by || กวินธร เสถียร
January 18, 2021
โลกที่เต็มไปด้วยกองขยะ รอการจัดการโดยวอลล์ อี [1]
ในรายวิชาสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา บางภาคการศึกษาผู้สอนพานิสิตออกนอกมหาวิทยาลัย เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ เช่นในปี 2559 มีหัวข้อแผนการสอนเรื่องขยะ นิสิตได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเภท การคัดแยก และการจัดการขยะ จากการศึกษา ณ โรงงานคัดแยกขยะวงษ์พาณิชย์ ในตัวเมือง จังหวัดพิษณุโลก [อ่านเพิ่มใน "ขยะ" ก็มีค่า...เปลี่ยนวิธีคิดดีกว่าว่าอย่าใช้แล้วทิ้ง]
นิสิตส่วนใหญ่ตื่นตาตื่นใจกับการจัดการขยะของโรงงาน ตั้งแต่แลนด์มาร์คป้ายด้านหน้าที่บอกว่า ขยะคือทองคำ ราคารับซื้อขยะ การคัดแยกขยะบนสายพาน การงัดแงะชิ้นส่วนที่ยังคงมีค่าจากซากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่สำหรับผู้สอน อลูมีเนียมแคน (can) นับร้อยที่ถูกบีบอัด คล้ายรูบิค (rubik) ที่ไม่ถูกสลับสี ย้อนเตือนความจำถึง วอลล์ อี หุ่นจิ๋ว หัวใจเกินร้อย ซึ่งคอยเก็บกวาดโลกที่ถูกทิ้งร้างเป็นเพียงซากขยะกองโต ให้กลับมาน่าอยู่ แม้มนุษยชาติจะทิ้งบ้านไปแล้วก็ตาม
วอลล์ อี (Wall.E.) เป็นภาพยนตร์อะนิเมชั่น (animation) แนววิทยาศาสตร์-ผจญภัย ความยาว 98 นาที ออกฉายในปี 2008 เป็นผลงานของดิสนีย์พิกเจอร์ (Disney Picture) ร่วมกับพิกซ่าสตูดิโอ (Pixar Studio) กำกับโดย แอนดรูว์ สแตนตัน (Andrew Stanton) ผู้สร้าง นีโม (Finding Nemo) และ บั๊กส์ ไลฟ์ (A Bug's Life) เขาเป็นผู้เขียนบทร่วมกับ จิม แรดอน (Jim Reardon) ภาพยนตร์เรื่องนี้มีค่าคะแนน IMDb เท่ากับ 8.4 ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมในระดับสูง ในปี 2009 ได้รับรางวัลภาพยนตร์อะนิเมชั่นยอดเยี่ยมจาก 2 สถาบันคือ รางวัลออสการ์ (Oscar) จากสถาบันแห่งศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ และรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe) จากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮอลลีวูด [1, 2] ทั้งอยู่ในลิสต์ 100 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ ที่จัดอันดับโดย BBC ประเทศอังกฤษ [3]รรมชาติ
|| ตัวละครหลัก
วอลล์ อี (Wall.E.: Waste Allocation Land Lifter Earth-Class) หุ่นยนต์ตัวสุดท้ายของโลกที่ยังคงทำงาน มีหน้าที่บีบอัดขยะให้เป็นรูปทรงลูกบาศก์ แม้จะเป็นหุ่นยนต์แต่ทีมผู้สร้างทำให้วอลล์ อี มีบุคลิกและอารม์เช่นเดียวกับมนุษย์
อีฟ (Eve: Extra-Terrestrial Vegetation Evaluator) หุ่นยนต์สำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ต่างๆ ในห้วงจักรวาล เคลื่อนไหวลอยตัวได้อย่างอิสระ มีหน้าที่สแกนและเก็บวัตถุตัวอย่างความเป็นไปได้ของชีวิตกลับมายังยานเอ็กซ์เซียม (Axiom) เพื่อพิสูจน์ว่า ดาวเคราะห์ที่เป็นต้นกำเนิดของวัตถุนั้นมีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการดำรงชีพของมนุษย์
