ผลการเรียนรู้
1. ปฏิบัติการใช้โปรแกรมกราฟิกได้
2. ใช้คำสั่งและสร้างชิ้นงานจากโปรแกรมกราฟิกได้
3. ออกแบบและนำเสนอชิ้นงานที่สร้างสรรค์ได้
ผลการเรียนรู้
1. ปฏิบัติการใช้โปรแกรมกราฟิกได้
2. ใช้คำสั่งและสร้างชิ้นงานจากโปรแกรมกราฟิกได้
3. ออกแบบและนำเสนอชิ้นงานที่สร้างสรรค์ได้
1. กราฟิกและคอมพิวเตอร์กราฟิก
กราฟิก มาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึง การวาดเขียน (Graphikos) และการเขียน (Graphein) กราฟิก จึงหมายถึง ศิลปะหรือศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่สื่อความหมายโดยใช้เส้น ภาพเขียน สัญลักษณ์ ภาพถ่าย ซึ่งมีลักษณะเห็นได้ชัดเจน เข้าใจความหมายได้ทันที และถูกต้องตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ
คอมพิวเตอร์กราฟิก หมายถึง การสร้างและการจัดการภาพกราฟิกโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพ การตกแต่งแก้ไขภาพหรือการจัดการเกี่ยวกับภาพ เช่น ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ การตกแต่งภาพถ่าย และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายให้ชัดเจนและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการศึกษา งานด้านธุรกิจ งานด้านการออกแบบ งานด้านบันเทิง หรืองานด้านการแพทย์ เป็นต้น
2. ประเภทและหลักการทำงานของภาพกราฟิก
ภาพกราฟิกแบบเวคเตอร์ (Vector)
เป็นภาพที่ถูกสร้างด้วยเส้นตรงและเส้นโค้งที่อาศัยสมการทางคณิตศาสตร์ กำหนดรูปร่าง ขนาด และความสัมพันธ์อื่นๆ ของภาพ ดังนั้น จุดแต่ละจุดในภาพแบบเวกเตอร์ จึงสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ สามารถย่อขยายภาพได้โดยไม่ทำให้คุณภาพของภาพนั้นด้อยลง
รายละเอียดของภาพจะคงเดิมอยู่ตลอด ไม่ขึ้นกับขนาดของภาพ ตัวอย่างฟอร์แมทของภาพแบบเวคเตอร์ได้แก่ Postscript (EPS), Windows Metal File (WMF), Adobe Illustrator (AI) เป็นต้น
ภาพกราฟิกแบบบิตแมพ (Bitmap)
ภาพกราฟิกแบบบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล (Pixel) มีการเก็บค่าสีที่เจาะจงในแต่ละตำแหน่งจนเกิดเป็นภาพในลักษณะต่าง ๆ เช่น ภาพถ่ายภาพกราฟิกแบบบิตแมพเหมาะสำหรับภาพที่ต้องการสร้างสีหรือกำหนดสีที่ต้องการความละเอียดและสวยงามแต่ถ้าหากมีการขยายขนาดภาพจะเป็นการเพิ่มจำนวนจุดสีให้กับภาพ ส่งผลให้คุณภาพของภาพนั้นสูญเสียไป ความละเอียดของภาพจะลดลงมองเห็นภาพเป็นแบบจุดสีชัดเจนขึ้น ไฟล์ภาพจะมีขนาดใหญ่และใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บมากตามไปด้วย โปรแกรมที่นิยมใช้ในการสร้างภาพแบบราสเตอร์ ได้แก่ โปรแกรม Paintbrush โปรแกรม Adobe Photoshop เป็นต้น
3. ความแตกต่างของภาพกราฟิก 2 มิติแบบเวคเตอร์ (Vector) และแบบบิตแมพ (Bitmap)
ภาพกราฟิกแบบเวคเตอร์ (Vector)
1. เป็นการประมวลผลโดยอาศัยการคำนวณทางคณิตศาสตร์มีสีและตำแหน่งของสีที่แน่นอนภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน
2. เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพจะไม่ลดลงยังคงรายละเอียดและความชัดเจนของภาพไว้เหมือนเดิม
3. นิยมใช้กับงานด้านสถาปัตยกรรมตกแต่งภายในและงานด้านการออกแบบต่าง ๆ เช่น การออกแบบอาคาร การออกแบบการ์ตูน
4. การประมวลผลภาพใช้เวลานานเนื่องจากใช้คำสั่งในการทำงาน
ภาพกราฟิกแบบบิตแมพ (Bitmap)
1. เกิดจากการเรียงตัวของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่าพิกเซล (Pixel) โดยจะเก็บค่าสีที่เจาะจงในแต่ละตำแหน่งจนเกิดเป็นภาพในลักษณะ ต่าง ๆ
