ผู้จัดทำข้อตกลง
ผู้จัดทำข้อตกลง
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง
1. ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
- รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 7.5 ชั่วโมง
- รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม จำนวน 6.67 ชั่วโมง
- กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี จำนวน 1.67 ชั่วโมง
- กิจกรรมชุมนุม จำนวน 0.83 ชั่วโมง
1.2 งานส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
- งานครูที่ปรึกษาดูแลนักเรียนและโฮมรูม จำนวน 4.17 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาระงานประจำ 13.17 ชั่วโมง/สัปดาห์
- งานคณะกรรมการกลางและกำกับห้องสอบ จำนวน 6 ชั่วโมง
- การนำนักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมนอกสถานที่แบบไม่ค้าง จำนวน 6 ชั่วโมง
-การนำนักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมนอกสถานที่แบบค้างคืน จำนวน 8 ชั่วโมง
-การส่งเสริมสนับสนุน กิจกรรมศิลปหัตถกรรมนักเรียนในระดับต่างๆ จำนวน 20 ชั่วโมง
-งานวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 20 ชั่วโมง
ภาระงานพิเศษ 64 ชั่วโมง
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
-งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและกิจการนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด / โรคเอดส์ / สื่อลามกอนาจาร / เพศศึกษา และการกระทําที่ผิดกฏหมาย จำนวน 8 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานกิจกรรมห้องเรียนสีขาว จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานวินัยและความประพฤตินักเรียน จำนวน 8 ชั่วโมง/สัปดาห์
-หัวหน้างานสงเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (พสน.) จำนวน 10 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานเวรประจําวัน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานรถรับ-สงนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานแผนเผชิญเหตุ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- กิจกรรมหน้าเสาธง โฮมรูม จำนวน 1.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาระงานประจำ 39.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
•─────────• ✨ •─────────•
รวมภาระงาน จำนวน 69.51 ชั่วโมง/สัปดาห์
• ────── ✾ ────── •
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
- รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 2.5 ชั่วโมง
- รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม จำนวน 12.5 ชั่วโมง
- กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี จำนวน 1.67 ชั่วโมง
- กิจกรรมชุมนุม จำนวน 0.83 ชั่วโมง
1.2 งานส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
- งานครูที่ปรึกษาดูแลนักเรียนและโฮมรูม จำนวน 4.17 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาระงานประจำ 13.17 ชั่วโมง/สัปดาห์
- งานคณะกรรมการกลางและกำกับห้องสอบ จำนวน 6 ชั่วโมง
- การนำนักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมนอกสถานที่แบบไม่ค้าง จำนวน 6 ชั่วโมง
-การนำนักเรียนไปปฏิบัติกิจกรรมนอกสถานที่แบบค้างคืน จำนวน 8 ชั่วโมง
-การส่งเสริมสนับสนุน กิจกรรมศิลปหัตถกรรมนักเรียนในระดับต่างๆ จำนวน 20 ชั่วโมง
-งานวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 20 ชั่วโมง
ภาระงานพิเศษ 60 ชั่วโมง
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
-งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและกิจการนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด / โรคเอดส์ / สื่อลามกอนาจาร / เพศศึกษา และการกระทําที่ผิดกฏหมาย จำนวน 8 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานกิจกรรมห้องเรียนสีขาว จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานวินัยและความประพฤตินักเรียน จำนวน 8 ชั่วโมง/สัปดาห์
-หัวหน้างานสงเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (พสน.) จำนวน 10 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานเวรประจําวัน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานรถรับ-สงนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
-งานแผนเผชิญเหตุ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- กิจกรรมหน้าเสาธง โฮมรูม จำนวน 1.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาระงานประจำ 39.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
•─────────• ✨ •─────────•
รวมภาระงาน จำนวน 70.34 ชั่วโมง/สัปดาห์
• ────── ✾ ────── •
2. งานที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง ครู
ด้านการจัดการเรียนรู้
ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้สามารถปรับตัวและเติบโตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในชีวิต และการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคณิตศาสตร์ที่ต้องอาศัยการคิดอย่างเป็นระบบ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม ถือเป็นหัวข้อที่สำคัญในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานในหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง จำนวนเต็ม เนื่องจากเป็นพื้นฐานในการเรียนคณิตศาสตร์ในสาระอื่นๆ ซับซ้อนมากขึ้นในระดับสูง อย่างไรก็ตามมีนักเรียนบางส่วนเมื่อเรียนไปแล้วเกิดความสับสนและไม่สามารถนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ที่หลากหลายได้ อีกทั้งนักเรียนยังขาดโอกาสในการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคดิจิทัล ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดหวัง
ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพในการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI สามารถนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุจุดอ่อนของนักเรียน และเสนอแนวทางปรับปรุงที่เหมาะสมได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียนได้