โม (MO: Microbe-Obliterator) หุ่นยนต์ทำความสะอาด เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบล้อ ทำหน้าที่เก็บกวาดสิ่งปนเปื้อนจากต่างดาว รวมถึงรักษาความสะอาดภายในยานเอ็กซ์เซียม
ออโต้ (Auto: The Axiom’s autopilot) หุ่นยนต์ขับเคลื่อนยานเอ็กเซียมอัตโนมัติ และถูกโปรแกรมด้วยคำสั่งลับ ก่อนออกเดินทางจากโลกมนุษย์ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่บนยานทราบ โอโต้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ตามคำสั่งลับ ซึ่งจะไม่หวนกลับไปยังโลก เพื่อประกันว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตต่อไปบนยานเอ็กเซียม
กัปตัน (Captain) ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชายานเอ็กเซียม แม้จะมีอำนาจสูงสุด หน้าที่หลักคือ สื่อสารกับผู้คนบนยาน รายงานสภาพทั่วไปของยาน และตรวจสอบวัตถุที่อีฟเก็บมาจากต่างดาว ชีวิตในแต่ละวันของกัปตันนั้นเรื่อยเฉื่อย จนกระทั่งวอลล์อี เข้ามาในยานเอ็กเซียม
จอห์นและแมรี่ (John and Mary) เป็นตัวแทนประชากรมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนยานเอ็กเซียม ด้วยพึ่งพาเทคโนโลยีทันสมัยของยาน พวกเขาจึงไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เพียงแต่สั่งการผ่านหน้าจอ ทำให้ผู้คนทั้งหมดอยู่ในภาวะอ้วน อุ้ยอ้าย รวมถึงกัปตันเช่นกัน
|| เนื้อเรื่อง
เวลาผ่านไปกว่า 700 ปีแล้ว ที่มนุษย์ละทิ้งบ้าน ออกไปแสวงหาอาณานิคมใหม่ ด้วยโลกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง เมืองมีแต่ซากปรักหักพัง ขยะกองโต มลพิษทางสิ่งแวดล้อมจนชีวิตไม่อาจดำรงอยู่ได้ มนุษย์ที่เหลือรอดจึงเดินทางสู่ห้วงอวกาศ อาศัยบนยานเอ็กซ์เซียม สร้างโดยบริษัทบายเอ็นลาร์ก (B-n-L: Buy N Large) ซึ่งเหมือนจะเป็นผู้จัดการทุกสิ่งอย่างบนโลก เดิมทีเอ็นลาร์กกำหนดแผนปฏิบัติการบิ้กคลีนนิ่งโลกเป็นเวลา 5 ปี โดยมีหุ่นยนต์เก็บกวาด แต่เมื่อขยะมีมากเกินไป ทั้งโลกก็บอบช้ำเกินฟื้นคืนสภาพ หุ่นยนต์ต่างก็หมดพลังงาน มนุษย์หลายๆ รุ่นคนจึงยังอยู่อาศัยบนยานเอ็กซ์เซียม
บนโลก...วอลล์ อี หุ่นยนต์จิ๋ว ยังคงกางแผงโซลาร์เซลล์รับพลังงานแสงอาทิตย์ ขับเคลื่อนตัวเอง บีบอัดซากขยะเป็นทรงลูกบาศก์ เก็บขนวางซ้อนเป็นชั้นๆ กองสูงจนเป็นตึกระฟ้า การทำงานแต่ละวัน จะมีแมลงสาบตัวจ้อยตามติดเป็นเพื่อนร่วมทาง หากพบสิ่งของที่พอใช้การได้ ส่วนใหญ่เป็นอะไหล่ ไม่ก็ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ วอลล์ อี จะเก็บมาคัดแยกในรถบรรทุกขยะ ซึ่งเป็นที่อยู่ ที่หลบภัย ด้วยสภาพอากาศภายนอกแปรปรวนตลอดเวลา และรุนแรงขั้นเกิดเป็นพายุทะเลทราย...ขณะสำรวจกองขยะแห่งหนึ่ง วอลล์ อี พบวัตถุประหลาด สมองกลไม่อาจจำแนกประเภทได้ รู้เพียงว่าสิ่งนั้นต้องการดินและการดูแล วอลล์ อี กอบขึ้นมาใส่ในรองเท้าบูทเก่าที่มีเศษดิน และนำกลับมาที่รถบรรทุก
