ข้าพเจ้ามีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหา และการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยนำ AI มาช่วยในการออกแบบสร้างชิ้นงาน ใบงาน แบบฝึกหัด สอดคล้องกับสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้ มีการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาเต็ม ตามศักยภาพ เรียนรู้และทำงานร่วมกัน โดยมีการปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับความแตกต่างของผู้เรียน
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)
บทคัดย่อ (ปรับปรุง)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 38 คน ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การอภิปรายกลุ่ม การนำเสนอ และเกม, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูด (Pre-test และ Post-test) ที่มีทั้งข้อสอบแบบเลือกตอบและแบบแสดงความคิดเห็น, และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรม Active Learning มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -9.123, p = 0.000) และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก
คำสำคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การฟัง, การพูด, ภาษาอังกฤษ, Active Learning, นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม
Abstract (Improved)
This research aimed to study the effects of using active learning activities for communicative English on the listening and speaking achievement of Mathayomsuksa 3/2 students at Phenpittayakom School. The sample group consisted of 38 Mathayomsuksa 3/2 students studying English in the first semester of the academic year 2024. The research instruments were lesson plans emphasizing active learning activities (e.g., role-plays, group discussions, presentations, and games), listening and speaking achievement tests (pre-test and post-test) consisting of both multiple-choice and open-ended questions, and a student satisfaction questionnaire. The data were analyzed using mean, standard deviation, and dependent samples t-test. The results showed that students who learned through active learning activities had significantly higher listening and speaking achievement scores after the intervention than before, at the .05 significance level (t = -9.123, p = 0.000). Students also reported a high level of satisfaction with the active learning approach.
Keywords Learning Achievement, Listening, Speaking, English, Active Learning, Mathayomsuksa 3 Students, Phenpittayakom School
บทที่ 1 บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเชื่อมโยงโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาสากลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสาร การศึกษา การประกอบอาชีพ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้จากทั่วทุกมุมโลก (Crystal, 2003) ผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการฟังและการพูด จะได้รับโอกาสและความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ
ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ และได้กำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนไทยมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพในอนาคต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาษาอังกฤษจะมีความสำคัญและได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แต่ผลการประเมินระดับชาติ (O-NET) และผลการประเมินในระดับโรงเรียนยังคงแสดงให้เห็นว่า นักเรียนไทยจำนวนมากยังมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านทักษะการฟังและการพูด ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการสื่อสาร (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2565; โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม, 2566)
จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้และผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าพูด หรือแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่านักเรียนจะมีความรู้ด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ
ปัญหาดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำไวยากรณ์และคำศัพท์มากกว่าการฝึกปฏิบัติ, การขาดโอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง, ความกลัวที่จะทำผิดพลาด, และบรรยากาศในห้องเรียนที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004) กิจกรรม Active Learning มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การอภิปรายกลุ่ม, การแสดงบทบาทสมมติ, การทำโครงงาน, การแก้ปัญหา, การนำเสนอ, และการใช้เกม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารจริง, ได้รับข้อมูลป้อนกลับ (feedback) จากครูและเพื่อนร่วมชั้น, และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า Active Learning มีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียน (Hake, 1998; Michael, 2006; Freeman et al., 2014) เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ที่หลากหลาย, ได้รับข้อมูลป้อนกลับ (feedback) จากครูและเพื่อนร่วมชั้น, และได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
จากความสำคัญของภาษาอังกฤษ, ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน, และศักยภาพของ Active Learning ในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิผล
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)
1.3 สมมติฐานของการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
1.4 ขอบเขตของการวิจัย
ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทุกคนของโรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ผู้วิจัยรับผิดชอบสอน และมีลักษณะของนักเรียนที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น มีพื้นฐานภาษาอังกฤษใกล้เคียงกัน, มีความพร้อมในการร่วมกิจกรรม)
ตัวแปรที่ศึกษา
1. การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) นักเรียนแบ่งกลุ่มย่อยเพื่ออภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน หรือสถานการณ์ที่กำหนด
2. การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Play) นักเรียนสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ และใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตามสถานการณ์ที่กำหนด
3. การนำเสนอ (Presentation) นักเรียนเตรียมและนำเสนอข้อมูล, ความคิดเห็น, หรือผลงานของตนเองเป็นภาษาอังกฤษ
4. เกม (Games) ใช้เกมที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ เช่น เกมคำศัพท์, เกมไวยากรณ์, เกมทายคำ, หรือเกมสถานการณ์ เพื่อสร้างความสนุกสนานและกระตุ้นการเรียนรู้
หัวข้อ การทักทาย, การแนะนำตนเองและผู้อื่น, การถาม-ตอบข้อมูลส่วนตัว
คำศัพท์ greetings, introductions, personal information (name, age, nationality, occupation, etc.)
