ระบบปกคลุมร่างกาย (Integumentary system)
หมายถึง ระบบอวัยวะที่ปกคลุมอยู่นอกสุดของร่างกาย อันได้แก่ ผิวหนัง (skin), และอวัยวะที่มีต้นกำเนิดมาจากผิวหนัง (เล็บ ผม/ขน และรูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ) ผิวหนังเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย เป็นตัวแบ่งกั้นอวัยวะ
ภายในออกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก มีหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้ คือ
ป้องกัน (Protection) เนื่องจากผิวหนังอยู่ชั้นนอกสุดของร่างกาย จึงมีหน้าที่เป็นด่านแรกในการเผชิญกับภยันตรายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น แสงแดด (Ultraviolet)
ความร้อน ความเย็น สารเคมี แรงกระทบกระแทก และเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการระเหยของน้ำออกจากร่างกายไม่ให้มากเกินไป
รับความรู้สึก (Sensation) ผิวหนังเป็นอวัยวะรับความรู้สึกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย ประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกเจ็บปวด (pain) ความร้อน-เย็น (Temperature) รับสัมผัส (Touch) และรับความกด (pressure) เป็นต้น
ควบคุมสมดุลความร้อนของร่างกาย (Thermoregulation) โดยอาศัยการทำงานของต่อมเหงื่อ (eccrine sweatglands) ขน (hairs) กลุ่มร่างแหเส้นเลือดฝอยแดง-ดำ ในผิวหนัง และชั้นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง (Subcutaneousadipose tissue) เช่น เวลาที่อุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไป ร่างกายจะระบายความร้อนออกไป โดยการระเหยของเหงื่อจากต่อมเหงื่อ และการขยายตัวของกลุ่มร่างแหเส้นเลือดฝอยแดง-ดำในผิวหนัง แต่ถ้าหากอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมต่ำกว่าร่างกายมาก ร่างกายจะรักษาระดับความร้อนในร่างกายให้คงที่โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อ (Arrector pilimuscles) ที่เกาะอยู่กับรูขุมขน ทำให้เกิดภาวะขนลุกและการหดตัวของกลุ่มร่างแหเส้นเลือดฝอยร่วมกับการเผาผลาญไขมัน ในชั้นใต้ผิวหนังให้เป็นพลังงานความร้อนเพื่อรักษาควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่
ควบคุมระบบเมตตาบอลิสม (Metabolism) ของร่างกาย โดยชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะเป็นแหล่งสะสมพลังงานที่สำคัญของร่างกาย โดยเก็บสะสมไว้ในรูปของ Triglyceride นอกจากนี้เซลล์ในชั้นหนังกำพร้ายังสามารถสร้างวิตามินดีให้กับร่างกาย นอกเหนือจากการเก็บสะสมวิตามินดีที่มาจากการดูดซึมของลำไส้
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย โดยคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 16% ของน้ำหนักตัว มีลักษณะแตกต่างกันตามแต่ละส่วนของร่างกาย ทั้งในโครงสร้าง ความหนา และสีผิวผิวหนังตรงบริเวณที่ต่อเนื่องกับ mucous membrane เรียกว่าmucocutaneous junctions เช่น บริเวณริมฝีปากต่อเนื่องกับเยื่อบุช่องปาก (oral mucosa) บริเวณเปลือกตาที่ต่อเนื่องกับเยื่อบุตาขาว (conjunctiva) บริเวณรูจมูกที่ต่อเนื่องกับเยื่อบุโพรงจมูก (nasal mucosa) บริเวณแคมเล็กที่ต่อเนื่องกับเยื่อบุช่องคลอด (vaginal mucosa) บริเวณปลายอวัยวะเพศชายที่ต่อเนื่องกับเยื่อบุท่อปัสสาวะ (prepuce) และบริเวณทวารหนัก (anus) ที่ต่อเนื่องกับเยื่อบุลำไส้ใหญ่ (rectal mucosa)
เป็นต้น
ผิวหนังประกอบด้วย 2 ชั้น คือ
1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นที่อยู่บนสุด
2. ชั้นหนังแท้ (Dermis หรือ corium) เป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้าใต้ชั้นหนังแท้จะเป็นชั้น Hypodermis หรือ Subcutaneous tissues ซึ่งประกอบไปด้วย เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่กันอย่างหลวมๆ (loose connective tissues) และไขมัน (Adipose tissues) ซึ่งจะมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน ในแต่ละส่วนของร่างกาย
หนังกำพร้า (EPIDERMIS)
Epidermis เป็นชั้นของผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บนสุด มีต้นกำเนิดมาจาก Surface ectoderm ชั้นนี้ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีการเกิด เจริญเติบโตพัฒนาการ และตายลอกหลุดออกไปจากร่างกายตลอดเวลา และเป็นชั้นที่ให้กำเนิดโครงสร้างต่าง ๆ (skin derivatives or appendages) อันได้แก่ ขน รูขุมขน และต่อมไขมันรวมเรียกว่า Pilosebaceousunits ต่อมเหงื่อ (Eccrine Apoeccrine Apocrine apocrine sweat glands) และเล็บ (Nails)ชั้น epidermis มีความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ 0.4 ถึง 1.5 มิลลิเมตร เทียบกับความหนาทั้งหมดของผิวหนัง(skin) ซึ่งมีความหนาเฉลี่ยโดยประมาณ 1.5-4.0 มิลลิเมตร แต่ความหนาของชั้น epidermis นี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณของร่างกาย ทำให้สามารถแบ่งผิวหนังตามความหนาของ epidermis ออกได้เป็น 2 ชนิด คือ