อีฟตามไปช่วยวอลล์ อี และพากลับเข้ายานเอ็กซ์เซียมเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ [1]
เช้าวันหนึ่ง เกิดลำแสงประหลาดบนพื้นดิน มันคือยานสำรวจของเอ็กซ์เซียมที่เดินทางกลับมายังโลก และปล่อยอีฟ หุ่นยนต์สำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ต่างๆ บินค้นหาตัวอย่างสิ่งมีชีวิต เมื่อวอลล์ อี เจออีฟ ก็เหมือนรักแรกพบ เขาพยายามทำความรู้จัก ผูกมิตร และมอบรองเท้าบูทให้เป็นของขวัญ อีฟสแกนรองเท้าบูทและรู้ว่านั่นคือ พืช (plant) ตัวแทนการมีอยู่ของชีวิต อีฟจึงเก็บไว้ในช่องด้านหน้า และปรับตัวเข้าสู่โหมดจำศีล รอการกลับมาของยานสำรวจ ระหว่างนั้น วอลล์ อี สับสน แต่ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
หลายวันถัดมา ยานสำรวจกลับมารับอีฟ วอลล์ อี ติดตามขึ้นไปด้วย จนไปถึงยานเอ็กซ์เซียม อีฟถูกส่งไปพบกัปตันแม็คครี (McCrea) (กัปตันรุ่นที่ 6 เริ่มควบคุมยานในปี 2775) เพื่อยืนยันวัตถุที่เก็บกลับมา ระหว่างนั้น โม (Mo) หุ่นยนต์กำจัดสิ่งปนเปื้อนตรวจพบว่า วอลล์ อี เต็มไปด้วยฝุ่นดิน โมจึงตามติดเพื่อเช็ดทำความสะอาด...บนสายพานไปยังศูนย์ควบคุม วอลล์ อี พบแมรี่ และจอห์น มนุษย์ร่างอ้วน ที่ตกจากรถเลื่อนโดยบังเอิญ เขาอุ้ยอ้ายเกินไป วอลล์ อี จึงช่วยพยุงกลับขึ้นรถ ขณะที่คนอื่นๆ เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ตรงหน้า
วอลล์ อี ตามอีฟไปจนถึงศูนย์บัญชาการ ซึ่งออโต้ ระบบควบคุมยานอัตโนมัติ และโกเฟอร์ (Gopherbot) หุ่นยนต์บริการได้ตรวจสอบอีฟล่วงหน้าแล้ว เมื่อกัปตันขึ้นมาบนห้อง และเปิดระบบอีฟ คอมพิวเตอร์รายงานว่า การค้นพบตัวอย่างพืชพิสูจน์ว่า โลกฟื้นคืนสมดุลแล้ว มนุษย์สามารถกลับไปสร้างอาณานิคมได้ แต่เมื่อสแกนตัวอีฟกลับไม่พบพืช กัปตันจึงส่งทั้งสองไปยังแผนกซ่อมแซม ระหว่างนั้นกัปตันค้นข้อมูลเกี่ยวกับโลก ซึ่งเขาไม่รู้จัก เพราะเติบโตอยู่บนยาน...ที่แผนกซ่อมแซม วอลล์ อี คิดว่าอีฟอยู่ในอันตรายจึงพังกระจกเข้าไปช่วย หุ่นยนต์เพี้ยนหลายตัวจึงหลุดออกมา เมื่อสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น หุ่นยนต์ตรวจการณ์ประกาศให้ทั้งสองเป็นตัวอันตราย...อีฟจึงพาวอลล์ อี หนีมาที่พ็อด (pod) หรือจุดปล่อยกระสวย เพื่อส่งวอลล์ อี กลับโลก แต่บังเอิญเจอโกเฟอร์แอบนำพืชมาทำลาย แต่วอลล์ อี เก็บรักษาพืชไว้ได้
อีฟและวอลล์ อี กลับเข้ายานเอ็กซ์เซียมไปพบกัปตันและมอบพืชให้เขา กัปตันตั้งเป้าว่าจะเดินทางกลับโลก แต่ออโต้ปฏิเสธ โดยยึดตามคำสั่งลับที่ยกเลิกการกลับไปตั้งอาณานิคมบนโลก และให้มนุษย์ท่องในอวกาศต่อไป ทั้งที่คำสั่งนั้นประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2110 กัปตันสั่งให้อีฟนำพืชไปใส่ในแท่นยืนยันสิ่งมีชีวิต เพื่อกำหนดเส้นทางกลับโลก ออโต้เข้าขัดขวาง จัดการกับอีฟและวอลล์ อี