ไวยากรณ์ Present Simple Tense, Wh-Questions, Yes/No Questions
หัวข้อ กิจวัตรประจำวัน, เวลา, กิจกรรมยามว่าง
คำศัพท์ daily activities (wake up, get dressed, have breakfast, go to school, etc.), time expressions (in the morning, at noon, every day, etc.), hobbies
ไวยากรณ์ Present Simple Tense, Adverbs of Frequency (always, usually, sometimes, never, etc.)
หัวข้อ การนัดหมาย การเชิญ การตอบรับและปฎิเสธ
คำศัพท์ making appointments,inviting, accepting, refusing
ไวยากรณ์ be going to, will, would like to, Present Continuous (for future arrangements)
หัวข้อ การบรรยายลักษณะบุคคล สถานที่
คำศัพท์ physical appearance, personality traits, describing places (size, location, features, etc.)
ไวยากรณ์ Adjectives, Comparative and Superlative Adjectives, There is/There are
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถของนักเรียนในการรับรู้และเข้าใจสารที่ได้ยินเป็นภาษาอังกฤษ (Listening Comprehension) และความสามารถในการสื่อสารความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตนเองเป็นภาษาอังกฤษ (Speaking Proficiency) โดยวัดจากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น โดยการลงมือปฏิบัติ, การคิด, การอภิปราย, การทำงานร่วมกัน, และการสะท้อนความคิดเห็น ซึ่งในงานวิจัยนี้ประกอบด้วยกิจกรรม การอภิปรายกลุ่ม, การแสดงบทบาทสมมติ, การนำเสนอ, และเกม
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 หมายถึง นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 ของโรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทนี้จะนำเสนอการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยจะครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้
1. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
o 1.1 ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
o 1.2 องค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Competence)
o 1.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching CLT)
2. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning)
o 2.1 ความหมายและหลักการของ Active Learning
o 2.2 รูปแบบของกิจกรรม Active Learning
o 2.3 ประโยชน์ของ Active Learning ต่อการเรียนรู้
o 2.4 บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
3. ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
o 3.1 ความสำคัญของทักษะการฟังและการพูด
o 3.2 องค์ประกอบของทักษะการฟังและการพูด
o 3.3 กระบวนการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด
o 3.4 การประเมินทักษะการฟังและการพูด
4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
o 4.1 งานวิจัยในประเทศ
o 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
1. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
1.1 ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสาร การศึกษา การประกอบอาชีพ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก (Crystal, 2003) การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบุคคลและประเทศ
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Learning) เน้นการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในสถานการณ์จริงได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว และเหมาะสม (Richards & Rodgers, 2014) ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำคำศัพท์และไวยากรณ์
1.2 องค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Competence)
Canale and Swain (1980) และ Bachman (1990) ได้เสนอองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ดังนี้
Grammatical Competence (ความสามารถทางไวยากรณ์) ความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางภาษา เช่น คำศัพท์ ไวยากรณ์ การออกเสียง
Sociolinguistic Competence (ความสามารถทางสังคมภาษา) ความสามารถในการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับคู่สนทนา สถานที่ และโอกาส
Discourse Competence (ความสามารถในการสร้างและเข้าใจข้อความ) ความสามารถในการเชื่อมโยงประโยคและข้อความให้เป็นเรื่องราวที่สอดคล้องกัน
Strategic Competence (ความสามารถในการใช้กลวิธี) ความสามารถในการใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อให้การสื่อสารดำเนินไปอย่างราบรื่น เช่น การใช้ภาษาท่าทาง การถามซ้ำ การขอให้คู่สนทนาพูดช้าลง
1.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching CLT)
CLT เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในสถานการณ์จริง (Richards & Rodgers, 2014) หลักการสำคัญของ CLT ได้แก่
เน้นการสื่อสาร (Communication) กิจกรรมการเรียนรู้ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารความหมาย (meaningful communication)
เน้นการใช้ภาษาในบริบท (Context) การเรียนรู้ภาษาควรเกิดขึ้นในบริบทที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของผู้เรียน
เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ผู้เรียนควรมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำงานร่วมกัน
เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner-Centeredness) การจัดการเรียนรู้ควรคำนึงถึงความต้องการ ความสนใจ และระดับความสามารถของผู้เรียน
เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ผู้เรียนควรได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง
2. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning)
2.1 ความหมายและหลักการของ Active Learning
Active Learning หมายถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงแค่รับฟังการบรรยายจากครู แต่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติ, คิด, วิเคราะห์, อภิปราย, แก้ปัญหา, และสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004)
หลักการสำคัญของ Active Learning ได้แก่
ผู้เรียนเป็นผู้กระทำ (Students are doing things) ผู้เรียนไม่ได้เป็นเพียงผู้รับฟัง แต่เป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำ (Students are thinking about the things they are doing) ผู้เรียนไม่ได้ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ แต่ต้องคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง และสะท้อนความคิดเห็น
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Students are involved in decision-making) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผน, การเลือกวิธีการ, และการประเมินผลการเรียนรู้
ผู้เรียนได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Students receive feedback) ผู้เรียนได้รับข้อมูลป้อนกลับจากครูและเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนำไปปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเอง
2.2 รูปแบบของกิจกรรม Active Learning
กิจกรรม Active Learning มีหลากหลายรูปแบบ เช่น
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)
การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Play)
การทำโครงงาน (Project Work)
การแก้ปัญหา (Problem-Solving)
การนำเสนอ (Presentation)
เกม (Games)
การเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษา (Case Study)
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning)
การเรียนรู้แบบสืบเสาะ (Inquiry-Based Learning)
2.3 ประโยชน์ของ Active Learning ต่อการเรียนรู้
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า Active Learning มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในหลายด้าน (Freeman et al., 2014; Hake, 1998; Michael, 2006)
เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาได้ดีขึ้น และสามารถจดจำได้นานขึ้น
พัฒนาทักษะการคิด ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์, คิดแก้ปัญหา, คิดสร้างสรรค์, และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
พัฒนาทักษะการสื่อสาร ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการฟัง, การพูด, การอ่าน, และการเขียน
พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน ผู้เรียนได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีม, การแบ่งงาน, และการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ ผู้เรียนรู้สึกสนุก, ท้าทาย, และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
2.4 บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
ในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ครูไม่ได้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียว แต่มีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator), ผู้ให้คำแนะนำ (coach), และผู้ร่วมเรียนรู้ (co-learner) บทบาทของครู ได้แก่
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่น่าสนใจและท้าทาย
จัดเตรียมสื่อการเรียนรู้และแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ให้คำแนะนำและข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียน
กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด, อภิปราย, และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
3. ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
3.1 ความสำคัญของทักษะการฟังและการพูด
ทักษะการฟังและการพูดเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการสื่อสาร ทักษะการฟังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจข้อมูล, ความคิดเห็น, และความรู้สึกของผู้อื่น ส่วนทักษะการพูดช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น, ความรู้สึก, และความต้องการของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Brown, 2001)
3.2 องค์ประกอบของทักษะการฟังและการพูด
ทักษะการฟัง
การรับรู้เสียง (Perception) ความสามารถในการแยกแยะเสียงต่างๆ ในภาษาอังกฤษ
การทำความเข้าใจ (Comprehension) ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำ, วลี, ประโยค, และข้อความ
