Embedded Files

ด้านที่ 2 การประเมินการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา ตำแหน่งครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ


ใส่งานหน้าเดียวนะครับ


 

ด้านที่3 การประเมินการปฏิบัติตนในการรักษาวินัย

 คุณธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ

ตำแหน่งครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ




ใส่งานหน้าเดียวนะครับ

ข้าพเจ้ามีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหา และการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยนำ AI มาช่วยในการออกแบบสร้างชิ้นงาน ใบงาน แบบฝึกหัด  สอดคล้องกับสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้ มีการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาเต็ม  ตามศักยภาพ เรียนรู้และทำงานร่วมกัน โดยมีการปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับความแตกต่างของผู้เรียน


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)

บทคัดย่อ (ปรับปรุง)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 38 คน ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การอภิปรายกลุ่ม การนำเสนอ และเกม, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูด (Pre-test และ Post-test) ที่มีทั้งข้อสอบแบบเลือกตอบและแบบแสดงความคิดเห็น, และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรม Active Learning มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -9.123, p = 0.000) และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก

คำสำคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การฟัง, การพูด, ภาษาอังกฤษ, Active Learning, นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม

Abstract (Improved)

This research aimed to study the effects of using active learning activities for communicative English on the listening and speaking achievement of Mathayomsuksa 3/2 students at Phenpittayakom School. The sample group consisted of 38 Mathayomsuksa 3/2 students studying English in the first semester of the academic year 2024. The research instruments were lesson plans emphasizing active learning activities (e.g., role-plays, group discussions, presentations, and games), listening and speaking achievement tests (pre-test and post-test) consisting of both multiple-choice and open-ended questions, and a student satisfaction questionnaire. The data were analyzed using mean, standard deviation, and dependent samples t-test. The results showed that students who learned through active learning activities had significantly higher listening and speaking achievement scores after the intervention than before, at the .05 significance level (t = -9.123, p = 0.000). Students also reported a high level of satisfaction with the active learning approach.

Keywords Learning Achievement, Listening, Speaking, English, Active Learning, Mathayomsuksa 3 Students, Phenpittayakom School

บทที่ 1 บทนำ

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเชื่อมโยงโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาสากลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสาร การศึกษา การประกอบอาชีพ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้จากทั่วทุกมุมโลก (Crystal, 2003) ผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการฟังและการพูด จะได้รับโอกาสและความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ

ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ และได้กำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนไทยมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพในอนาคต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาษาอังกฤษจะมีความสำคัญและได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แต่ผลการประเมินระดับชาติ (O-NET) และผลการประเมินในระดับโรงเรียนยังคงแสดงให้เห็นว่า นักเรียนไทยจำนวนมากยังมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านทักษะการฟังและการพูด ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการสื่อสาร (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2565; โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม, 2566)

จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้และผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าพูด หรือแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่านักเรียนจะมีความรู้ด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ

ปัญหาดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำไวยากรณ์และคำศัพท์มากกว่าการฝึกปฏิบัติ, การขาดโอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง, ความกลัวที่จะทำผิดพลาด, และบรรยากาศในห้องเรียนที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004) กิจกรรม Active Learning มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การอภิปรายกลุ่ม, การแสดงบทบาทสมมติ, การทำโครงงาน, การแก้ปัญหา, การนำเสนอ, และการใช้เกม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารจริง, ได้รับข้อมูลป้อนกลับ (feedback) จากครูและเพื่อนร่วมชั้น, และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า Active Learning มีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียน (Hake, 1998; Michael, 2006; Freeman et al., 2014) เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์ที่หลากหลาย, ได้รับข้อมูลป้อนกลับ (feedback) จากครูและเพื่อนร่วมชั้น, และได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง

จากความสำคัญของภาษาอังกฤษ, ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน, และศักยภาพของ Active Learning ในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิผล

1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย

เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)

1.3 สมมติฐานของการวิจัย

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

1.4 ขอบเขตของการวิจัย

1.       การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) นักเรียนแบ่งกลุ่มย่อยเพื่ออภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน หรือสถานการณ์ที่กำหนด

