วัดป่าบึงศิลาราม (มืองงิ้ว)
ชื่อสถานที่ วัดป่าบึงศิลาราม (เมืองงิ้ว)
ตั้งอยู่ที่ บ้านชาด หมู่ที่ 9 ตำบลเค็งใหญ่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ 37240
วัดป่าบึงศิลาราม (เมืองงิ้ว) แหล่งโบราณคดีเมืองงิ้ว ขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากรและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนพิเศษ 17ง ลงวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2542 เนื้อที่โบราณสถานประมาณ 99 ไร่ 77.06 ตารางวา
เมืองงิ้ว หรือแหล่งโบราณคดีเมืองงิ้ว เป็นเมืองโบราณสมัยประวัติศาสตร์ที่ปรากฎคูน้ำ-คันดิน ที่ชัดเจนจะอยู่ในด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันตก คูน้ำด้านนอกส่วนด้านในไม่มีสภาพของคันดินแล้ว ส่วนใบเสมาพบส่วนมากอยู่ภายในเมือง ด้านทิศเหนือเป็นใบสมาหินทรายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเดิมพบทั้งหมด 16 ใบ
เมืองงิ้วเป็นชุมชนโบราณในลุ่มน้ำลำเซบก อาจเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในระยะเริ่มแรก อยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายสมัยสังคมเกษตรกรรม มีการถลุงโลหะขึ้นใช้เองภายในชุมชน ดังได้พบร่องรอยเตาถลุงบริเวณริมคูน้ำด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และ เมื่อเข้าสู่สังคมประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทวารวดีประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 - 16 จึงขุดคูน้ำคันดินล้อมรอบเป็นรูปทรงกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 370 เมตร สูง ราว 2 เมตร สภาพทั่วไปเป็นเนินดินค่อนข้างกลม ปัจจุบันถูกปรับไถเป็นพื้นที่ทางการเกษตร จากการสำรวจพบหลักฐานทางโบราณวัตถุ รายละเอียดดังนี้ (กรมศิลปากร 2533 : 376)
1. เศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำส่วนมากเป็นแบบผิวเรียบมีการ ชุบน้ำโคลน การเขียนสี และลายขูดขีดบ้างเล็กน้อย
2. กลุ่มเสมาหินทรายสีชมพู ยอดเรียวแหลม สลักเป็นแนวเส้นนูนตรงกลางแผ่นเป็นลวดลายประดับ
3. เครื่องประดับสำริดได้แก่แหวน กำไล และ ขี้แร่(slag) ที่เกิดจากกระบวนการหลอมโลหะ
ใบเสมาที่พบบริเวณชุมชนโบราณเมืองงิ้วแห่งนี้ ปัจจุบันพบใบเสมากระจายอยู่บนเนินจำนวน 4 กลุ่ม มีทั้งทำจากศิลาแลงและหินทราย ที่ทำจากศิลาแลงจะเป็นแผ่นหินขนาดเล็ก สลักลวดลายสันนูนแนวตั้งที่กลางใบ ใบเสมาบางส่วนถูกนำมากองไว้บริเวณกลางเนินดิน เนื่องจากมีรูปร่างและลักษณะที่ไม่ชัดเจน
ใบเสมาที่ทำจากหินทรายมีทั้งขนาดใหญ่ที่ถูกฝังจมอยู่ใต้ดิน ส่วนฐานมีลายลูกปะคำแนวนอนอยู่ใต้กลีบบัวซ้อน ส่วนใบเสมาสลักเป็นแนวเส้นนูนตั้งตรงกลางแผ่น บางใบฐานบัวเป็นบัวคว่ำ-บัวหงาย มีเกสรประกอบ ใบเสมาที่สำคัญอีกใบหนึ่งพบว่า ด้านหนึ่งตรงกลางใบเสมาสลักเป็นรูปหม้อน้ำรองรับปลีที่เรียวขึ้นจนถึงส่วนยอด ลักษณะของหม้อน้ำเช่นเดียวกันกับที่พบนี้ปรากฎบนใบเสมาที่พบในที่อื่นๆอีกด้วย ซึ่งคงเป็นหม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือที่เรียกกันว่า หม้อบูรณะฆฏะ นั่นเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งของใบเสมานี้สลักเป็นรูปดอกไม้ในวงกลม
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบจำนวนเล็กน้อยแสดงว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้คงมีขนาดไม่ใหญ่นัก และคงจะเป็นศาสนสถานมากกว่าที่จะเป็นที่อยู่อาศัย โดยพิจารณาจากกลุ่มใบเสมาหินทราย จากรูปแบบของเสมานั้นทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่มชนกลุ่มนี้ คงจะมีความเชื่อในพุทธศาสนาโดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 – 16
วัฒนธรรมทวารวดี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 อิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีซึ่งมีพื้นฐานมาจากพุทธศาสนา ประเทศอินเดียได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นทางภาคกลางของประเทศไทย ได้ส่งอิทธิพลเข้ามายังบริเวณภาคีสานผ่านทางนครราชสีมา จากนั้นได้แพร่กระจายทั้งในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลและลุ่มแม่น้ำชีตอนล่าง หลักฐานที่ค้นพบได้แก่พระพุทธรูปและแหล่งโบราณสถานที่เป็นเนินดินมีใบเสมา ปักเป็นกลุ่ม ใบเสมาขนาดใหญ่ที่พบตามแหล่งโบราณคดีแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อทางศาสนาการกระจายของแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมทวารวดีในแถบจังหวัดอุบลราชธานี
ตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง : จากเรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาได้ความว่า ดอนปู่ตาเป็นที่ตั้งของเมืองงิ้ว มีกษัตริย์ปกครองขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวลาวยกทัพมารุกราน เกิดสงคราม เมืองงิ้วถูกตีแตก เหลือเพียงซากปรักหักพัง กลายเป็นเมืองร้าง ไม่นานมีพระธุดงค์เดินผ่านมาแล้วพักค้างคืน แต่ว่าอยู่ไม่ได้ เนื่องจากพบสิ่งลึกลับอาถรรพ์ต่างๆ รบกวน พระธุดงค์จึงได้เตลิดหนีไป ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของเหล่านักรบหรือบรรพบุรุษเมืองงิ้วปก ป้องรักษาอยู่ ต่อมาจึงได้ก่อสร้างผาม(ศาล)ขึ้นมา เพื่อให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ได้อาศัยสิงสถิต เรียกว่า ปู่ตา ที่รักษาป่า เมื่อถึงฤดูทำนา ชาวนามักจะมาทำพิธีแฮกนาที่นี่เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนลงมือทำนา จะทำให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะหลังสงกรานต์ ก็จะมีการทำบุญเลี้ยงอาหารปู่ตาพร้อมจัดงานประเพณีสงกรานต์เป็นประจำทุกปี อีกด้วย
ต่อมาเมื่อปี 2538 ชาวบ้านได้ทำการขุดลอกลำห้วยใกล้กับดอนปู่ตา ขุดไปพบไหโบราณ ซึ่งภายในบรรจุกระดูกอยู่เป็นจำนวนมาก เข้าใจว่า เป็นกระดูกบุคคลสำคัญของชาวเมืองงิ้ว จึงได้อัญเชิญขึ้นมาไว้ที่วัดป่าบึงศิลาราม อยู่ติดกับดอนปู่ตา และขุดพบหีบใส่เสื้อผ้าจำนวน 1 ใบ คาดว่ามีอายุกว่า 100 ปี
ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางราตรี โสคำภา
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางราตรี โสคำภา
อ้างอิงข้อมูลจาก : https://db.sac.or.th/archaeology/archaeology/471