by || กวินธร เสถียร
July 7, 2021
ในโลกแห่งจินตภาพ เราพบเห็นเหล่าฮีโร่ (hero) หรือซุปเปอร์ฮีโร่ (superhero) ผู้มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ โลดแล่นบนภาพยนตร์นับครั้งไม่ถ้วน บางคนอาจนึกถึงเจ้าชายซัลวาแห่งแคว้นวากานด้า จากแบล็กแพนเทอร์ (Black Panther, 2018) หรือ คลาร์ก เค้นต์ (Clark Kent) ผู้มีเบื้องหน้าเป็นนักข่าวประจำเดลีย์ พลาเน็ต เบื้องหลังเมื่อถอดแว่นเขากลับกลายเป็นซุปเปอร์แมน (Superman, 2006; Man of Steel, 2013; Batman v Superman: Dawn of Justice, 2016)
แต่ในโลกความจริง ไม่บ่อยครั้งนักที่แวดวงภาพยนตร์จะนำเสนอเรื่องราวของคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ในฐานะนักดับเพลิง (firefighting) ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบขั้นสูงสุด เพื่อปกป้องผู้คนและชุมชนของพวกเขา โดยไม่พึงนึกถึงชีวิตตนเอง ไม่มีพลังพิเศษหรือวิเศษใดมากไปกว่ากำลังใจและความหาญกล้า “Only the Brave” คือ หนึ่งในภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเหตุการณ์จริงของวีรบุรุษที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไฟป่าในรัฐแอริโซน่า สหรัฐอเมริกา และเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์นักผจญเพลิง ภายหลังเหตุการณ์ 9/11 นั่นคือ เหตุการณ์ไฟป่าแห่งภูเขายาแนล (Yarnell Hill Fire)
เดิมที ไลออนเกตส์ (Liongate) บริษัทผู้สร้างตั้งชื่อเรื่องตามสถานที่เหตุการณ์คือ “Granite Mountain” มีกำหนดฉายในวันที่ 22 กันยายน 2017 หลังจาก Wonder (7 เมษายน) และ How to be a Latin Lover (28 เมษายน) แต่ด้วยไม่ลงตัวในข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิ์การเผยแพร่ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาที่โคลัมเบียพิคเจอร์ (Columbia Pictures) จึงเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Only the Brave และกำหนดวันฉายใหม่ในสหรัฐคือ 20 ตุลาคม (ในประเทศไทย 9 พฤศจิกายน) [2][3]
Only the Brave (2017) (คนกล้าไฟนรก) เป็นภาพยนตร์ดราม่า-ตื่นเต้น-ชีวประวัติ จัดในเรท PG13 (มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี ควรรับชมภายใต้คำแนะนำของผู้ปกครอง) กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski) ผู้มีผลงานไซไฟ (Sci-Fi) จากเรื่อง Tron : Legacy (2010) และ Oblivion (2013) เขียนบทโดย เคน โนแลน (Ken Nolan) และ อีริค วอร์เรน ซิงเกอร์ (Eric Warren Singer) ซึ่งพัฒนามาจากบทความเรื่อง “No Exit” (ไร้ทางหนี) (2013) ที่เผยแพร่ในนิตยสาร GQ โดย ฌอน ฟลินน์ (Sean Flynn) [4]
นักแสดงนำในเรื่อง ได้แก่ จอช โบรลิน (Josh Brolin) หรือผู้รับบท ธานอส (Thanos) ใน Avengers: Infinity War(2019) และเป็นผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ (Oscar 2009) สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากเรื่อง Milk (2008) ร่วมกับ ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller), เจฟฟ์ บริดเจส (Jeff Bridges), เทย์เลอร์ คิตช์ (Taylor Kitsch), และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ (Jennifer Connelly)