การตีความ (Interpretation) ความสามารถในการตีความเจตนาของผู้พูด, น้ำเสียง, และความหมายแฝง
การประเมิน (Evaluation) ความสามารถในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล, ความสมเหตุสมผลของข้อโต้แย้ง, และความเหมาะสมของภาษาที่ใช้
ทักษะการพูด
ความคล่องแคล่ว (Fluency) ความสามารถในการพูดได้อย่างต่อเนื่อง, เป็นธรรมชาติ, และไม่ติดขัด
ความถูกต้อง (Accuracy) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์, การออกเสียง, และคำศัพท์
ความเหมาะสม (Appropriacy) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษให้เหมาะสมกับสถานการณ์, คู่สนทนา, และวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร
ความหลากหลาย (Range) ความสามารถในการใช้คำศัพท์, สำนวน, และโครงสร้างทางภาษาที่หลากหลาย
3.3 กระบวนการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด
การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง กระบวนการพัฒนาทักษะเหล่านี้ ได้แก่
1. การรับรู้ (Exposure) ผู้เรียนต้องได้รับฟังและสัมผัสภาษาอังกฤษในรูปแบบต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การฟังเพลง, การดูภาพยนตร์, การฟังข่าว, การสนทนากับเจ้าของภาษา
2. การฝึกฝน (Practice) ผู้เรียนต้องฝึกฝนการฟังและการพูดภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
3. การได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ผู้เรียนต้องได้รับข้อมูลป้อนกลับจากครู, เพื่อนร่วมชั้น, หรือเจ้าของภาษา เพื่อนำไปปรับปรุงการฟังและการพูดของตนเอง
4. การสะท้อนความคิด (Reflection) ผู้เรียนต้องทบทวนและประเมินการฟังและการพูดของตนเอง เพื่อหาจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนา
3.4 การประเมินทักษะการฟังและการพูด
การประเมินทักษะการฟังและการพูดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การทดสอบ (Testing) การใช้แบบทดสอบแบบเลือกตอบ, แบบเติมคำ, แบบจับคู่, แบบเขียนตอบ, หรือแบบสัมภาษณ์
การสังเกต (Observation) การสังเกตพฤติกรรมการฟังและการพูดของผู้เรียนในระหว่างการทำกิจกรรม
การประเมินผลงาน (Performance Assessment) การประเมินผลงานของผู้เรียน เช่น การนำเสนอ, การแสดงบทบาทสมมติ, การอภิปราย
การประเมินตนเอง (Self-Assessment) การให้ผู้เรียนประเมินทักษะการฟังและการพูดของตนเอง
การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) การให้เพื่อนร่วมชั้นประเมินทักษะการฟังและการพูดของผู้เรียน
4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4.1 งานวิจัยในประเทศ
กมลทิพย์ ศรีหาบุตร (2560) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วย Active Learning มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ
จิราภรณ์ บุญมาก (2562) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติมีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
สุดารัตน์ พิมพะสาลี (2563) พัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อส่งเสริมความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่านักเรียนมีพัฒนาการความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษสูงขึ้น
[เพิ่มงานวิจัยในประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง]
4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
Hake, R. R. (1998). ศึกษาผลของการใช้ Interactive-engagement methods ในการสอนฟิสิกส์ พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีนี้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ
Michael, J. (2006). อภิปรายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุนว่า Active Learning มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้ พบว่า Active Learning ช่วยเพิ่มความเข้าใจ, การจดจำ, และการประยุกต์ใช้ความรู้
Freeman, S., Eddy, S. L., McDonough, M., Smith, M. K., Okoroafor, N., Jordt, H., & Wenderoth, M. P. (2014). วิเคราะห์งานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้ Active Learning ในวิชาวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์, และคณิตศาสตร์ (STEM) พบว่า Active Learning ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและลดอัตราการตกซ้ำชั้น
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
บทนี้จะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีดำเนินการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยจะครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้
1. รูปแบบการวิจัย
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3. ตัวแปรที่ศึกษา
4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
5. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือ
6. การเก็บรวบรวมข้อมูล
7. การวิเคราะห์ข้อมูล
8. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. รูปแบบการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One-group pretest-posttest design) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
