ผลงานวิชาการ วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี (มิถุนายน 2566 - พฤศภาคม 2567)
ผู้แต่ง : พระมหาเจษฏ์ฌกฤษฎ์ ปญฺญาธโร, เสาร์คำ ใส่แก้ว, ประสาน เจริญศรี
สังกัด วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา “คพฺภปาตน” การยุติการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการท้องไม่พร้อม ไม่ว่าวัยไหน สถานะทางการเงินเช่นใด ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ โดยการถกเถียงอยู่ 2 แนวคิด คือ พระพุทธศาสนาที่มีจุดยืนแบบอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับชีวิตและการเกิด และหลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พุทธศักราช 2564 มาตรา 305 ที่ต่างก็มีจุดมุงหมายที่แตกต่างกัน โดยพระพุทธศาสนาไม่สนับสนุนการทำแท้ง ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไรก็ไม่ควรมีใครต้องถูกพรากชีวิตไป การตีตราว่า “คนบาป” จากการทำปาณาติบาต จึงเกิดขึ้นกับสตรีที่เลือกจะทำแท้ง ส่วนหลักกฎหมายให้ทางเลือกไว้ 2 ทาง คือ สตรีสามารถทำแท้งได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พุทธศักราช 2564 มาตรา 305 และหากไม่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พุทธศักราช 2559 ได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วศาสนากับหลักกฎหมายอาจมีมุมมองที่ไม่ตรงกัน เมื่อสิทธิที่สตรีต้องเลือกไม่อาจถูกต้องตามหลักศีลธรรม ก็พึงให้ทางเลือกที่มีอยู่นั้น ตั้งอยู่บนความปลอยภัยและถูกกฎหมาย
ผู้แต่ง : พระปลัดมนู ฐานจาโร, ประสาน เจริญศรี
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการก่อกำเกิด รูปแบบการและการวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะการเสริมสร้างเครือข่ายองค์กรภาครัฐ ภาคธุระกิจเอกชน ภาคประชาชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่อาศัยอยู่ในแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งท่องเที่ยว จำนวน 400 คน และสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วย ค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard divination)และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ในลักษณะการบรรยาย
ผลการศึกษาพบว่า เครือข่ายก่อตัวขึ้นเนื่องจากตระหนักถึงปัญหาที่มีผลมาจากการพัฒนาประเทศของรัฐบาลโดยเริ่มต้นก่อตัวจากระดับปัจเจกบุคคลเป็นลักษณะเครือข่ายทางความคิดมีความสัมพันธ์แบบผลประโยชน์ร่วมกัน การจัดระบบของเครือข่าย เป็นการจัดระบบแบบไม่เป็นทางการเนื่องจากไม่มีการกำหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของสมาชิกที่ชัดเจน การสื่อสารใช้ในลักษณะไม่เป็นทางการ กระบวนเรียนรู้ใช้การประชุมประจำเดือนเป็นหลัก และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ งบประมาณมาจากภายในและภายนอกเครือข่ายเป็นทุนในการขับเคลื่อนกิจกรรม มีการพัฒนาผู้นำของเครือข่าย ปัญหาสำคัญในการจัดการเครือข่าย คือผู้นำเครือข่ายและสมาชิกเครือข่ายมีส่วนร่วมน้อยลง และมีความคิดเห็นไม่ตรงกันทำให้การทำงานข้อเสนอแนะในการจัดการเครือข่าย การให้สมาชิกเครือข่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม และมีการจัดทำกิจกรรมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติการจัดการเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวใจังหวัดชลบุรี ข้อเสนอแนะในการจัดการเครือข่าย การให้สมาชิกเครือข่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม และมีการจัดทำกิจกรรมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมกิจกรรม และสนับสนุนงบประมาณให้มากขึ้น
ผู้แต่ง : พระชลญาณมุนี, เสาร์คำ ใส่แก้ว