2. การขยายภาพจะมีการเพิ่มจำนวนจุดของภาพ ทำให้ความละเอียดลดลง
มองเห็นภาพเป็นแบบจุด คุณภาพของภาพนั้นสูญเสียไป
3. การตกแต่งและแก้ไขภาพสามารถทำได้ง่ายและสวยงามมีความเหมือนจริง เช่น การลบรอยตำหนิบนภาพเพื่อให้ภาพดูสวยงามขึ้น
4. การประมวลผลภาพสามารถทำได้รวดเร็ว
4. ประเภทและรูปแบบไฟล์ภาพกราฟิก
ที่มา : RAIN MAKER
ที่มา : MHEE SARA
4.1 JPEG หรือ JPG (Join Photographic Export Group)
เป็นรูปแบบไฟล์ที่เก็บภาพแบบบิตแมพที่ไม่ต้องการคุณภาพสูงมากนัก เช่น ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือและภาพกราฟิกสำหรับแสดงบนอินเทอร์เน็ต สามารถแสดงสีได้ถึง 16.7 ล้านสี เป็นไฟล์ภาพชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพราะไฟล์มีขนาดเล็กสามารถบีบอัดข้อมูลได้หลายระดับ
จุดเด่น
1. สนับสนุนสีได้ถึง 24 bit
2. แสดงสีได้ถึง 16.7 ล้านสี
3. สามารถกำหนดค่าการบีบอัดไฟล์ได้ตามที่ต้องการ
4. มีระบบแสดงผลแบบหยาบ
5. มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก
6. เรียกดูได้กับบราวเซอร์ (Browser) ทุกตัว
จุดด้อย
1. ไม่สามารถทำภาพให้มีพื้นหลังแบบโปร่งใส (Transparent) ได้
2. ทำภาพเคลื่อนไหว (Animation) ไม่ได้
4.2 GIF (Graphic Interchange Format)
เป็นไฟล์ภาพที่สามารถบีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กได้ส่วนมากจะนำไปใช้บันทึกเป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวและนิยมมากในการใช้งานบนเว็บเพจ
จุดเด่น
1. สามารถใช้งานข้ามระบบได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) หรือระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (Unix) ก็สามารถเรียกใช้ไฟล์ภาพรูปแบบนี้ได้
2. ภาพมีขนาดไฟล์ต่ำทำให้สามารถส่งไฟล์ภาพได้อย่างรวดเร็ว
3. สามารถทำภาพพื้นหลังแบบโปร่งใสได้
4. มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก
5. เรียกดูได้กับบราวเซอร์ทุกตัว
6. สามารถนำเสนอแบบภาพเคลื่อนไหวได้
จุดด้อย
1. แสดงสีได้เพียง 256 สี
2. ไม่เหมาะกับภาพที่ต้องการความคมชัดหรือความสดใส
4.3 PNG (Portable Network Graphics)
เป็นชนิดของไฟล์ภาพที่นำจุดเด่นของไฟล์ภาพแบบ GIF และแบบ JPG มาพัฒนาร่วมกัน ทำให้ไฟล์ภาพชนิดนี้แสดงสีได้มากกว่า 256 สี และยังสามารถทำพื้นหลังภาพให้โปร่งใสได้ จึงเป็นไฟล์ภาพที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
จุดเด่น
1. สนับสนุนสีได้ตามค่า True color (16 bit, 32 bit หรือ 64 bit)
2. สามารถกำหนดค่าการบีบอัดไฟล์ได้ตามที่ต้องการ
3. ทำภาพพื้นหลังแบบโปร่งใสได้
จุดด้อย
1. หากกำหนดค่าการบีบอัดไฟล์ไว้สูงจะใช้เวลาในการคลายไฟล์ภาพสูงตามไปด้วย
2. ไม่สนับสนุนกับบราวเซอร์รุ่นเก่า
3. โปรแกรมสนับสนุนในการสร้างมีน้อย
4.4 TIF หรือ TIFF (Tagged Image File)
เป็นไฟล์ที่ใช้เก็บภาพแบบบิตแมพคุณภาพสูง เช่น ภาพกราฟิกที่นำไปทำงานด้านสิ่งพิมพ์ (Artwork) สามารถเก็บข้อมูลของภาพไว้ได้ครบถ้วน ทำให้คุณภาพของสีเหมือนต้นฉบับ
จุดเด่น
1. สามารถใช้งานข้ามระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์
หรือระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ก็สามารถเรียกใช้ไฟล์ภาพชนิดนี้ได้
2. แสดงรายละเอียดสีได้ 48 บิต
3. ไฟล์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
4. เมื่อมีการบีบอัดไฟล์จะมีการสูญเสียข้อมูลน้อยมาก
5. มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก
จุดด้อย
1. ไฟล์ภาพมีขนาดค่อนข้างใหญ่
2. ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บไฟล์ภาพสูง
4.5 PSD (Photoshop Document)
เป็นไฟล์ภาพเฉพาะโปรแกรม Adobe Photoshop จะทำการบันทึกแบบแยกเลเยอร์ (Layer) โดยเก็บประวัติการทำงานและรายละเอียดการตกแต่งภาพเอาไว้ เพื่อง่ายต่อการแก้ไขในภายหลัง
จุดเด่น
1. มีการบันทึกแบบแยกเลเยอร์และเก็บประวัติการทำงานทุกขั้นตอน
2. สามารถนำไฟล์ภาพมาแก้ไขได้ในภายหลัง
จุดด้อย
1. ไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับไฟล์ภาพประเภทอื่น
2. ไม่สามารถเปิดใช้งานในโปรแกรมอื่นได้
5. ระบบสีที่ใช้กับงานกราฟิก
โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีที่สร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการมองเห็นสีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปนั้น มีอยู่ด้วยกัน 7 ระบบ ได้แก่
1. ระบบสี RGB ตามหลักการแสดงสีของเครื่องคอมพิวเตอร์
2. ระบบสี CMYK ตามหลักการแสดงสีของเครื่องพิมพ์
3. ระบบสี HSB ตามหลักการมองเห็นสีของสายตามนุษย์
4. ระบบสี LAB ตามหลักการแสดงสีที่ไม่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ใด ๆ สามารถใช้กับสีที่เกิดจากอุปกรณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์หรือเครื่องพิมพ์
5. ระบบสี Grayscale มักใช้แปลงภาพสีเพื่อไปใช้ในงานพิมพ์แบบขาว-ดำ
6. ระบบสี Bitmap ประกอบด้วย 2 สี คือขาวและดำ มักใช้กับภาพวาดที่วาดด้วยหมึกดำ ภาพลายเส้น ภาพสเก็ตซ์ เป็นต้น
7. ระบบสี Indexed เป็นระบบจัดเก็บสี โดยกำหนดให้ 1 ภาพ จะมีความละเอียดของสีไม่เกิน 256 สีเท่านั้น
วรรณะของสี (Tone of Colour)
วรรณะสี คือ ความแตกต่างของสีแต่ละกลุ่ม ในวงจรสีโดยแบ่งตามความรู้สึกด้านอุณหภูมิ โดยแบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ
สีวรรณะร้อน (Warm Tone) ประกอบด้วย สีเหลือง, ส้มเหลือง, ส้ม, ส้มแดง, แดง และม่วงแดง
สีวรรณะเย็น (Cool Tone) ประกอบด้วย สีม่วง, ม่วงน้ำเงิน, น้ำเงิน, เขียวน้ำเงิน, เขียวและเขียวเหลือง
เทคนิคการเลือกสีที่ใช้ในการออกแบบ
6. ประเภทของโหมดสีในโปรแกรม Photoshop
· โหมดสี RGB
เกิดจากการผสมแสงสีหลัก 3 สีเข้าด้วยกัน คือ แดง (RED) เขียว (GREEN) และน้ำเงิน (BLUE) ซึ่งเมื่อผสมกัน จะทำให้เกิดสีจำนวนมากและเมื่อนำมารวมกัน
ที่ความเข้มสูงสุด จะได้สีขาว ส่วนใหญ่การใช้สีลักษณะนี้จะใช้ในอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น จอภาพ กล้องดิจิตอล เป็นต้น
· โหมดสี CMYK
ใช้ในระบบการพิมพ์ โดยภาพจะถูกแยกออกเป็นแม่พิมพ์ของสีหลักเพียง 4 สี คือ ฟ้า (CYAN) ม่วงแดง (MAGENTA) เหลือง (YELLOW) ดำ (BLACK)
· โหมดสี Lap Color
สีที่แสดงช่องความกว้างของสีได้สูงที่สุด เหมาะสำหรับการใช้เมื่อต้องการเพิ่มปริมาณสีให้สดขึ้นกว่าปกติ
· โหมดสี Grayscale
เป็นโทนสีเทา แต่สามารถแสดงระดับสีได้ถึง 256 ระดับ
· โหมดสี Bitmap
โหมดที่แสดงสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น
· โหมดสี Duotone
โหมดสีที่มีสีจำนวนน้อยๆ คล้ายกับโหมด Grayscale ภาพที่ได้จะมีสีน้อยแต่ดูสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง
· โหมดสี Indexed Color
โหมดสีสำหรับแสดงบนเว็บไซต์ แสดงระดับสีได้ 256 สี ซึ่งผลที่ได้รับคือ ไฟล์มีขนาดเล็ก
· โหมดสี Multichannel
โหมดที่ใช้สำหรับงานสิ่งพิมพ์คุณภาพสูง
แผนที่ความคิดสรุปความรู้
เลือกหัวข้อส่งงานด้านล่าง