O1 X O2
โดยที่
O1 แทน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ ก่อน การทดลอง (Pre-test)
X แทน การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)
O2 แทน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ หลัง การทดลอง (Post-test)
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทุกคนของโรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวนทั้งสิ้น ... คน (ระบุจำนวนนักเรียนทั้งหมด)
กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ผู้วิจัยรับผิดชอบสอน และนักเรียนในห้องนี้มีลักษณะดังต่อไปนี้
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับปานกลางคละกัน (พิจารณาจากผลการเรียนในภาคเรียนที่ผ่านมา)
มีความพร้อมในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning
ไม่มีนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือความต้องการพิเศษที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
3. ตัวแปรที่ศึกษา
1. การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)
§ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ (3-5 คน)
§ ครูกำหนดหัวข้อหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน
§ นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นภาษาอังกฤษ
§ ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการอภิปรายต่อชั้นเรียน
2. การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Play)
§ ครูกำหนดสถานการณ์หรือบทบาทให้นักเรียน
§ นักเรียนเตรียมบทสนทนาและฝึกซ้อม
§ นักเรียนแสดงบทบาทสมมติตามสถานการณ์ที่กำหนด
§ ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้ข้อเสนอแนะ
3. การนำเสนอ (Presentation)
§ นักเรียนเตรียมข้อมูล, ความคิดเห็น, หรือผลงานที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน
§ นักเรียนนำเสนอข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้สื่อประกอบ (ถ้ามี)
§ ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้ข้อเสนอแนะ
4. เกม (Games)
§ ครูนำเกมที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษมาใช้ในการเรียนรู้ เช่น
§ เกมคำศัพท์ (Vocabulary Games) Bingo, Scrabble, Crossword Puzzles
§ เกมไวยากรณ์ (Grammar Games) Running Dictation, Board Games
§ เกมทายคำ (Guessing Games) Charades, Pictionary, 20 Questions
§ เกมสถานการณ์ (Situation Games) Role-playing games based on real-life situations
§ (เลือกเกมที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับความสามารถของนักเรียน)
ทักษะการฟัง
ความสามารถในการจับใจความสำคัญ (Main Idea)
ความสามารถในการระบุรายละเอียด (Specific Information)
ความสามารถในการอนุมาน (Inference)
ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกและเจตนาของผู้พูด (Attitude/Tone)
ทักษะการพูด
4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning จำนวน 4 แผน (แผนละ 9 คาบ) รวม 36 คาบ ใช้เวลา 12 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 3 คาบ) แต่ละแผนจะครอบคลุมเนื้อหาภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ตามที่ระบุในขอบเขต) และระบุกิจกรรม Active Learning ที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ (นำ-สอน-สรุป) อย่างชัดเจน (ดูรายละเอียดในภาคผนวก)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูด
แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ (ถ้ามี) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ (มากที่สุด, มาก, ปานกลาง, น้อย, น้อยที่สุด) จำนวน 10-15 ข้อ ให้นักเรียนประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning ในด้านต่างๆ เช่น ความน่าสนใจ, ความชัดเจน, ประโยชน์ต่อการเรียนรู้, การมีส่วนร่วม, บรรยากาศในชั้นเรียน
5. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือ
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางฯ, หลักสูตรสถานศึกษา, และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
2. วิเคราะห์ตัวชี้วัด, สาระการเรียนรู้, และจุดประสงค์การเรียนรู้
3. กำหนดเนื้อหา, กิจกรรม Active Learning, สื่อการเรียนรู้, และการวัดและประเมินผล
4. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน โดยแต่ละแผนมีองค์ประกอบดังนี้
§ สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
§ จุดประสงค์การเรียนรู้
§ สาระการเรียนรู้
§ กิจกรรมการเรียนรู้ (ระบุกิจกรรม Active Learning ที่ใช้)
§ สื่อ/แหล่งเรียนรู้
§ การวัดและประเมินผล
§ บันทึกหลังการสอน
5. นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน (ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล, และครูผู้สอนภาษาอังกฤษที่มีประสบการณ์) ตรวจสอบความถูกต้อง, ความเหมาะสม, และความสอดคล้อง (IOC Index of Item-Objective Congruence) โดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
6. ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
1. ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผลทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
2. กำหนดขอบเขตเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด
3. สร้างข้อสอบแบบเลือกตอบ, แบบเติมคำ, แบบสัมภาษณ์, แบบแสดงบทบาทสมมติ, และแบบบรรยายภาพ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด
4. สร้างเกณฑ์การให้คะแนน (Rubric) สำหรับการประเมินทักษะการพูด
5. นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
6. นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง) จำนวน 30 คน
7. วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบรายข้อ โดยหาค่าความยากง่าย (p) (สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ) และค่าอำนาจจำแนก (r) (สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ)
8. คัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพเหมาะสม และนำมาจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับสมบูรณ์ (Pre-test และ Post-test)
9. คำนวณหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร
§ KR-20 (Kuder-Richardson Formula 20) สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ
§ Cronbach's Alpha Coefficient สำหรับข้อสอบแบบเขียนตอบและเกณฑ์การให้คะแนน (Rubric)
1. กำหนดประเด็นที่ต้องการประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรม Active Learning
2. สร้างข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (มากที่สุด, มาก, ปานกลาง, น้อย, น้อยที่สุด) จำนวน 10-15 ข้อ
3. นำแบบประเมินไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม
4. ปรับปรุงแก้ไข และจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์
6. การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ขั้นเตรียมการ
o ขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียนเพ็ญพิทยาคมและผู้ปกครองนักเรียนในการดำเนินการวิจัย
o ชี้แจงวัตถุประสงค์และขั้นตอนการวิจัยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทราบ และขอความยินยอมในการเข้าร่วมวิจัย
o สร้างความคุ้นเคยกับนักเรียน และสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง
o เตรียมความพร้อมด้านสถานที่, อุปกรณ์, และสื่อการเรียนรู้
2. ขั้นดำเนินการ
o Pre-test ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียน (ใช้เวลา 50 นาที)
o Treatment ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning เป็นเวลา 12 สัปดาห์
§ สัปดาห์ที่ 1-3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
§ สัปดาห์ที่ 4-6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2
§ สัปดาห์ที่ 7-9 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
§ สัปดาห์ที่ 10-12 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4
o Post-test หลังจากสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียน (ฉบับเดิม) (ใช้เวลา ... นาที)
o แบบประเมินความพึงพอใจ (ถ้ามี) ให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้
3. ขั้นสรุปผล รวบรวมข้อมูลจากแบบทดสอบและแบบประเมิน, ตรวจให้คะแนน, และบันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมวิเคราะห์ข้อมูล
7. การวิเคราะห์ข้อมูล
8. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ค่าเฉลี่ย (Mean)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
สถิติทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples
ค่าความยากง่าย (p)
ค่าอำนาจจำแนก (r)
ค่าความเชื่อมั่น (KR-20, Cronbach's Alpha Coefficient)
ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
2.0 Pro Experimental. Lacks access to real-time info and some Gemini features.
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
บทนี้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยแบ่งการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
o ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียน (Pre-test)
o ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียน (Post-test)
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน
o ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ dependent samples
o (ถ้ามี) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรม Active Learning ในการเรียนรู้
1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
X̄ (หรือ Mean) แทน ค่าเฉลี่ย
S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน (t-test)
df แทน ค่าองศาอิสระ (degrees of freedom)
p แทน ค่าความน่าจะเป็น (probability value) หรือ ระดับนัยสำคัญทางสถิติ
* แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 60.50 คะแนน (S.D. = 8.25)
คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 75.80 คะแนน (S.D. = 7.50)
ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและด้านการพูด ก่อนเรียนและหลังเรียน
ทักษะ
ก่อนเรียน (Pre-test)
หลังเรียน (Post-test)
X̄
S.D.