ภายหลังเข้าฉายที่สหรัฐ แม้ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ ส่วนหนึ่งเพราะชาวอเมริกันคุ้นเคยและผูกพันกับผู้มีอาชีพนักผจญเพลิง แต่รายได้จากโรงฉายภาพยนตร์ทั่วโลกกลับได้เพียง 26.3 ล้าน USD สวนทางกับงบลงทุนสร้างที่ใช้ไปราว 38 ล้าน USD [5]
|| เรื่องย่อ
พื้นที่รัฐแอริโซน่า (Arizona) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ มักเผชิญภัยธรรมชาติจากไฟป่า (wildfires) ต่อเนื่องเป็นประจำ ในปี 2007 ที่เมืองเพรสคอต (Prescottt) ห่างจากฟีนิกซ์ (Phoenix) เมืองหลักของแอริโซน่าไปทางเหนือราว 160 กิโลเมตร อีริค มาร์ช (Eric Marsh) (รับบทโดย จอช โบรลิน) หัวหน้าหน่วยผจญเพลิงของเมืองรู้สึกไม่พอใจเมื่อทีมปฏิบัติการที่ 1 (Type 1) หรือ หน่วยฮอตช็อต (Hotshot) (อาจเรียกว่า หน่วยซีล (ZEALs ของนักผจญเพลิง) ซึ่งเป็นด่านหน้าในการเผชิญเหตุไฟป่า ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา ซึ่งคุ้นเคยกับพื้นที่ดีกว่า
ภายหลังหน่วย Hotshot ลดระดับความรุนแรง ควบคุมไม่ให้แนวไฟกระจายวงกว้างออกไปได้สำเร็จ มาร์ชซึ่งเป็นทีมปฏิบัติการที่ 2 (Type 2) จึงเข้าพื้นที่จัดการส่วนที่เหลือ เมื่อเขาถูกดูหมิ่นโดยหน่วย Hotshot ส่วนกลาง เขาจึงต้องการพัฒนาให้ทีมของตนเองมีฐานะเป็นหน่วย Hotshot จึงขออนุมัติจากนายกเทศมนตรีของเมืองเพรสคอต ก่อตั้งหน่วย Hotshot ประจำเมืองเพื่อจัดการไฟป่า โดยไม่ต้องรอส่วนกลาง แต่การพัฒนาทีมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ลูกทีมทุกคนต้องผ่านการรับรองคุณสมบัติ เขาจึงเริ่มเฟ้นหาสมาชิก ซึ่งโดนัล (Brendan McDonough) (รับบทโดย ไมลส์ เทลเลอร์) ชายหนุ่มที่ชีวิตไร้ทิศทาง ตัดสินใจเข้าร่วมการคัดเลือก เพื่อสร้างความมั่นคงแก่ครอบครัว และเพื่อลูกสาวที่กำลังจะลืมตาดูโลก แม้ระยะแรกเขาจะไม่ลงรอยกับคนอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการยอมรับในที่สุด สมาชิกทุกคนต้องเข้ารับการฝึกอย่างเข้มงวด เรียนรู้เครื่องมือ วิธีจัดการไฟป่า จนสามารถก่อตั้งทีมได้สำเร็จ
เส้นทางจากเมืองเพรสคอตไปยังบริเวณที่เกิดไฟป่ายาแนล ระยะทาง 33.9 ไมล์
การทำงานของหน่วย Hotshot เพื่อจัดการไฟป่าเป็นไปอย่างท้าทาย แต่พวกเขาได้พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานในพื้นที่ต่าง ๆ ในรอบฤดูไฟป่า กระทั่งบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2013 เกิดไฟป่าบริเวณไหล่เขายาแนล ด้านตะวันตกของเขตอนุรักษ์แกรนิตเมาแท่น (Granite Mountain Wilderness) เนื่องจากฟ้าผ่าจนประกายไฟลุกลามไหม้เป็นวงกว้าง หน่วยดับไฟป่าในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงหน่วย Hotshot นำโดยมาร์ชพร้อมลูกทีมรวม 20 นาย ได้เข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อปกป้องชุมชนยาแนล และเขตอนุรักษ์แกรนิตเมาแท่น จนกลายมาเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญสำหรับชุมชนยาแนล เมืองเพรสคอต และสำหรับเจ้าหน้าที่ผจญเพลิงทั่วประเทศ
|| ประเด็นสำคัญ