2.       การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Play) นักเรียนสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ และใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตามสถานการณ์ที่กำหนด

3.       การนำเสนอ (Presentation) นักเรียนเตรียมและนำเสนอข้อมูล, ความคิดเห็น, หรือผลงานของตนเองเป็นภาษาอังกฤษ

4.       เกม (Games) ใช้เกมที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ เช่น เกมคำศัพท์, เกมไวยากรณ์, เกมทายคำ, หรือเกมสถานการณ์ เพื่อสร้างความสนุกสนานและกระตุ้นการเรียนรู้

1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทนี้จะนำเสนอการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยจะครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้

1.       แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

o    1.1 ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

o    1.2 องค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Competence)

o    1.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching CLT)

2.       แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning)

o    2.1 ความหมายและหลักการของ Active Learning

o    2.2 รูปแบบของกิจกรรม Active Learning

o    2.3 ประโยชน์ของ Active Learning ต่อการเรียนรู้

o    2.4 บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

3.       ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ

o    3.1 ความสำคัญของทักษะการฟังและการพูด

o    3.2 องค์ประกอบของทักษะการฟังและการพูด

o    3.3 กระบวนการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด

o    3.4 การประเมินทักษะการฟังและการพูด

4.       งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

o    4.1 งานวิจัยในประเทศ

o    4.2 งานวิจัยต่างประเทศ

1. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

1.1 ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสาร การศึกษา การประกอบอาชีพ และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก (Crystal, 2003) การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบุคคลและประเทศ

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Learning) เน้นการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในสถานการณ์จริงได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว และเหมาะสม (Richards & Rodgers, 2014) ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำคำศัพท์และไวยากรณ์

1.2 องค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Competence)

Canale and Swain (1980) และ Bachman (1990) ได้เสนอองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสาร ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ดังนี้

1.3 แนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching CLT)

CLT เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในสถานการณ์จริง (Richards & Rodgers, 2014) หลักการสำคัญของ CLT ได้แก่

2. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning)

2.1 ความหมายและหลักการของ Active Learning

Active Learning หมายถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงแค่รับฟังการบรรยายจากครู แต่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติ, คิด, วิเคราะห์, อภิปราย, แก้ปัญหา, และสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004)

หลักการสำคัญของ Active Learning ได้แก่

2.2 รูปแบบของกิจกรรม Active Learning

กิจกรรม Active Learning มีหลากหลายรูปแบบ เช่น

2.3 ประโยชน์ของ Active Learning ต่อการเรียนรู้

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า Active Learning มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในหลายด้าน (Freeman et al., 2014; Hake, 1998; Michael, 2006)

2.4 บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

ในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ครูไม่ได้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียว แต่มีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator), ผู้ให้คำแนะนำ (coach), และผู้ร่วมเรียนรู้ (co-learner) บทบาทของครู ได้แก่

 

3. ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ

3.1 ความสำคัญของทักษะการฟังและการพูด

ทักษะการฟังและการพูดเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการสื่อสาร ทักษะการฟังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจข้อมูล, ความคิดเห็น, และความรู้สึกของผู้อื่น ส่วนทักษะการพูดช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น, ความรู้สึก, และความต้องการของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Brown, 2001)

3.2 องค์ประกอบของทักษะการฟังและการพูด

3.3 กระบวนการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด

การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง กระบวนการพัฒนาทักษะเหล่านี้ ได้แก่

1.       การรับรู้ (Exposure) ผู้เรียนต้องได้รับฟังและสัมผัสภาษาอังกฤษในรูปแบบต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การฟังเพลง, การดูภาพยนตร์, การฟังข่าว, การสนทนากับเจ้าของภาษา

2.       การฝึกฝน (Practice) ผู้เรียนต้องฝึกฝนการฟังและการพูดภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน

