ข่าวดังตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องด.ญ. คนหนึ่ง อายุเพียง 3 ขวบที่หายออกไปจากบ้าน.. ต่อมาพบเป็นศพอยู่บนภูเขาสูงห่างจากบ้านขึ้นไปราว 3 กิโลเมตร..
ตอนแรก ผมก็สนใจนะครับว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร.. ก็เลยติดตามดูข่าวทางสื่อมวลชนต่างๆ..
ข้อเท็จจริงในฐานะสื่อที่ควรนำเสนอโดยไม่ชี้นำสังคม.. คือ ข้อเท็จจริงดิบๆที่ไม่ต้องวิเคราะห์..
เพราะประชาชนที่ติดตามข่าวคงวิเคราะห์ติชมตามปกติวิสัยได้เอง..
แต่สื่อ ก็ติดตามนำเสนอข่าวนี้ทุกวันติดต่อกันนานนับเดือน.. จนไม่มีข้อมูลดิบอะไรจะนำเสนออีกแล้ว..
สื่อบางช่องก็เลย เริ่มวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในคดีเสียเอง.. ไม่ก็หาข้อมูลที่อาจจะชี้นำผลของคดีล่วงหน้า..
ทั้งที่ ความจริงแล้ว.. ควรปล่อยให้เป็นบทบาทของพนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐาน..
หากสื่อต้องการช่วยเหลือพนักงานสอบสวน ก็ควรแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวกับพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนทราบ.. ไม่ใช่มาเปิดเผยต่อสาธารณะ..
ในต่างประเทศ ข้อมูลคดีที่สื่อนำเสนอเป็นข่าว จะต้องเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยเปิดเผยจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น..
แต่ทุกวันนี้.. สื่อรวบรวมพยานหลักฐาน.. ไปตรวจที่เกิดเหตุ.. ไปสอบถามพยานเอาเอง..
ไปสอบถาม ซักไซ้พยานไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับคดี.. ใช้คำถามนำบ้าง.. ใช้คำถามชี้แนะบ้าง.. ใช้คำถามปลายเปิดบ้าง ปลายปิดบ้าง..
ยิ่งกว่าทนายความซักค้านพยานในศาลเสียอีก..
ถามเขาจน บางครั้ง.. ราวกับว่า ผู้ถูกถามไม่มีสิทธิในความเป็นส่วนตัว..
ถามจน บางครั้ง ผู้ถูกถามรู้สึกว่า ตนเองตกเป็นจำเลยไปก่อนที่จะถูกตำรวจแจ้งข้อหาเสียอีก..
ถามจน บางครั้ง เหมือนเป็นการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของพยานออกมาตีแผ่ให้สังคมรับรู้..
ราวกับพยานถูกเปลื้องผ้าต่อหน้าสื่อ.. ทั้งที่เรื่องนั้นอาจไม่เกี่ยวกับคดีเลยและเป็นเรื่องส่วนตัวเขาล้วนๆ..
บางที ก็ถามจน พยานสับสน หวาดระแวงกันเอง.. ถามจนทำให้สังคมเกิดสงสัยใครต่อใคร มั่วไปหมด.. ซึ่งเสี่ยงต่อการทำให้ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะอย่างยิ่ง..
แม้ตำรวจจะไม่สนใจข้อมูลส่วนนี้.. แต่สังคมสนใจมากก..
ทำให้คนที่สื่อชี้นำให้สงสัยตกเป็นจำเลยตัวจริงของสังคม ถูกดูหมิ่นเกลียดชังไปได้ภายในข้ามคืนเดียว..
และบางที ก็ถามจน.. ครอบครัวเขาแตกแยก.. จนญาติพี่น้อง คนในหมู่บ้านทะเลาะเบาะแว้งกันจนขาดความสงบสุขไปในบัดดล..
ใครจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ทราบนะ..
แต่สื่อก็ทำหน้าที่แบบตรงไปตรงมา และไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ.. เพราะต้องทำหน้าที่เสาะหาข้อมูลมาให้มากที่สุด..
ส่วนผลกระทบจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่หน้าที่.. ไม่ต้องรับรู้ ขอเพียงได้ข้อมูลมาทำข่าวแข่งกันทุกวันๆก็พอ..
แม้จะมีกฎหมายเรื่องละเมิดอำนาจศาลบังคับห้าม สื่อลงข่าวชี้นำศาล ชี้นำพยาน หรือชี้นำประชาชนในคดีที่ได้ฟ้องศาลแล้ว..
