ฝ้าย

เวย์น มาร์ก รูนีย์ (อังกฤษ: Wayne Mark Rooney; เกิด 24 ตุลาคม ค.ศ. 1985) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ โดยเล่นในตำแหน่งกองหน้า และยังสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งในฐานะกองกลาง โดยล่าสุดเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของเบอร์มิงแฮมซิตี ในอีเอฟแอลแชมเปียนชิป

รูนีย์ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในยุคของเขา รเขาครองสถิติเป็นผู้ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลให้แก่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเคยครองสถิติผู้ทำประตูสูงสุดของทีมชาติอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 2005–2023 เขายังเป็นผู้เล่นที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่ลงสนามให้ทีมชาติอังกฤษมากที่สุดตลอดกาล[3]

รูนีย์ย้ายร่วมทีมเอฟเวอร์ตันในฐานะนักเตะเยาวชนเมื่ออายุ 9 ปี และลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใน ค.ศ. 2002 ด้วยวัย 16 ปี เขาลงเล่นให้สโมสรสรจำนวนสองฤดูกาล ก่อนจะย้ายร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในราคา 25.6 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2004 ซึ่งเขาคว้าถ้วยรางวัล 16 รายการ และยังทำสถิติเป็นหนึ่งในสองผู้เล่นชาวอังกฤษ (ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างไมเคิล แคร์ริก) ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, แชมป์อีเอฟแอลคัพ, แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก และแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก[4][5] เขาทำประตูมากถึง 253 ประตูรวมทุกรายการให้กับทีม ถือเป็นสถิติในการทำประตูมากที่สุดตลอดกาลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาถึงปัจจุบัน และจำนวน 183 ประตูในลีกที่เขาทำได้ในฐานะนักเตะของยูไนเต็ด ถือเป็นสถิติมากที่สุดอันดับสามของผู้เล่นที่ทำประตูให้แก่สโมสรใดสโมสรหนึ่งในพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียงแฮร์รี เคน (188 ประตูกับท็อตแนมฮ็อทสเปอร์) และ เซร์ฆิโอ อาเกวโร (184 ประตูกับแมนเชสเตอร์ซิตี) เขายังครองสถิติทำประตูและทำแอสซิสต์มากที่สุดเป็นอันดับสามในพรีเมียร์ลีกจำนวน 208 ประตู และ 103 แอสซิสต์ตามลำดับ[6] เขาย้ายกลับไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตันในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะย้ายไปสหรัฐร่วมกับสโมสร ดี.ซี. ยูไนเต็ด และกลับมาปิดท้ายอาชีพในอังกฤษโดยมีดาร์บีเคาน์ตีเป็นสโมสรสุดท้ายใน ค.ศ. 2021 ซึ่งเขาลงเล่นในฐานะผู้เล่น–ผู้จัดการทีม

รูนีย์ลงสนามให้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ด้วยวัย 17 ปี และครองสถิติเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่[7] การแข่งขันรายการสำคัญครั้งแรกของเขาคือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ซึ่งเขาทำได้ 4 ประตู และทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในรอบสุดท้ายของการแข่งขันดังกล่าว รูนีย์ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006, 2010 และ 2014 โดยได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกทั้งสามสมัยดังกล่าว[8] เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของทีมชาติอังกฤษ 4 สมัยใน ค.ศ. 2008, 2009, 2014 และ 2015 และด้วยจำนวน 53 ประตู จากการลงสนาม 120 นัด ส่งผลให้รูนีย์เป็นเจ้าของสถิติผู้ลงสนาม และผู้ทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับสอง

รูนีย์ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ และ นักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล ในฤดูกาล 2009–10 รวมทั้งรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกห้าครั้งตลอดอาชีพ เขาคว้าอันดับห้าในการประกาศรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2011 และมีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมของฟิฟโปรในปีเดียวกันนั้น เขาทำประตูสำคัญซึ่งได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกถึงสามครั้งโดยได้รับการยกย่องจากบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ นอกจากนี้ ประตูที่เขาทำได้จากลูกจักรยานอากาศในนัดที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตีในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ยังได้รับการยกย่องให้เป็นประตูยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในรอบ 20 ฤดูกาล[9]