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความนี้ต้องการกล่าวถึงการทำแท้งบาปหรือไม่ กฎหมายกับศีลธรรมควรเลือกอะไร ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ไม่ว่าอายุครรภ์เพียง 1 วัน หรือ 1 เดือน ไม่ว่าเหตุผลหรือปัจจัยแวดล้อมใดก็ตาม การทำแท้งถือเป็นบาป และใช้องค์แห่งปาณาติบาตนั้นเป็นเกณฑ์ แม้แพทย์ผู้ให้บริการก็พึงรวมอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่า จะบาปมากหรือน้อย ถือเอาเจตนาและความพยายามในการกระทำเป็นสำคัญ มื่อศีลธรรมกำหนดว่า การทำแท้งเป็นตราบาปแก่สตรีที่เลือกจะยุติการตั้งครรภ์ จึงขัดกับหลักกฎหมายอาญามาตรา 301-305 ที่เห็นถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของสตรี โดยกำหนดให้การทำแท้งถูกกฎหมายตามเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมาย จึงนำมาสู่ข้อถกเถียงที่ว่า ชีวิตควรเป็นของใคร กฎหมายกับศีลธรรมควรเลือกอะไร แน่นอนว่า ทางศีลธรรมไม่สนับสนุนการทำแท้งทุกรูปแบบ และทางหลักกฎหมายก็ยอมรับว่า การทำแท้งเป็นสิทธิที่สตรีพึงจะได้รับอย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่แนวคิดทั้ง 2 อย่างจะยืนอยู่บนจุดมุ่งหมายเดียวกัน ดังนั้น องค์ความรู้ใหม่ คือ เมื่อไม่สามารถหยุดการทำแท้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ ควรสนับสนุนและให้ความรู้เกี่ยวกับการทำแท้งที่ปลอดภัยเพื่อลดอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยการให้คำปรึกษาและรับบริการจากแพทย์เฉพาะทางเพื่อเป็นการส่งเสริมสิทธิในชีวิตและร่างกายของสตรี รวมถึงทำให้ทางเลือกที่มีอยู่นั้นตั้งอยู่บนความปลอดภัยและถูกกฎหมาย เป็นที่ยอมรับของสังคมต่อไป
ผู้แต่ง : พระมหาสุชาติ ธมฺมกาโม, ประสาน เจริญศรี
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กระบวนการบริหารจัดการ การเสริมสร้างเครือข่ายของรัฐ เอกชน และภาคประชาชน และการวิเคราะห์สภาพปัญหาและอุปสรรคของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ในจังหวัดชลบุรีศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ สุ่มตัวอย่างจากประชากรที่อาศัยอยู่ในแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งท่องเที่ยว จำนวน400 คน และสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard divination) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ในลักษณะการบรรยาย
ผลการวิจัย พบว่า 1. นโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้ทำข้อตกลงร่วมกันในพื้นที่ลุ่มน้ำ สร้างวัฒนธรรมภูมิปัญญาและการจัดการทรัพยากรน้ำโดยชุมชน การออกกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่สอดคล้องกันตลอดทั้งลุ่มน้ำ รวมถึงระบบการศึกษาและกระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจในแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ พร้อมจัดทำระบบฐานข้อมูลที่สนับสนุนการจัดการทรัพยากรน้ำ 2. กระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตันน้ำ หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการน้ำโดยตรง สามารถตัดสินใจโดยไม่ต้องรอการอนุมัติ การบริหารจัดการกลางน้ำมีการบำรุงรักษา ทดสอบอุปกรณ์ให้มีความพร้อมในการใช้งานอยู่เสมอ และการบริหารจัดการปลายน้ำ ผู้ใช้น้ำได้รับข่าวสารจากการประปาซึ่งแจ้งผ่านทางเฟช ไลน์ และการใช้รถเทศบาลแจ้งข่าวเมื่อมีการหยุดจ่ายน้ำเพื่อทำการซ่อมบำรุงท่อประปา 3. การเสริมสร้างเครือข่าย มี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบเครือข่ายการบริหารจัดการเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติภัยแล้ง และรูปแบบเครือข่ายการบริหารจัดการน้ำในท่วมในยามวิกฤติ 4. ปัญหาและอุปสรรค แหล่งต้นน้ำมาจากการ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล การกักเก็บน้ำเพื่อนำไปใช้ในการเกษตรอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวไม่เพียงพอต่อความต้องการ แหล่งกลางน้ำ มีความต้องการใช้น้ำประปาในปริมาณที่มากขึ้นในแทบทุกกิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจแหล่งปลายน้ำเอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงส่วนรวม เทน้ำเสียที่ปนเปื้อนกากอุตสาหกรรมลงแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