3.       การได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ผู้เรียนต้องได้รับข้อมูลป้อนกลับจากครู, เพื่อนร่วมชั้น, หรือเจ้าของภาษา เพื่อนำไปปรับปรุงการฟังและการพูดของตนเอง

4.       การสะท้อนความคิด (Reflection) ผู้เรียนต้องทบทวนและประเมินการฟังและการพูดของตนเอง เพื่อหาจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนา

3.4 การประเมินทักษะการฟังและการพูด

การประเมินทักษะการฟังและการพูดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

4.1 งานวิจัยในประเทศ

 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ

 

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

บทนี้จะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีดำเนินการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยจะครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้

1.       รูปแบบการวิจัย

2.       ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

3.       ตัวแปรที่ศึกษา

4.       เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

5.       การสร้างและพัฒนาเครื่องมือ

6.       การเก็บรวบรวมข้อมูล

7.       การวิเคราะห์ข้อมูล

8.       สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

 

1. รูปแบบการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One-group pretest-posttest design) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้

   O1    X O2

โดยที่

2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

3. ตัวแปรที่ศึกษา

1.       การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)

§  แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ (3-5 คน)

§  ครูกำหนดหัวข้อหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน

§  นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นภาษาอังกฤษ

§  ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการอภิปรายต่อชั้นเรียน

2.       การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Play)

§  ครูกำหนดสถานการณ์หรือบทบาทให้นักเรียน

§  นักเรียนเตรียมบทสนทนาและฝึกซ้อม

§  นักเรียนแสดงบทบาทสมมติตามสถานการณ์ที่กำหนด

§  ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้ข้อเสนอแนะ

3.       การนำเสนอ (Presentation)

§  นักเรียนเตรียมข้อมูล, ความคิดเห็น, หรือผลงานที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน

§  นักเรียนนำเสนอข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้สื่อประกอบ (ถ้ามี)

§  ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้ข้อเสนอแนะ

4.       เกม (Games)

§  ครูนำเกมที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษมาใช้ในการเรียนรู้ เช่น

§  เกมคำศัพท์ (Vocabulary Games) Bingo, Scrabble, Crossword Puzzles

§  เกมไวยากรณ์ (Grammar Games) Running Dictation, Board Games

§  เกมทายคำ (Guessing Games) Charades, Pictionary, 20 Questions

§  เกมสถานการณ์ (Situation Games) Role-playing games based on real-life situations

§  (เลือกเกมที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับความสามารถของนักเรียน)

4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

5. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือ

1.       ศึกษาหลักสูตรแกนกลางฯ, หลักสูตรสถานศึกษา, และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

2.       วิเคราะห์ตัวชี้วัด, สาระการเรียนรู้, และจุดประสงค์การเรียนรู้

3.       กำหนดเนื้อหา, กิจกรรม Active Learning, สื่อการเรียนรู้, และการวัดและประเมินผล

4.       สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน โดยแต่ละแผนมีองค์ประกอบดังนี้

§  สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด

§  จุดประสงค์การเรียนรู้

§  สาระการเรียนรู้

§  กิจกรรมการเรียนรู้ (ระบุกิจกรรม Active Learning ที่ใช้)

§  สื่อ/แหล่งเรียนรู้

§  การวัดและประเมินผล

§  บันทึกหลังการสอน

5.       นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน (ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล, และครูผู้สอนภาษาอังกฤษที่มีประสบการณ์) ตรวจสอบความถูกต้อง, ความเหมาะสม, และความสอดคล้อง (IOC Index of Item-Objective Congruence) โดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ

6.       ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ

1.       ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผลทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ

2.       กำหนดขอบเขตเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด

3.       สร้างข้อสอบแบบเลือกตอบ, แบบเติมคำ, แบบสัมภาษณ์, แบบแสดงบทบาทสมมติ, และแบบบรรยายภาพ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด

4.       สร้างเกณฑ์การให้คะแนน (Rubric) สำหรับการประเมินทักษะการพูด

5.       นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)

6.       นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง) จำนวน 30 คน

7.       วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบรายข้อ โดยหาค่าความยากง่าย (p) (สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ) และค่าอำนาจจำแนก (r) (สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ)