จากสถานการณ์ดังกล่าว การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม ที่ต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้ความรู้ การวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่นำ AI มาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้สามารถเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การวิจัยนี้จึงมีความสำคัญในเชิงการพัฒนาการศึกษา เนื่องจากสามารถเป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อีกทั้งยังสามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ ที่ต้องการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อีกด้วย
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผลสามารถดำเนินการตามขั้นตอนของ PDCA ต่อไปนี้
1. ขั้นการวางแผน (Plan)
- วิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นข้อมูลสารสนเทศในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน
- กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย: การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
- กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูล แนวคิด และทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ
การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 11
- ออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวน
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เช่น การใช้แอป Gimini หรือ Chat GPT เพื่อช่วยสืบค้นข้อมูลในการตอบคำถามเกี่ยวกับเซต, แบบทดสอบประเภท Quizizz หรือ Kahoot เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในการตอบคำถามให้น่าสนใจ, Canva สร้างสไลด์นำเสนองาน, การใช้ Geogebra เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้เป็นรูปธรรม ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น
2. ขั้นการปฏิบัติ (Do)
- พัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน (Pre-test และ Post-test): เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการคิดวิเคราะห์ผู้เรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ: เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้
- นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านการปรับปรุงแล้วนำไปจัดการเรียนรู้กับกลุ่มทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
3. ขั้นการตรวจสอบ (Check)
- ประเมินผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน (Pre-test และ Post-test) เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- วิเคราะห์เชิงปริมาณ: ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (คะแนน Pre-test และ Post-test) และแบบสอบถามความพึงพอใจ เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน (t-test) - วิเคราะห์เชิงคุณภาพ: วิเคราะห์จากการแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน
4. ขั้นการปรับปรุงแก้ไข (Act)
- รวบรวมข้อมูลตอบกลับจากผู้เรียน (Feedback) ต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ใช้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อวิเคราะห์ประเด็นในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ว่าช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
- นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่วง PLC เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางการพัฒนาตามประเด็นท้าทาย
- นำผลที่ได้จากการพัฒนาแล้วจัดทำเป็นสารสนเทศเพื่อใช้แก้ปัญหาในรอบปีถัดไป
จากวิธีการดำเนินการให้บรรลุผลดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปเป็นขั้นตอนได้ดังภาพ
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียน
เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
1. นักเรียนในกลุ่มทดลองที่เรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร้อยละ 70 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนรู้ อยู่ในระดับดีขึ้นไป
ได้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4. ระดับความสำเร็จในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าท้ายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
4.1 วิธีดำเนินการ
ข้าพเจ้าได้ดำเนินการพัฒนางานตามประเด็นท้าท้ายตามขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นตอนที่แสดงดังภาพด้านบนจนได้ผลการดำเนินการ และสรุปพอสังเขปได้ดังนี้
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี จำนวนนักเรียน 41 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มเจาะจง ดำเนินการวิจัยโดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็ม จำนวน 4 แผน รวม 4 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีผลต่อการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และt - test (Dependent Samples)
ผลการศึกษาพบว่า
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 ที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ เรื่อง การลบจำนวนเต็มมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.86 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.38
4.2 ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่คาดหวัง
4..2.1 เชิงปริมาณ
- นักเรียนในกลุ่มทดลองที่เรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร้อยละ 78.04 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
- นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนรู้ อยู่ในระดับดีมาก
4.2.2 เชิงคุณภาพ
ได้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาการเรียน เรื่อง การลบจำนวนเต็ม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
แบบบันทึกข้อตกลงในการพัฒนางาน(PA)
คลิปวิดีโอการจัดการเรียนรู้
https://drive.google.com/file/d/1xVc6pHA1uJn8IzwI3o2jO90_HaqM-VCF/view?usp=sharing