กาฟิวส์

กฎข้อที่ 2: ลูกฟุตบอล

กฎข้อที่ 3: จำนวนผู้เล่น

จำนวนผู้เล่นแต่ละทีม ลงได้สูงสุด 11 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้รักษาประตู และแต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่นตัวจริงและตัวสำรอง ผู้เล่นตัวจริงจะเป็นผู้เล่นชุดแรกที่ลงสนาม ส่วนผู้เล่นตัวสำรองมีไว้เพื่อสับเปลี่ยนกับผู้เล่นตัวจริงในกรณีที่ผู้เล่นตัวจริงไม่สามารถเล่นได้หรือกรณีอื่น ๆ ตามความเหมาะสมหรือตามแต่ดุลยพินิจของผู้จัดการทีม (โดยการแข่งขันเพื่อจุดประสงค์ในการคว้าแชมป์จะเปลี่ยนได้ 3 คนเท่านั้น และเมื่อ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ฟีฟ่ามีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ถ้าเป็นการแข่งขันกระชับมิตรหรือเฉลิมฉลองสร้างความสัมพันธ์จะมีการเปลี่ยนตัวไม่จำกัด) ผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนามต้องมีไม่ต่ำกว่า 7 คน และไม่เกิน 11 คน และหนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู 1 คน, ตัวสำรองสามารถมีได้ไม่เกิน 7 คน ถ้าเป็นการแข่งทั่วไป หรือเชื่อมความสัมพันธ์ สามารถกำหนดจำนวนตัวสำรองได้ โดยต้องแจ้งให้กรรมการทราบก่อนการแข่งขัน


เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซังตุส ฌูนีโยร์ (โปรตุเกส: Neymar da Silva Santos Júnior; เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992) เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีฝีเท้าดีที่สุดในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้เล่นชาวบราซิลที่ดีที่สุดตลอดกาล[2][3][4][5] เขาเล่นให้กับสโมสรอัลฮิลาล และทีมชาติบราซิลในตำแหน่งกองหน้า มีจุดเด่นในด้านการเลี้ยงลูกบอล การเคลื่อนที่ และการทำประตู เขายังเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่รายที่สามารถทำอย่างน้อย 100 ประตูให้แก่สามสโมสร[6]

เนย์มาร์เริ่มมีชื่อเสียงกับสโมสรซังตุสในบราซิล ซึ่งเขาเซ็นสัญญากับทีมเมื่ออายุ 17 ปี ก่อนจะช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์คัมเปโอนาโตเปาลิสตา 2 สมัยติดต่อกัน เนย์มาร์ได้รับการเสนอชื่อเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของอเมริกาใต้ถึงสองครั้งในปี 2011 และ 2012 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสามประสานตัวหลักของทีมร่วมกับ ลิโอเนล เมสซิ และลุยส์ ซัวเรซ[7] เนย์มาร์คว้าแชมป์ลาลิกา, โกปาเดลเรย์ และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในฤดูกาล 2014–15 และได้อันดับสามในการประกาศรางวัลบาลงดอร์ปี 2015 และคว้าแชมป์ลาลิกาได้อีกครั้งในปี 2016 ก่อนจะย้ายไปปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในปี 2017 ด้วยมูลค่า 222 ล้านยูโร ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเนย์มาร์คว้าแชมป์ลีกเอิง 3 สมัย, กุปเดอฟร็องส์ 3 สมัย และ กุปเดอลาลีก 2 สมัย และได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเอิงในฤดูกาลแรกของเขา และในฤดูกาล 2020–21 เนย์มาร์พาทีมคว้าแชมป์ได้ถึง 4 รายการ รวมทั้งผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรก[8] ในปัจจุบัน เขายังครองสถิติในการเป็นผู้เล่นชาวบราซิลที่ทำประตูสูงสุดในการแข่งขันดังกล่าว[9] เนย์มาร์ย้ายร่วมทีมอัลฮิลาลใน ค.ศ. 2023

เนย์มาร์ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกใน ค.ศ. 2010 ในวัย 18 ปี และในปัจจุบัน เขาเป็นเจ้าของสถิติผู้ทำประตูให้ทีมชาติบราซิลสูงสุดจำนวน 79 ประตูจากจำนวน 125 นัด ถ้วยรางวัลแรกในนามทีมชาติของเนย์มาร์คือ ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้ ใน ค.ศ. 2011 ซึ่งเขาได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุด ต่อมา เขาพาบราซิลชนะเลิศรายการ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ในปี 2013 และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน ก่อนจะมีอาการบาดเจ็บในรายการใหญ่สองรายการถัดมาได้แก่ ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ และโกปาอเมริกา 2015 เนย์มาร์เป็นกัปตันทีมชาติอย่างเป็นทางการในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 และพาบราซิลคว้าเหรียญทองได้ และเป็นตัวหลักของทีมในฟุตบอลโลก 2018[10] แต่เขาพลาดการแข่งขันโกปาอเมริกา 2019 ก่อนจะพาทีมคว้ารองแชมป์ได้ในปี 2021

เนย์มาร์คว้าอันดับสามในการประกาศผลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2015 และ บาลงดอร์ 2017 รวมทั้งได้รับรางวัลฟีฟ่า ปุสกัส อวอร์ด และมีชื่ออยู่ในทีมแห่งปีของยูฟ่าสองครั้ง และทีมแห่งฤดูกาลของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกสามครั้ง เขายังถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง[11] SportsPro ยกให้เขาเป็นนักกีฬาที่โด่งดังในแง่การตลาดมากที่สุดในในปี 2012 และ 2013 และ อีเอสพีเอ็น ยกให้เขาเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกในปี 2016 และในปี 2017 นิตยสารไทม์ได้จัดอันดับให้เขามีชื่ออยู่ใน 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก[12] ในปี 2018 นิตยสาร France Football จัดอันดับให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และในสองปีต่อมา (ค.ศ. 2019–20) นิตยสารฟอบส์ ได้จัดอันดับให้เนย์มาร์เป็นนักกีฬาที่ได้รับค่าจ้างสูงทีสุดเป็นอันดับที่ 3[13] และ 4[14] ของโลกตามลำดับ