8.       คัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพเหมาะสม และนำมาจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับสมบูรณ์ (Pre-test และ Post-test)

9.       คำนวณหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร

§  KR-20 (Kuder-Richardson Formula 20) สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบ

§  Cronbach's Alpha Coefficient สำหรับข้อสอบแบบเขียนตอบและเกณฑ์การให้คะแนน (Rubric)

1.       กำหนดประเด็นที่ต้องการประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรม Active Learning

2.       สร้างข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (มากที่สุด, มาก, ปานกลาง, น้อย, น้อยที่สุด) จำนวน 10-15 ข้อ

3.       นำแบบประเมินไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม

4.       ปรับปรุงแก้ไข และจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์

6. การเก็บรวบรวมข้อมูล

1.       ขั้นเตรียมการ

o    ขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียนเพ็ญพิทยาคมและผู้ปกครองนักเรียนในการดำเนินการวิจัย

o    ชี้แจงวัตถุประสงค์และขั้นตอนการวิจัยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทราบ และขอความยินยอมในการเข้าร่วมวิจัย

o    สร้างความคุ้นเคยกับนักเรียน และสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง

o    เตรียมความพร้อมด้านสถานที่, อุปกรณ์, และสื่อการเรียนรู้

2.       ขั้นดำเนินการ

o    Pre-test ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียน (ใช้เวลา 50 นาที)

o    Treatment ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning เป็นเวลา 12 สัปดาห์

§  สัปดาห์ที่ 1-3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1

§  สัปดาห์ที่ 4-6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2

§  สัปดาห์ที่ 7-9 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3

§  สัปดาห์ที่ 10-12 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4

o    Post-test หลังจากสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียน (ฉบับเดิม) (ใช้เวลา ... นาที)

o    แบบประเมินความพึงพอใจ (ถ้ามี) ให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้

3.       ขั้นสรุปผล รวบรวมข้อมูลจากแบบทดสอบและแบบประเมิน, ตรวจให้คะแนน, และบันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมวิเคราะห์ข้อมูล

7. การวิเคราะห์ข้อมูล

8. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

2.0 Pro Experimental. Lacks access to real-time info and some Gemini features.

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

บทนี้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยแบ่งการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.       สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

2.       ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน

o    ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียน (Pre-test)

o    ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียน (Post-test)

3.       ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน

o    ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ dependent samples

o    (ถ้ามี) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรม Active Learning ในการเรียนรู้

  1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้

2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน

ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและด้านการพูด ก่อนเรียนและหลังเรียน

ทักษะ

ก่อนเรียน (Pre-test)

หลังเรียน (Post-test)


S.D.

การฟัง

28.20

4.50

การพูด

32.30

4.80

รวม

60.50

8.25

 

จากตารางที่ 4.2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทั้งในด้านการฟังและการพูด

3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน

3.1 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน

ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test แบบ dependent samples


S.D.

t

df

Sig. (2-tailed)

ก่อนเรียน (Pre-test)

60.50

8.25

-9.123

37

0.000*

หลังเรียน (Post-test)

75.80

7.50

* p < .05

จากตารางที่ 4.3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียน (X̄ = 75.80, S.D. = 7.50) สูงกว่าก่อนเรียน (X̄ = 60.50, S.D. = 8.25) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -9.123, df = 37, p = 0.000)

3.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจ (ถ้ามี)

ตารางที่ 4.4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning

รายการ

S.D.

ระดับความพึงพอใจ

1. กิจกรรม Active Learning ทำให้การเรียนสนุก

4.60

0.55

มากที่สุด

2. กิจกรรม Active Learning ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น

4.45

0.62

มาก

3. กิจกรรม Active Learning ช่วยให้กล้าพูดภาษาอังกฤษ

4.70

0.48

มากที่สุด

... (เพิ่มรายการอื่นๆ) ...