ผลักลงไปยังแผนกกำจัดขยะ แต่ด้วยความช่วยเหลือของโม พร้อมๆ กับหุ่นยนต์เพี้ยน ทั้งสองจึงหลุดออกมาได้และมุ่งหน้าไปยังแท่นยืนยัน ออโต้ควบคุมยานให้ยากต่อการใส่พืช แต่กัปตันยืนหยัดต่อสู้และปิดระบบการทำงานของออโต้ ระหว่างนั้น วอลล์ อี ต้องคานแรงเค้นของแท่นยืนยัน จนระบบคอมพิวเตอร์เสียหายอย่างหนัก ขณะที่จอห์น แมรี่ และคนอื่นๆ ร่วมมือกันส่งพืชไปยังแท่นยืนยัน ยานจึงถูกตั้งโปรแกรมเดินทางกลับมายังโลก...
|| บทวิเคราะห์
ผู้ชมบางคนอาจมองว่า วอลล์ อี เป็นเพียงเรื่องแต่ง (fiction) เสริมจินตนาการ แต่สำหรับผู้เขียน ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าข่ายสาระบันเทิง (non-fiction / edutainment) ความบันเทิงที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องคือ การสร้างหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นตัวละครหลักทั้ง วอลล์ อี, อีฟ, ออโต้ ให้มีอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และมีบุคลิกอย่างมนุษย์ เช่น วอลล์ อี ถูกโปรแกรมให้มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สนใจสิ่งเร้ารอบตัว โหยหาความรัก ใช้เวลาแต่ละคืนเรียนรู้การแสดงอารมณ์ และพฤติกรรมมนุษย์จากเรื่อง Hello, Dolly (1969) โดยเฉพาะช่วงเพลง Put on your sunday clothes และ It only take a moment นอกจากนั้น เขายังเป็นนักสะสม โดยเฉพาะอะไหล่ และสิ่งของเหลือทิ้งๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อย่างไร พฤติกรรมเก็บสะสม การตีค่าของขวัญ (เช่นที่ วอลล์ อี มอบต้นไม้ให้อีฟ) สอดคล้องกับสิ่งที่ซิกเซ็นไมฮาวและฮอลตัน (Csikszentmihalyi & Halton) [4] อธิบายในงานเขียนเรื่อง ความหมายในสรรพสิ่ง (The meaning of things) ว่าเป็นพฤติกรรมของชนชั้นกลางชาวอเมริกันในช่วงปี 1977 ที่ให้คุณค่ากับสิ่งของ (value of goods) ซึ่งลักษณะดังกล่าวคือ ส่วนหนึ่งของสังคมแบบบริโภคนิยม (consumer society)
ความน่าสนใจอีกประการคือ การใช้อวัจนภาษาหรือภาษาท่าทาง (nonverbal communication) ซึ่งในช่วงแรกของเรื่องยังไม่มีบทพูดของตัวละครที่เป็นมนุษย์ หรือคำบรรยายเหตุการณ์ เว้นแต่เสียงจากโทรทัศน์/ป้ายโฆษณา ผู้ชมต้องตีความจากภาษาภาพ (visual image) เสียงของหุ่นยนต์ และภาษาท่าทางที่วอลล์ อี และอีฟสื่อสารกันเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาต่อการเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละคร และความต่อเนื่องของเรื่องราว การพัฒนาเสียงหุ่นยนต์ในเรื่องเป็นผลงานของ เบ็น เบิร์ท (Ben Burtt) ผู้สร้างเสียงตัวละครจากเรื่อง E.T: Extra-Terrestrial (1982), Indiana Jones and the Last Crusade (1989) รวมถึงเสียงของ R2-D2 หุ่นยนต์จากเรื่อง Star Wars (1977) [5]