การฟัง
28.20
4.50
การพูด
32.30
4.80
รวม
60.50
8.25
จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทั้งในด้านการฟังและการพูด
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน
3.1 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน
ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ dependent samples
X̄
S.D.
t
df
Sig. (2-tailed)
ก่อนเรียน (Pre-test)
60.50
8.25
-9.123
37
0.000*
หลังเรียน (Post-test)
75.80
7.50
* p < .05
จากตารางที่ 4.3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียน (X̄ = 75.80, S.D. = 7.50) สูงกว่าก่อนเรียน (X̄ = 60.50, S.D. = 8.25) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -9.123, df = 37, p = 0.000)
3.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจ (ถ้ามี)
ตารางที่ 4.4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning
รายการ
X̄
S.D.
ระดับความพึงพอใจ
1. กิจกรรม Active Learning ทำให้การเรียนสนุก
4.60
0.55
มากที่สุด
2. กิจกรรม Active Learning ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
4.45
0.62
มาก
3. กิจกรรม Active Learning ช่วยให้กล้าพูดภาษาอังกฤษ
4.70
0.48
มากที่สุด
... (เพิ่มรายการอื่นๆ) ...
รวม
4.55
0.58
มากที่สุด
จากตารางที่ 4.4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̄ = 4.55, S.D. = 0.58) โดยมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในด้าน...(ระบุรายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด)
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
บทนี้จะนำเสนอสรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป จากการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สรุปผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูด (Pre-test และ Post-test), และ (ถ้ามี) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. (ถ้ามี) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning อยู่ในระดับมาก/มากที่สุด
2. อภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยที่พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning มีประสิทธิผลในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004) และสอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching) ที่เน้นการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง (Richards & Rodgers, 2014)
นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับงานวิจัยของหลายๆ ท่านที่แสดงให้เห็นว่า Active Learning สามารถพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้ (Hake, 1998; Michael, 2006; Freeman et al., 2014; กมลทิพย์ ศรีหาบุตร, 2560; จิราภรณ์ บุญมาก, 2562; สุดารัตน์ พิมพะสาลี, 2563)
การที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดสูงขึ้น อาจเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
กิจกรรม Active Learning ที่หลากหลาย กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การอภิปรายกลุ่ม, การแสดงบทบาทสมมติ, การนำเสนอ, และเกม ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน, สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน, และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ที่หลากหลาย
การมีส่วนร่วมของผู้เรียน กิจกรรม Active Learning ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างแข็งขัน ทำให้ผู้เรียนไม่ได้เป็นเพียงผู้รับฟัง แต่เป็นผู้ลงมือปฏิบัติ, คิด, วิเคราะห์, อภิปราย, และสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กิจกรรม Active Learning หลายกิจกรรมเชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ของการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริง
การได้รับข้อมูลป้อนกลับ ผู้เรียนได้รับข้อมูลป้อนกลับจากครูและเพื่อนร่วมชั้น ทำให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
การทำงานร่วมกัน กิจกรรม Active Learning หลายกิจกรรมส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากเพื่อน, ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน, และพัฒนาทักษะทางสังคม
(ถ้ามี) ผลการวิจัยที่พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning อยู่ในระดับมาก/มากที่สุด แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมเหล่านี้ตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุก, ท้าทาย, และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. สำหรับครูผู้สอน
o ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษและวิชาอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด, รวมถึงทักษะอื่นๆ ของผู้เรียน
o ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและรูปแบบของกิจกรรม Active Learning ต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้กิจกรรมที่เหมาะสมกับเนื้อหา, ระดับความสามารถ, และความสนใจของผู้เรียน
o ควรจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้และแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรม Active Learning
o ควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัย, เป็นกันเอง, และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