ที่ผ่านมา สื่อก็ทราบดี จึงมักจะยุติการทำข่าวแบบชี้นำทันทีที่มีการฟ้องคดี.. ซึ่งผมก็ดีใจนะที่สื่อมวลชนมีความรู้ด้านกฎหมายด้วย..
แต่การชี้นำผลคดีล่วงหน้าก่อนมีการฟ้องคดี.. ทั้งที่รู้ว่า อย่างไรเสีย เรื่องนี้ต่อไป ก็ต้องเป็นคดีขึ้นสู่ศาลแน่ๆ..
มันก็คือการชี้นำสังคมก่อนศาลมีคำพิพากษานั่นเอง..
คู่ความ.. พยาน.. และผู้พิพากษา ที่ติดตามข่าว ก็อาจถูกอิทธิพลสื่อครอบงำ ชี้นำให้เชื่อในข้อเท็จจริงไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มสืบพยาน..
นักกฎหมายสายตัวบท.. อาจบอกว่า..
“สื่อทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย.. เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า สื่อที่ชี้นำคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณาเท่านั้นที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล..
ในเมื่อยังไม่มีคดีขึ้นสู่ศาล เพราะอัยการยังไม่ฟ้อง.. สื่อก็ไม่มีความผิดที่ไปชี้นำสังคม..”
แต่นักกฎหมายสายที่เชื่อมั่นว่า ความยุติธรรมสำคัญกว่าตัวบทนั้น เขาบอกว่า..
“เจตนารมย์ของกฎหมายนั้น ไม่ต้องการให้ใครมีอิทธิพลเหนือความคิดเห็นของศาลและของพยานที่จะมาเบิกความ..
เพราะอาจเป็นการแทรกแซงให้เกิดอคติ ทำให้เสียความเป็นธรรมได้..
ดังนั้น การชี้นำไม่ว่า ก่อนฟ้องหรือระหว่างพิจารณาคดี.. ก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้เช่นเดียวกัน”
จำได้ว่า เมื่อสักเกือบ 10 ปีก่อน ผมเคยไปบรรยายกฎหมายเรื่อง สิทธิของเหยื่อให้สื่อมวลชนฟัง น่าจะเป็นที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย..
ได้พูดคุยกับสื่อมวลชนหลายคน ทำให้ทราบว่า.. สื่อมวลชนส่วนใหญ่นั้น ไม่รู้กฎหมายและขั้นตอนดำเนินคดี..
ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ผู้จัดงานให้ความสำคัญ จัดเวทีให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่สื่อมวลชน..
ผมเห็นว่า.. สื่อมวลชนนั้น มีหน้าที่นำเสนอข่าว และมีความสามารถที่จะชี้นำสังคมไปในทางที่ดีได้..
หากสื่อมีความรู้กฎหมาย.. นอกจากสื่อจะไม่ทำผิดกฎหมายแล้ว.. สื่อยังจะถ่ายทอดความรู้กฎหมายที่ถูกต้องให้แก่สังคมได้ด้วย..
ถ้าสื่อมีความรู้กฎหมายพื้นฐานที่ประชาชนควรรู้.. น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมอย่างมหาศาลนะครับ..
ฝากผู้เกี่ยวข้องไว้ด้วย..
คราวต่อไปตอน 2 ของเรื่อง “ใครฆ่าหนู.. ?” จะนำเสนอว่า มีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสื่อในเรื่องนี้บ้าง..
“ใครฆ่าหนู..?” (ตอน 2)
เรากำลังพูดถึงข่าวดังเกรียวกราวอยู่ในช่วงนี้.. ที่เด็กน้อยหายตัวไป พบเป็นศพบนภูเขา..
ตำรวจสืบสวนสอปปากคำและตรวจดีเอ็นเอของบุคคลไปเป็นจำนวนร้อย เกือบทั้งหมู่บ้านแล้ว..
แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ ว่าสาเหตุการตายคืออะไร และใครคือผู้ต้องสงสัย..
ส่วนสื่อเอง แม้จะยืนยันว่าต้องรอข้อเท็จจริงจากตำรวจก่อน... แต่ก็ทำข่าวตั้งประเด็นในคดีแตกออกไปมากมาย รวมทั้ง ชี้ตัวผู้ต้องสงสัยหลายคน..
และให้ข้อมูลชี้นำกับสังคม จนทำให้สังคมเกิดความสงสัยตามไปด้วยว่า..