ส่วนสาระที่ภาพยนตร์นำเสนอ พบได้ในฉากต้นเรื่อง แสดงถึงปัญหาขยะมูลฝอยตกค้าง ของเสีย ของเหลือใช้ แม้แต่แหวนเพชรที่วอลล์ อี พบก็ไม่มีค่า กลายเป็นขยะรอกำจัด ปริมาณขยะจำนวนมหาศาล ถึงขั้นล้นโลก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะความเป็นพิษในดิน น้ำ และอากาศ มนุษย์ไม่สามารถทำการเกษตร ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกได้อีกต่อไป ภาวะดังกล่าวคือลักษณะสังคมแบบดิสโทเปีย (dystopian, สังคมสิ้นหวัง) เช่นเดียวกับ Interstellar (2014) ซึ่งโลกเกิดสภาพภัยแล้งรุนแรง โรคระบาด จนมนุษย์ต้องเดินทางข้ามดวงดาวเพื่อค้นหาดาวอาณานิคมใหม่ น่าแปลกที่เรื่องราวของวอลล์ อี ในปี 2008 กลับดูเรียลลิตี้สอดคล้องกับสถานการณ์ขยะในปัจจุบัน การคัดแยก (sorting) การรีไซเคิล (recycling) และการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) เป็นวิธีการสำคัญในการแก้ปัญหาที่วอลล์ อี สื่อให้เห็นอย่างแจ่มชัด
ขณะที่มนุษย์บนยานเอ็กซ์เซียมอยู่ในสภาพสังคมแบบยูโทเปีย (utopian, สังคมอุดมคติ) ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ฟุ้งเฟ้อ หรูหรา พึ่งพาเทคโนโลยีเต็มสูบ ผ่านจอทัชสกรีน การใช้คำสั่งเสียง หุ่นยนต์บริการ แต่ผู้คนบนยานก็ยังสร้างปัญหาต่อเนื่อง ปล่อยขยะทิ้งสู่ห้วงอากาศ กล่าวได้ว่า มนุษย์ยังติดอยู่กับ “ภาวะนิมบี้” (NIMBY: not in my back yard) ไม่ต้องการเผชิญหน้าหรือจัดการกับปัญหาที่ตัวเองก่อไว้
มนุษย์บนยานเอ็กซ์เซียมพึ่งพาเทคโนโลยีเต็มขั้นจนไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอีกเลย [1]
วอลล์ อี ยังแสดงถึงการควบคุมผูกขาด (monopolistic corporation) หรือรวบอำนาจในระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยบายเอ็นลาร์ก หรือ B-n-L ซึ่งโลกอดีต เชลบี้ ฟอร์ทไรท์ (Shelby Forthwright) ซีอีโอของบริษัทเป็นผู้ควบคุม ส่วนโลกอนาคต แม้กัปตันแม็คครีจะเป็นผู้บังคับบัญชายาน แต่ในภารกิจลับ ออโต้ หุ่นยนต์ของ B-n-L กลับมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ บายเอ็นลาร์กอาจเทียบได้กับรัฐ หรือบริษัทธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมระบบเศรษฐกิจ รวมถึงกำหนดพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการกระตุ้นการรับรู้ของผู้คนในสังคมบริโภคนิยม ผ่านโฆษณาชวนเชื่อถึงความสะดวกสบายที่หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีจะอำนวยให้
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้ชีวิตบนยานเอ็กซ์เซียมจะเป็นวิถีทันสมัยในสังคมอุดมสุข แต่วอลล์ อี สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนแทบจะอยู่ในสภาพง่อยเปลี้ย เพราะไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เว้นแต่ขยับปากสั่งการ แม้หนังจะไม่บอกตรงไปตรงมาว่า ผู้คนบนยานมีปัญหาสุขภาพ แต่ด้วยน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ย่อมมีความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อหรือกลุ่มโรคเอ็นซีดี (NCDs: non-communicable diseases) อย่างโรคอ้วน (obesity), โรคเบาหวาน (diabetes Mellitus) โรคหลอดเลือดอุดตัน (stroke) การพึ่งพาเทคโนโลยีเต็มขั้น ความนิยมในวัตถุสิ่งของตามกระแสบริโภคนิยม และไร้ซึ่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (impersonal) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการ หรือความถดถอยของอารยธรรมมนุษย์ (degradation of civilization) เช่นงานศึกษาของ บัลลอกก์ และลินด์เฟลซ (Burroughs & Rindfleisch, 2002) [6] กล่าวถึง การให้ความสำคัญในวัตถุสิ่งของ (ถึงขั้นหลงไหล) จะส่งผลต่อการลดทอนคุณค่าในสิ่งอื่นที่สังคมยอมรับ (collective-oriented value) (ตัวอย่างเช่น นิสิตบางคนติดเกม เมื่อครอบครัวชวนเข้าวัดอาจปฏิเสธ นั่นเพราะให้คุณค่ากับการเล่นเกมมากกว่า ทั้งที่การเข้าวัด เป็นคุณค่าที่ชาวพุทธยึดถือ)
ในท้ายที่สุด เมื่อยานเอ็กซ์เซียมลงจอดบนโลก ผู้คนบนยานต้องกลับสู่จุดเริ่มต้นแรก (first steps) ในวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติตั้งแต่ยืนสองขา (ซึ่งอันที่จริงวอลล์ อี สื่อให้เห็นตั้งแต่ฉากที่กัปตันลุกขึ้นยืนต่อสู้กับออโต้) การใช้ไฟ การเริ่มต้นเพาะปลูก การตั้งอาณานิคมฟื้นคืนสภาพเมือง ประเด็นดังกล่าว เสมือนวัฏจักร (cyclical process) ของพัฒนาการทางอารยธรรม สอดคล้องกับแนวคิดของ วีโก้ (Giambattista Vico, 1725) ปราชญ์ชาวอิตาลี ที่กล่าวไว้ในงานเขียนเรื่อง The New Science [7] ว่า สภาพสังคมที่มุ่งหมายสู่ความสมบูรณ์นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น มนุษย์อาจหวนคืนสู่สังคมแบบดั้งเดิม (primative condition) หรือเป็นการทบทวนประวัติศาสตร์ (ความสำเร็จ ความล้มเหลว) ของตนเอง เครดิตปิดท้ายเรื่องจึงปรากฏภาพเขียนสีบนผนังถ้ำของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ พิระมิดของอียิปต์ ภาพศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ (French impressionist) และวิดีโอเกมในยุค 1980 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอารยธรรมที่เคยรุ่งโรจน์
|| อ้างอิง
[1] Disney/Pixar. (n.d.). WALL.E.
[2] IMDb. (2008). WALL.E.
[3] BBC. (2016). The 21st Century’s 100 greatest films.
[4] Csikszentmihalyi, M., & Rochberg-Halton, E. (1981). The Meaning of Things: Domestic Symbols and the Self. Cambridge, England: Cambridge University Press.
[5] Zinkhan, G. M., & Drenten, M. J. (2008). Future Technology, Consumerism, and the Human Condition: A Review of Wall-E (2008). PsycCRITIQUES, 53.
[6] Burroughs, J. E., & Rindfleisch, A. (2002). Materialism and Well‐Being: A Conflicting Values Perspective. Journal of Consumer Research, 11(4), 887-897.
[7] Costelloe, T. (2018). Giambattista Vico.