ผู้แต่ง : พระครูสุภัทรกิจจานุการ, ปรัชญา บุตรสะอาด
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความทางวิชานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาธรรมาภิบาลในการบริหารวัดในพระพุทธศาสนาธรรมาภิบาลจัดเป็นแนวคิดสำคัญในการบริหารงานและการปกครองในปัจจุบันเพราะโลกปัจจุบันได้หันไปให้ความสนใจกับเรื่องของโลกาภิวัตน์ และธรรมาภิบาลหรือการบริหารจัดการที่ดีมากขึ้น แทนการสนใจเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมดังแต่ก่อน เพราะกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจมีความสำคัญกระทบถึงกัน การติดต่อสื่อสาร การดำเนินกิจกรรมในที่หนึ่งมีผลกระทบต่ออีกที่หนึ่ง การพัฒนาเรื่องของการเมืองการปกครองได้มุ่งให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น หากจะให้ประเทศมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนการมุ่งดำเนินธุรกิจ หรือปฏิบัติราชการต่างๆ โดยไม่ให้ความสนใจถึงเรื่องของสังคม ประชาชน และสิ่งแวดล้อมจึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การมีการบริหารจัดการที่ดีจึงเข้ามาเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญและเริ่มมีการนำไปปฏิบัติกันมากขึ้น
ผู้แต่ง : พระครูสุภัทกิจจานุการ, ปรัชญา บุตรสะอาด, วรพจน์ ก้องเสนาะ
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความทางวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวการบริหารจัดการบัญชีทางการเงินของวัดโดยหลักธรรมาภิบาล ศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีเพื่อการจัดการ ศึกษาหลักการบริหารบัญชีทางการเงินของวัด และศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการบัญชีทางการเงินของวัดโดยหลักธรรมาภิบาล วัดเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร และมีกิจกรรมจัดหาทุนผ่านการบริจาค จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ด้วยความสำคัญการบริหารจัดการบัญชีทางการเงินของวัดโดยหลักธรรมาภิบาล นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บริหารการเงินของวัดนั้นจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แม้จะเป็นองค์กรทางศาสนา แต่วัดมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มิใช่ระบบตลาด หรือตามระบบบัญชีประชาชาติ ค.ศ. 1993 เรียกว่า สถาบันไม่แสวงหากำไรให้บริการครัวเรือน หมายถึง องค์กรที่ดำเนินงานโดยไม่หวังผลกำไร โดยผลิตสินค้าและบริการให้กับประชาชนหรือสังคมโดยไม่คิดราคาหรือแบบให้เปล่า หรือจำหน่ายในราคาที่ไม่คุ้มทุนหรือในราคาที่ไม่มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ ในที่นี้ครอบคลุมองค์กรประเภทมูลนิธิ สมาคม องค์กรทางศาสนา และพรรคการเมือง เป็นต้น
ผู้แต่ง : ปรัชญา บุตรสะอาด, พิรจักษณ์ ฉันทวิริยสกุล, สุขสรร ทองที
สังกัด : วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ” การมีส่วนร่วมของประชาชนมีความสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนและส่งเสริมธรรมาภิบาลตลอดจนการบริหารงาน หากการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นเพียงใด ก็จะช่วยให้มีการตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารประเทศ และส่งผลให้ผู้บริหารประเทศมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นการป้องกันนักการเมืองจากการกำหนดนโยบายที่ไม่เหมาะสมกับสังคมนั้น ๆ การมีส่วนร่วมทางการเมือง จึงเป็นเครื่องชี้วัดพัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศที่พัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่ในระดับที่ดีแล้วก็มักจะกำหนดให้ประชาชนในทุกระดับมีส่วนร่วมในทางการเมือง