สาเหตุที่น้องเสียชีวิตเพราะถูกฆ่าตาย.. ส่วนผู้ต้องสงสัยก็คือ คุณลุงที่สนิทกับเด็ก.. และพ่อแม่ของเด็กเอง..
ทำให้สังคมบางส่วนเริ่มประนาม ทั้งสองฝ่ายให้ได้รับความเสียหาย.. ทั้งที่ยังไม่การสรุปข้อเท็จจริงจากพนักงานสอบสวนเลย..
โดยหลักการแล้ว ต้องรอศาลพิพากษาก่อน.. ส่วนสังคมจะติชมอย่างไรตามวิสัย ก็เป็นเรื่องของเขา..
ที่น่าสงสาร.. นอกจากผู้ต้องสงสัยที่เป็นญาติกันเองแล้ว..
สื่อยังสืบหาข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวกับพี่สาวของน้อง.. จนสังคมเริ่มสงสัยพี่สาวของน้องที่อยู่กับน้องก่อนหายตัวไปอีกด้วย..
พี่สาวของน้องยังเป็นเด็กนะครับ.. อายุเพียง 13 ปีเอง..
แต่ต้องมาตอบคำซักถามของสื่อ.. ทั้งที่ยังไม่ชัดเจนว่า ใครคือคนร้าย..
สื่อมวลชนส่วนใหญ่ปิดบังใบหน้าน้องให้เห็นไม่ชัด แต่ไปทำข่าวสอบถาม ติดตาม.. ทั้งถ่ายภาพนิ่ง และคลิปภาพเคลื่อนไหว..
โดยไม่สนใจว่า.. กฎหมายจะห้ามไว้หรือไม่..
ระบุชื่อเล่น แต่สังคมก็ทราบว่า เป็นลูกใคร นามสกุลอะไร.. มีที่อยู่ชัดเจน ตามตัวได้ไม่ยาก..
โดยไม่คำนึงว่า คำถามต่างๆจะมีผลต่อความรู้สึกของพี่สาวอย่างไร..
ไม่สนใจว่า รูปภาพที่ปรากฎ และความเห็นของสังคมที่โพสต์ลงไป.. จะอยู่ในสื่อโซเชี่ยลอีกนานแค่ไหน.. และจะมีผลกระทบต่อจิตใจและอนาคตของน้องต่อไปอย่างไร..
พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เขาเขียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองเด็กไว้ว่า..
“ห้ามผู้ใด.. เผยแพร่ออกสื่อสาธารณะ.. หรือโฆษณา.. ชื่อ นามสกุล หรือข้อมูลใดๆเกี่ยวกับตัวเด็ก..
โดยเจตนาที่จะทำให้เกิด.. หรือในลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จิตใจ.. ชื่อเสียง.. หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก..” (มาตรา 27 และมาตรา 50)
คำว่า “ห้ามผู้ใด” นี่.. คือ ห้ามสื่อมวลชนมิให้ออกข่าวที่เปิดเผยข้อมูล.. และห้ามประชาชนในการโพสต์ หรือส่งต่อข้อมูลที่กฎหมายห้ามเหล่านั้นด้วยนะครับ..
คำว่า “โดยเจตนา” นั้น หมายถึง ไม่ได้อยากให้เกิดความเสียหายขึ้น.. แต่ขณะทำนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่า จะเกิดความเสียหายแก่เด็กนั้นแน่ๆ.. แบบนี้ ถือว่าเจตนาแล้ว..
และคำว่า “ในลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหาย” นี่ หมายความว่า แม้ความเสียหายยังไม่เกิด แต่น่าจะเกิด ..
เพียงแค่นี้ผู้ฝ่าฝืน ก็มีความผิดแล้ว..
การฝ่าฝืนพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546.. มีโทษทางอาญาตามมาตรา 79 ครับ..
จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 60,000 บาท..
ส่วนหน่วยงานไหน หรือใครมีหน้าที่รับผิดชอบ.. ดูแลสังคมให้เป็นไปกฎหมายฉบับนี้..
รบกวนเปิดดูตัวบทกันเองนะครับ..
เพราะข้อเขียนนี้ต้องการเผยแพร่หลักการของกฎหมายเท่านั้น.. ไม่ได้พูดถึงการบังคับใช้กฎหมาย..
สุดท้าย.. อย่าลืมตอบคำถามกันเองในใจนะครับว่า..
“ใครฆ่าหนู..?”