o ควรให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการฟังและการพูดได้อย่างต่อเนื่อง
2. สำหรับโรงเรียน
o ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้ครูได้รับการอบรมและพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
o ควรจัดหาทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เช่น สื่อการเรียนรู้, อุปกรณ์, และสถานที่
o ควรส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในกลุ่มครู เพื่อให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้
3. สำหรับผู้บริหาร
o สนับสนุนให้มีการนำ Active Learning มาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง อาจเริ่มจากการนำร่องในบางกลุ่มสาระ หรือบางระดับชั้น
3.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
1. ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย ควรศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น นักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ, นักเรียนในโรงเรียนที่มีบริบทแตกต่างกัน, หรือนักเรียนที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปอ้างอิงได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
2. ศึกษาผลของ Active Learning ต่อตัวแปรอื่นๆ ควรศึกษาผลของ Active Learning ต่อตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการแก้ปัญหา, ทักษะการทำงานร่วมกัน, เจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษ, แรงจูงใจในการเรียนรู้
3. เปรียบเทียบรูปแบบของ Active Learning ควรศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้กิจกรรม Active Learning รูปแบบต่างๆ เพื่อหาว่ากิจกรรมรูปแบบใดมีประสิทธิผลมากที่สุดในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
4. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ Active Learning ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการนำ Active Learning ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ เช่น บทบาทของครู, ลักษณะของผู้เรียน, สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน
5. ศึกษาในระยะยาว ควรติดตามผลการเรียนรู้ในระยะยาว เพื่อศึกษาว่าทักษะการฟังและการพูดที่พัฒนาขึ้นจากการใช้ Active Learning มีความคงทนและสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์จริงในระยะยาวหรือไม่
6. พัฒนาชุดกิจกรรม Active Learning พัฒนาชุดกิจกรรม Active Learning ที่มีเนื้อหาและรูปแบบที่หลากหลาย เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและนักเรียนไทย
เอกสารอ้างอิง
ภาษาไทย
กมลทิพย์ ศรีหาบุตร. (2560). ผลการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
จิราภรณ์ บุญมาก. (2562). ผลการใช้กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2564). รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2564. สืบค้นจาก https://www.eef.or.th/knowledge-290964/
สุดารัตน์ พิมพะสาลี. (2563). การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อส่งเสริมความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2565). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2564. สืบค้นจาก [เว็บไซต์ สทศ. หรือ สพฐ. (ใส่ URL จริง)]
โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม. (2566). รายงานผลการประเมินตนเอง (SAR) ปีการศึกษา 2565. (เอกสารภายในโรงเรียน).
ภาษาอังกฤษ
Bachman, L. F. (1990). Fundamental considerations in language testing. Oxford University Press.
Bonwell, C. C., & Eison, J. A. (1991). Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. ASHE-ERIC Higher Education Report No. 1. Washington, D.C.: The George Washington University, School of Education and Human Development.
Brown, H. D. (2001). Teaching by principles: An interactive approach to language pedagogy (2nd ed.). Longman.
Canale, M., & Swain, M. (1980). Theoretical bases of communicative approaches to second language teaching and testing. Applied Linguistics, 1(1), 1-47.
Crystal, D. (2003). English as a global language (2nd ed.). Cambridge University Press.
Freeman, S., Eddy, S. L., McDonough, M., Smith, M. K., Okoroafor, N., Jordt, H., & Wenderoth, M. P. (2014). Active learning increases student performance in science, engineering, and mathematics. Proceedings of the National Academy of Sciences, 111(23), 8410-8415.
Hake, R. R. (1998). Interactive-engagement versus traditional methods: A six-thousand-student survey of mechanics test data for introductory physics courses. American journal of Physics, 66(1), 64-74.
Michael, J. (2006). Where's the evidence that active learning works?. Advances in physiology education, 30(4), 159-167.
Prince, M. (2004). Does active learning work? A review of the research. Journal of engineering education, 93(3), 223-231.
Richards, J. C., & Rodgers, T. S. (2014). Approaches and methods in language teaching (3rd ed.). Cambridge University Press.