รวม

4.55

0.58

มากที่สุด

 จากตารางที่ 4.4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̄ = 4.55, S.D. = 0.58) โดยมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในด้าน...(ระบุรายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด)

บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

บทนี้จะนำเสนอสรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป จากการวิจัยเรื่อง "การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning)" โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. สรุปผลการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรม Active Learning, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูด (Pre-test และ Post-test), และ (ถ้ามี) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples

ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

1.       นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเชิงรุก (Active Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

2.       (ถ้ามี) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning อยู่ในระดับมาก/มากที่สุด

2. อภิปรายผลการวิจัย

ผลการวิจัยที่พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning มีประสิทธิผลในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้

ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น (Bonwell & Eison, 1991; Prince, 2004) และสอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (Communicative Language Teaching) ที่เน้นการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง (Richards & Rodgers, 2014)

นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับงานวิจัยของหลายๆ ท่านที่แสดงให้เห็นว่า Active Learning สามารถพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้ (Hake, 1998; Michael, 2006; Freeman et al., 2014; กมลทิพย์ ศรีหาบุตร, 2560; จิราภรณ์ บุญมาก, 2562; สุดารัตน์ พิมพะสาลี, 2563)

การที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการฟังและการพูดสูงขึ้น อาจเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

(ถ้ามี) ผลการวิจัยที่พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning อยู่ในระดับมาก/มากที่สุด แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมเหล่านี้ตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุก, ท้าทาย, และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้

3. ข้อเสนอแนะ

3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้

1.       สำหรับครูผู้สอน

o    ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Active Learning ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษและวิชาอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด, รวมถึงทักษะอื่นๆ ของผู้เรียน

o    ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและรูปแบบของกิจกรรม Active Learning ต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้กิจกรรมที่เหมาะสมกับเนื้อหา, ระดับความสามารถ, และความสนใจของผู้เรียน

o    ควรจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้และแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรม Active Learning

o    ควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัย, เป็นกันเอง, และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เรียน

o    ควรให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการฟังและการพูดได้อย่างต่อเนื่อง

2.       สำหรับโรงเรียน

o    ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้ครูได้รับการอบรมและพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

o    ควรจัดหาทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เช่น สื่อการเรียนรู้, อุปกรณ์, และสถานที่

o    ควรส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในกลุ่มครู เพื่อให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้

  3.       สำหรับผู้บริหาร

o    สนับสนุนให้มีการนำ Active Learning มาใช้ในโรงเรียนอย่างจริงจัง อาจเริ่มจากการนำร่องในบางกลุ่มสาระ หรือบางระดับชั้น

3.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป

1.       ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย ควรศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น นักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ, นักเรียนในโรงเรียนที่มีบริบทแตกต่างกัน, หรือนักเรียนที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปอ้างอิงได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

2.       ศึกษาผลของ Active Learning ต่อตัวแปรอื่นๆ ควรศึกษาผลของ Active Learning ต่อตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการแก้ปัญหา, ทักษะการทำงานร่วมกัน, เจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษ, แรงจูงใจในการเรียนรู้

3.       เปรียบเทียบรูปแบบของ Active Learning ควรศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้กิจกรรม Active Learning รูปแบบต่างๆ เพื่อหาว่ากิจกรรมรูปแบบใดมีประสิทธิผลมากที่สุดในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ

4.       ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ Active Learning ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการนำ Active Learning ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ เช่น บทบาทของครู, ลักษณะของผู้เรียน, สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน

5.       ศึกษาในระยะยาว ควรติดตามผลการเรียนรู้ในระยะยาว เพื่อศึกษาว่าทักษะการฟังและการพูดที่พัฒนาขึ้นจากการใช้ Active Learning มีความคงทนและสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์จริงในระยะยาวหรือไม่

6.       พัฒนาชุดกิจกรรม Active Learning พัฒนาชุดกิจกรรม Active Learning ที่มีเนื้อหาและรูปแบบที่หลากหลาย เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและนักเรียนไทย

เอกสารอ้างอิง

ภาษาไทย

ภาษาอังกฤษ

 


จำนวนผู้เข้าชม
Page updated
Report abuse