งไปในเมืองระดับกลาง" แต่เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาความพยายามทดสอบโดรนนี้ก็ถูกทางการเคนยาควบคุมการดำเนินการ แต่ผู้วางแผนใช้โดรนยังคงเดินหน้าผลักดันให้มีการใช้ในประเทศใกล้เคียง
เจ.เอ็ม เลดการ์ด ผู้วางแผนริเริ่มใช้โดรนในประเทศแถบแอฟริกาบอกว่าเขามีเป้าหมายต้องการวางเส้นทางบินของโดรนเพื่อการค้าเป็นแห่งแรกในแอฟริกาภายในปี 2559 โดยพัสดุที่โดรนจะนำส่งอย่างแรกคือคลังโลหิตที่ใช้ถ่ายให้ผู้ป่วยหรือบาดเจ็บเพื่อช่วยชีวิตโดยวางเส้นทางนำส่งเป็นระยะทาง 50 ไมล์ หลังจากนั้นจะพัฒนาให้สามารถขนน้ำหนักได้มากขึ้นเป็น 44 ปอนด์ และมีระยะการเดินทางหลายร้อยไมล์เพื่อขนส่งพัสดุในเส้นทางกันดาร
5. ใช้เพื่อทำแผนที่วิกฤตการณ์
หลังเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนพัดถล่มฟิลิปปินส์ในเดือน ก.ย. ปี 2556 มีการใช้โดรนแบบ 4 ใบพัดเพื่อช่วยระบุตำแหน่งแก่นักให้ความช่วยเหลือว่าควรจะตั้งแคมป์ตรงไหนและมีจุดไหนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ขณะที่โดรนแบบปีกเครื่องบินจะทำหน้าที่เก็บภาพถ่ายทางอากาศเพื่อทำแผนที่รายละเอียดในแบบ 2D และ 3D ในเรื่องผลกระทบจากไต้ฝุ่นที่มีต่อเมืองทาโคลบาน
การทำแผนที่วิกฤตการณ์ด้วยโดรนจะช่วยให้การรับมือต่อเหตุฉุกเฉินของคนทำงานให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งต้องการความช่วยเหลือได้เเร็วขึ้น แซนด์วิคกล่าวว่ากรณีในเมืองทาโคลบานเป็นข้อพิสูจน์ว่าเครื่องบินโดรนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ได้จริง
เรียบเรียงจาก 5 ways drones are making the world a better place (without killing anyone), Globalpost, 25-10-2014
http://www.globalpost.com/dispatch/news/business/innovation/141024/drones-wildlife-humanitarian-peacekeepers
" รู้จักก่อนนำไปใช้...ประโยชน์จะเกิดต่อวิชาชีพ"