ซีเเกรม
กติกาฟุตบอล (อังกฤษ: Laws of the Game)[1] เป็นกฎและกติกาฟุตบอลสากลที่กำหนดโดยคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (ไอเอฟเอบี) ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยสมาคมฟุตบอล สมาคมฟุตบอลเวลส์ สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ สมาคมฟุตบอลไอริช และสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ในปัจจุบันมีทั้งหมด 17 ข้อ
สนามฟุตบอล
สนาม เป็นสนามหญ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างต่ำสุด 50 หลา สูงสุด 100 หลา ความยาวต่ำสุด 100 หลา สูงสุด 130 หลา
เครื่องหมายในสนาม เกิดจากเส้นต่าง ๆ โดยในแต่ละเส้นจะมีความกว้างไม่เกิน 5 นิ้ว ทำเป็นสัญลักษณ์ในสนาม ได้แก่
เส้นเขตสนาม อยู่รอบเขตสนาม ส่วนที่สั้นเรียก เส้นประตู ส่วนที่ยาวเรียก เส้นข้าง
เส้นแบ่งเขตแดน แบ่งสนามตามขวางเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
จุดกึ่งกลางสนาม อยู่กึ่งกลางเส้นแบ่งเขตแดน มีวงกลมรัศมี 10 หลาล้อมรอบจุดไว้
เส้นประตู เชื่อมระหว่างโคนเสาประตูทั้ง 2 ฝั่ง
เขตประตู คือพื้นที่ที่เกิดจากการลากเส้นจากเสาประตูทั้ง 2 ฝั่งตั้งฉากกับเส้นประตู เข้าหาสนามยาว 6 หลา แล้วเชื่อมด้วยเส้นตรง
เขตโทษ คือพื้นที่ที่เกิดจากการลากเส้นจากเสาประตูทั้ง 2 ฝั่งขนานกับเส้นประตู ออกจากประตูยาว 16.5 เมตร แล้วลากเส้นตั้งฉากกับเส้นประตู เข้าหาสนามยาว 16.5 เมตร แล้วเชื่อมด้วยเส้นตรง
จุดโทษ อยู่ในเขตโทษ ห่างจากเสาประตู 12 หลา มีการเขียนส่วนโค้งนอกเขตโทษ รัศมีห่างจากจุดโทษ 10 หลา
ประตู มีสีขาว ระยะห่างระหว่างเสาประตู 8 หลา คานสูงจากพื้น 8 ฟุต มีการติดตาข่ายรองรับลูก
มุมธง อยู่ทั้ง 4 มุมของสนาม รัศมี 1 หลา
เสาธง เป็นจุดศูนย์กลางของมุมธง ไว้แสดงเขตในการเตะมุม สูงไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ยอดไม่แหลม ผูกธงไว้ที่ยอด
โยฮัน ไกรฟฟ์ มีชื่อเต็มว่า แฮ็นดริก โยฮันเนิส ไกรฟฟ์ (Hendrik Johannes Cruijff) เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1947 ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในครอบครัวฐานะปานกลาง ไกรฟฟ์เริ่มเล่นฟุตบอลข้างถนนในวัยเยาว์เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป จากนั้นได้มีแมวมองจากสโมสรอาเอฟเซ อายักซ์ เข้ามาเห็นแวว ในที่สุดไกรฟฟ์ก็ทำสัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนของอายักซ์ สโมสรฟุตบอลใหญ่ของเนเธอร์แลนด์
ไกรฟฟ์ได้ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น โดยยิงได้เพียงแค่ลูกเดียวตลอดฤดูกาลนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมา ไกรฟฟ์ก็ได้ขึ้นมาเล่นเป็นตัวจริงของอายักซ์อย่างเต็มตัว ก่อนที่จะแสดงความสามารถพาอายักซ์คว้าแชมป์เอเรอดีวีซีได้แบบไร้คู่ต่อกร โดยไกรฟฟ์ยิงไปทั้งสิ้น 25 ประตู จากการลงเล่น 23 นัด คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของเนเธอร์แลนด์ได้อีกหนึ่งรางวัลด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี
หลังจากนั้น ไกรฟฟ์ก็กลายมาเป็นนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ทันที และถูกเรียกตัวติดทีมชาติ แต่ว่าช่วงเวลาในทีมชาติช่วงแรกของไกรฟฟ์นั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก โดยเพียงแค่ในเกมที่สองในนามทีมชาติ ในนัดที่พบกับเชโกสโลวาเกีย ไกรฟฟ์โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และยังถูกราชสมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ห้ามลงแข่งไปหนึ่งปีอีกต่างหากจากพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้ไกรฟฟ์ตั้งตัวเป็นศัตรูสมาคมทันที ทั้งที่มีอายุเพียงแค่ 19 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกันที่นักฟุตบอลวัยเยาว์เช่นนี้กล้าเป็นศัตรูกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ
แม้ว่าจะมีปัญหาระหองระแหงกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ แต่ว่ากับระดับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ดี ตำแหน่งแชมป์ลีกในประเทศมักจะได้มาเป็นประจำ จนทำให้แฟนฟุตบอลของอายักซ์ เริ่มมองถึงเป้าหมายการเป็นแชมป์ยุโรปแล้ว
ในปี ค.ศ. 1969 ไกรฟฟ์พาอายักซ์ทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศกับเอ.ซี. มิลาน แห่งอิตาลี แต่ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นมิลานที่ได้แชมป์ไปครองในที่สุด
แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของไกรฟฟ์ ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้เรียกตัวเขากลับมาเล่นให้กับทีมชาติอีกครั้ง และในที่สุดไกรฟฟ์ก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติอีกครั้ง
เมื่อได้โอกาส ไกรฟฟ์ก็สามารถยกระดับการเล่นของเนเธอร์แลนด์จากที่เคยเป็นแค่ทีมระดับไม้ประดับของยุโรปกลายมาเป็นทีมระดับแถวหน้าของทวีป ส่วนผลงานกับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็สามารถพาอายักซ์ชนะเลิศยูโรเปียนคัพซึ่งเป็นความปรารถนาของแฟนฟุตบอลได้สำเร็จ หลังจากที่ได้เพื่อนร่วมทีมระดับคุณภาพอย่างโยฮัน เนสเกินส์ และรืด โกรล ในรูปแบบการเล่นที่เรียกว่า "โททัลฟุตบอล" (Total Football)[1] อันเลื่องลือ ภายใต้การทำทีมของผู้จัดการอย่างรีนึส มีเคิลส์ เจ้าของฉายา "ท่านนายพล" ซึ่งก็ทำให้อายักซ์กลายเป็นยอดทีมฟุตบอลทีมหนึ่งของยุโรป ก่อนที่จะชนะปานาธีไนโกสจากกรีซได้แชมป์ยูโรเปียนคัพเมื่อปี ค.ศ. 1971 ได้สำเร็จในที่สุด
นอกจากนี้แล้วการคว้าแชมป์ดังกล่าว ทำให้ไกรฟฟ์ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปหรือบาลงดอร์ (Ballon d'Or) ไปครองอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย นับเป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์รายแรกที่ได้สัมผัสกับรางวัลนี้ หลังจากนั้นเขาก็พาอายักซ์คว้าแชมป์ยุโรปได้อีกสองสมัยซ้อน ซึ่งเป็นทีมแรกนับจากเรอัลมาดริดที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้สามปีติดต่อกัน
จากความสำเร็จดังนี้ ไกรฟฟ์ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนาแห่งสเปน ที่มีรีนึส มีเคิลส์ ผู้จัดการทีมคู่บารมีของเขาคุมทีมอยู่ โดยพาเอาโยฮัน เนสเกินส์ คู่หูตลอดกาลของเขามาด้วย และไกรฟฟ์ก็ไม่ทำให้แฟนของบาร์เซโลนาผิดหวัง เมื่อเขาพาทีมล้มเรอัลมาดริดและคว้าแชมป์ลาลิกาประจำปี ค.ศ. 1974 ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะนัดที่อยู่ในความทรงจำ คือนัดที่ไกรฟฟ์และนักฟุตบอลคนอื่น ๆ ของบาร์เซโลนาสามารถบุกไปเอาชนะเรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ถึงถิ่นด้วยประตูถล่มทลายถึง 5-0 ด้วยกัน