ภาพทีมนักดับเพลิงยืนมองกลุ่มควันพวยพุ่งจากภูเขาตรงหน้า อย่างที่ปรากฏบนโปสเตอร์ หรือภาพเศษเถ้าปะทุลอยขึ้นทีละน้อย ก่อนที่ความมืดมิดของป่าจะถูกแทนที่ด้วยเปลวเพลิงในตัวอย่างภาพยนตร์ (Trailer) ภาพดังกล่าวสื่อนัยว่า เมื่อเป็นหนังที่เล่นกับไฟ ผู้ชมอาจได้เห็นเทคนิคการถ่ายทำที่ลุ้นระทึก เร้าอารมณ์ ผ่านฉากเปลวไฟที่กระพือโหม การหนีเอาตัวรอด และการหาหนทางดับไฟ เช่นหนังยุคก่อนอย่าง Backdraft (1991) และ Ladder 49 (2004) แต่ดูเหมือน Only the Brave ไม่ได้ให้ภาพทำนองนั้นมากนัก สิ่งที่หนังสร้างการจดจำต่อผู้ชมคือ [6] การสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตการทำงานของนักผจญเพลิงที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งไม่เพียงปกป้องดูแลเมืองเท่านั้น ชีวิตเบื้องหลังเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ของสมาชิกในทีม อย่างที่เห็นระหว่างมาร์ชกับแบรนเดน และความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างมาร์ชกับอแมนด้า (รับบทโดย เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่) เป็นประเด็นที่หนังเลือกให้ความสำคัญมากกว่า
ตัวละครอย่างอแมนด้าและนาตาลี (Natalie Hall) ภรรยาของโดนัล แม้ปรากฏในฉากและมีบทสนทนาไม่มากนัก แต่บทบาทของพวกเธอก็ทำให้เข้าใจตัวตนของมาร์ชและโดนัล เช่นตอนที่พวกเขากลับถึงบ้าน เป็นไปตามแบบฉบับหนังสงครามคลาสสิค ผู้ชมจะเห็นภาพทหาร เอาชีวิตรอดจากแนวหน้าสงคราม กลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัว (home frome line) การเฝ้ารอ และเห็นคนรักกลับบ้าน คือรายละเอียดเล็ก ๆ แต่โนแลน ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ซึ่งมีผลงานเขียนบทก่อนจากเรื่อง Black Hawk Down (2001) ได้วางองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สะท้อนถึง ความรัก ความหวัง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวไว้ด้วย
การที่ผู้กำกับโคซินสกี้เลือกถ่ายทอดภูมิหลังตัวละคร และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในครอบครัว ก็เพื่อปูทางไปสู่การสร้างความกดดันในตอนท้าย ซึ่งไม่เพียงแต่ความยากลำบากที่หน่วย Hotshot ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่าเท่านั้น ครอบครัวเบื้องหลังก็เผชิญกับภาวะบีบคั้นเช่นกัน สถานการณ์ไฟป่าและอารมณ์ความรู้สึกของครอบครัวจะยิ่งถาโถมใส่ผู้ชม จนสะเทือนใจร่วมไปกับตัวละคร [7]
นอกจากประเด็นความสัมพันธ์ของหน่วย Hotshot ผู้ชมยังได้เห็นเกร็ดเรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ การปกป้องต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่าพันปีคือ ต้นสนจูนิเปอร์ (juniper) ให้รอดพ้นจากไฟป่า (ก่อนเหตุการณ์ไฟป่ายาแนล) ซึ่งต่อมาต้นสนจูนิเปอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่รำลึกถึงหน่วย Hotshot เกร็ดเรื่องอีกประเด็นคือ การแสดงให้เห็นยุทธวิธีการจัดการไฟป่าที่หลากหลาย ตั้งแต่การสกัดกั้น การเบี่ยงทิศทางไฟ การขุดดินทำแนวกันไฟ การตัดฟันกิ่ง/ชิงเผาต้นไม้กำจัดเชื้อเพลิง โดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน (hand tool) เช่น ขวานขุด (fire axes), ครอบไฟ (hoe), พลั่วไฟ (shoveles), คราด/ง้าว (rogue fire), คบจุดไฟ (drip torch) การดับไฟโดยโรยท่อสูบน้ำจากสระน้ำในบ้านพลเรือนด้วยเฮลิคอปเตอร์ การใช้เครื่องบินโปรยสารเคมี และการใช้เต็นท์กันไฟ (fire shelters)
