คิว


ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ[note 1] (สเปน: Lionel Andrés Messi;[8]; เกิด 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987) เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้แก่อินเตอร์ไมแอมี สโมสรในเมเจอร์ลีก และทีมชาติอาร์เจนตินา เขามักถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เมสซิได้รับรางวัลบาลงดอร์มากที่สุด 8 สมัย[note 2] และได้รางวัลรองเท้าทองคำ 6 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน เขาลงเล่นให้บาร์เซโลนานานถึง 17 ปี โดยเป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดของสโมสร และพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุด 35 รายการ รวมถึงแชมป์ลาลิกา 10 สมัย, โกปาเดลเรย์ 7 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 4 สมัย เมสซิยังครองสถิติสำคัญได้แก่: เป็นผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลในลาลิกา (474 ประตู), ทำประตูมากที่สุดในลีกยุโรปต่อหนึ่งฤดูกาล (50 ประตู), ทำแฮตทริกมากที่สุดในลาลิกา (36 ครั้ง) และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (8 ครั้ง) และทำแอสซิสต์มากที่สุดในลาลิกา (192 ครั้ง) และในโกปาอเมริกา (17 ครั้ง), เป็นผู้เล่นชายชาวอเมริกาใต้ที่ทำประตูในนามทีมชาติมากที่สุด (106 ประตู) และเป็นผู้เล่นที่ทำประตูให้กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งมากที่สุดตลอดกาล (672 ประตู) เมสซิยังทำประตูในนามทีมชาติชุดใหญ่และสโมสรรวมกว่า 821 ประตู

เมสซิเกิดและเติบโตในโรซาริโอ เมืองในแถบภาคกลางของอาร์เจนตินา ก่อนจะย้ายไปสเปนเพื่อร่วมทีมบาร์เซโลนาในวัยเพียง 13 ปี เขาได้ลงเล่นในการแข่งขันครั้งแรกในวัย 17 ปี ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 เขาสถาปนาตนเองเป็นผู้เล่นศูนย์กลางของสโมสรภายในอีกสามปีถัดมา และในฤดูกาล 2008–09 เขาพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์รายการใหญ่ 3 รายการในปีเดียวกัน และคว้ารางวัลบาลงดอร์สมัยแรกในวัย 22 ปีในปีนั้น ก่อนจะคว้ารางวัลนี้ได้อีกสามสมัยติดต่อกัน ทำสถิติผู้เล่นคนแรกที่คว้าบาลงดอร์ 4 สมัยติดต่อกัน[11] ในฤดูกาล 2011–12 เขาทำสถิติยิงประตูในลาลิกาและเกมยุโรปมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาล และได้กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ต่อมาในฤดูกาล 2014–15 เขากลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในลาลิกา และพาบาร์เซโลนาชนะเลิศ 3 รายการใหญ่ได้เป็นครั้งที่สอง ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ สมัยที่ 5 ในปี 2015 เมสซิรับหน้าที่เป็นกัปตันของบาร์เซโลนาตั้งแต่ ค.ศ. 2018 และคว้าบาลงดอร์ สมัยที่ 6 ในปี 2019 ก่อนจะย้ายร่วมทีมปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021[12] และคว้าบาลงดอร์ สมัยที่ 7 เขาคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกเอิงสองสมัย และย้ายร่วมทีมอินเตอร์ไมแอมีในเมเจอร์ลีกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2023 และคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกส์คัพได้ในเดือนต่อมา

ในการแข่งขันระดับทีมชาติ เมสซิครองสถิติลงเล่นมากที่สุดและทำประตูตลอดกาลให้ทีมชาติอาร์เจนตินา ในระดับเยาวชน เขาพาอาร์เจนตินาชนะเลิศฟุตบอลโลกเยาวชน 2005 พร้อมคว้ารางวัลลูกบอลทองคำและรองเท้าทองคำของการแข่งขัน ต่อมา เขาพาทีมชาติคว้าเหรียญทอง โอลิมปิกฤดูร้อน 2008 เขาเป็นผู้เล่นที่มีรูปร่างเล็กและถนัดเท้าซ้าย และมักถูกเปรียบเทียบกับจำนานรุ่นพี่ร่วมทีมชาติอย่างดิเอโก มาราโดนา ผู้ยกย่องให้เมสซิเป็นทายาทตำนานคนถัดไป หลังจากที่เมสซิลงเล่นนัดแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 เขากลายเป็นผู้เล่นชาวอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นและทำประตูได้ในฟุตบอลโลก ใน ค.ศ. 2006 เขาได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันในโกปาอาเมริกา 2007 และรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมชาติในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 จากนั้นเขาพาอาร์เจนตินาเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 รายการ ได้แก่ ฟุตบอลโลก 2014, โกปาอาเมริกา 2015 และ 2016 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์ทั้งหมด ส่งผลให้เขาประกาศเลิกเล่นทีมชาติใน ค.ศ. 2016 ก่อนจะกลับมาช่วยให้ทีมชาติผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018, พาทีมจบอันดับ 3 ในโกปาอาเมริกา 2019 และชนะเลิศโกปาอาเมริกา 2021 พร้อมกับคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าและรองเท้าทองคำ เขาพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 และได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเป็นครั้งที่ 2 และครองสถิติลงเล่นในเกมฟุตบอลโลกมากที่สุดตลอดกาล 26 นัด

เมสซิเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เขาได้รับการสนับสนุนจากอาดิดาส บริษัทจำหน่ายชุดกีฬา ตั้งแต่ ค.ศ. 2006 และได้กลายเป็นตัวแทนหลักของเครื่องหมายการค้านี้ ฟร็องส์ฟุตโบล เปิดเผยว่า เขาเป็นผู้เล่นที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดต่อปีถึง 5 ครั้งจาก 6 ปีในช่วง ค.ศ. 2009–2014 และ ฟอบส์ จัดอันดับให้เขาเป็นนักกีฬาที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดใน ค.ศ. 2019และ 2022 ไทม์ 100 จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลกใน ค.ศ. 2011 และ 2012 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาโลกแห่งปีของลอเรียส ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลและนักกีฬาประเภททีมคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ในปีเดียวกันนั้นเขายังกลายเป็นนักฟุตบอลคนที่สองที่ทำรายได้ตลอดอาชีพเกิน 1 พันล้านดอลลาร์