แม้ไฟป่าเขตภูเขายาแนลจะคลี่คลายได้ในท้ายที่สุด แต่ไฟก็จะปะทุขึ้นอีกครั้งในฤดูกาลถัดไป ไม่เคยสิ้นสุด พื้นที่อื่น ๆ ของสหรัฐ รวมถึงพื้นที่ป่าไม้ทั่วโลก ก็ประสบปัญหาไฟป่าอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งสาเหตุจากธรรมชาติ และสาเหตุจากมนุษย์เอง กรณีที่ร้ายแรงเช่น ไฟป่าแคมป์ไฟร์ (Camp Fire) เขตชุมชนบัตตี้เคาตี้ (Butte County) ในปี 2018 ถือเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแคลิฟอร์เนีย [9] และต่อมาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Fire in Paradise - ไฟป่าผลาญเมืองสวรรค์ (2019, Netfix) และยังมีสารคดีชุดเกี่ยวกับการทำงานของนักผจญเพลิงเพื่อไล่ล่าดับไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์จากเรื่อง Fire Chasers (2017, Netfix), วิกฤตไฟป่าในประเทศออสเตรเลีย (2019-2020) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ล้านไร่ ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรีย [10] ส่วนในประเทศไทย ไฟป่าก็เป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน [11] และพื้นที่ภาคใต้ (ป่าพรุควนเคร็ง, นครศรีธรรมราช และป่าพรุโต๊แดง, นราธิวาส) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปัญหาหมอกควันตามมา...
การรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จาก Only the Brave ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ ความรุนแรง และผลกระทบจากไฟป่า แต่ยังทำให้เราเห็นเบื้องหลังชีวิต และการทำงานของพวกเขา สำหรับคนทั่วไป ไฟป่าคือหายนะภัย (disaster) ที่สร้างอันตรายต่อชีวิต ชุมชน และสภาพแวดล้อม แต่สำหรับนักผจญเพลิงโดยเฉพาะหน่วย Hotshot ภาพโปสเตอร์แรกที่ผู้เขียนเลือกมา และฉากหนึ่งจากเรื่องน่าจะสื่อความหมายได้ชัดเจนที่สุด เปลวไฟที่ลุกไหม้ คือหน้าที่ที่พวกเขาต้องจัดการให้ดับสิ้น แม้สถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด หรืออันตรายใดจะเกิดขึ้นตรงหน้า...ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน (It's not what stands in front of you, it's who stands beside you
|| อ้างอิง
[1] Klamath Falls News. (2019). Science on Screen: "Only the Brave" at RRT.
[2] Pedersen, E. (June 7, 2016). Lionsgate Dates ‘Granite Mountain’, ‘Wonder’ & ‘How To Be A Latin Lover’ For 2017.
[3] SF. (2560). ทีมนักแสดงชั้นยอด สู่บทบาทจากเรื่องจริงสุดระอุใน Only The Brave.
[4] Flynn, S. (2013). No Exit: The GQ Story That Inspired Only the Brave.
[5] iMDB. (2017). Only the Brave.
[6] Hoffman, J. (October 11, 2017). Only the Brave review – Jeff Bridges firefighter drama only just heats up.
[7] Derek Smith. (2017). Review: Only the Brave.
[8] Stettler, D. (2017). Only the Brave: Brave Operating.
[9] Baldassari, E. (2018). Camp Fire death toll grows to 29, matching 1933 blaze as state’s deadliest.
[10] BBC NEWS. (2563). ไฟป่าออสเตรเลีย : วิกฤตใหญ่ที่เผาผลาญพื้นที่ 2 รัฐไปแล้วกว่า 30 ล้านไร่ นับแต่กลางปีที่แล้ว
[11] ไทยพีบีเอส. (2564). ส่ง ฮ.เร่งดับ #ไฟป่าเชียงใหม่ “สะเมิง - ดอยสะเก็ด”