สำหรับประเทศไทยได้เปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น โดยการรับรองสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านช่องทางและกระบวนการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ อย่างไรก็ตามการมีส่วนร่วมทางการเมืองจะส่งผลต่อการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่นั้น ปัจจัยสำคัญประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ รู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตนในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง และใช้สิทธินั้น โดยไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่สำคัญประชาชนต้องมีสำนึกทางการเมืองโดยการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ
ผลงานวิชาการ วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี (มิถุนายน 2565 - พฤศภาคม 2566)
ผู้แต่ง พระมหาเสาร์คำ ธมฺมธีโร, ประสาน เจริญศรี
สังกัด วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบกฎหมาย รวมถึงการลงโทษ ทั้งในส่วนของคณะสงฆ์ และส่วนของฝ่ายบ้านเมือง ในมิติที่มีความสัมพันธ์กัน ในกระบวนการยุติธรรมคณะสงฆ์ภายใต้กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 กล่าวถึงการนำกฎหมายมาบังคับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะความผิด และความเชื่อมโยงกันในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม รวมถึงโทษที่จะได้รับจากการกระทำผิดที่มีลักษณะเป็นความผิดเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายฉบับ ทั้งในพระธรรมวินัย ประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จึงนำมาสู่ระบบกฎหมายคณะสงฆ์ ในรูปแบบลายลักษณ์อักษร และคำสั่งทางการปกครอง จึงนำไปสู่ปัญหาที่ว่า คณะสงฆ์ผู้มีอำนาจพิจารณาจะมีความรู้ความสามารถทางกฎหมายสงฆ์และกฎหมายบ้านเมืองเพียงพอที่จะวินิจฉัยความผิดได้ดีพอหรือไม่ กฎเกณฑ์ที่มีอยู่เพียงพอในการพิจารณาช่วยเหลือพระสงฆ์ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดให้ได้มีโอกาสต่อสู้คดีหรือไม่ จึงอาจเกิดความเหลื่อมล้ำในการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะมาตรา 29 และมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2535 ส่งผลให้พระภิกษุที่ได้รับโทษไม่สามารถกระทำกิจของสงฆ์ได้ตามปกติ ดังนั้นอาจใช้การเปรียบเทียบปรับ การยื่นหลักประกันไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 24 หรือการรับตัวมากักขังไว้ที่วัด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 25 โดยไม่ต้องให้สละสมณเพศ ทำให้พระภิกษุสามารถกระทำกิจของสงฆ์ได้ตามปกติ
ผู้แต่ง พระมหาสุชาติ ธมฺมกาโม, พระครูสุภัทรกิจจานุการ, ฉัตรชัย แนวพญา
สังกัด วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิชาการนี้ มุ่งอธิบายถึงระบบศาลและตุลาการ ของกระบวนการยุติธรรมคณะสงฆ์ ภายใต้กฎมหาเถรสมาคมและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 โดยนำเสนอลักษณะการปครองของคณะสงฆ์ ระบบศาล พยานหลักฐานและการแสวงหาความจริงในกระบวนการยุติธรรมคณะสงฆ์ รวมถึงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองกับระบบตุลาการคณะสงฆ์ กล่าวถึงระบบการรวมอำนาจ คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ เข้าไว้ในตำแหน่งเจ้าคณะปกครองเพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งเจ้าคณะปกครองจะมีอำนาจบริหาร ในขณะเดียวกัน สามารถออกคำสั่งทางการปกครอง และทำหน้าที่ตุลาการคณะสงฆ์โดยตำแหน่งพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ การปกครอง หรือการพิจารณาคดี รวมถึงการลงนิคหกรรม (ลงโทษ) พระภิกษุ จึงเป็นไปเพื่อการรักษาเสถียรภาพทางอำนาจในการปกครอง มากกว่าการพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น หากมีการแยกอำนาจตุลาการออกจากเจ้าคณะปกครอง ให้แก่รองเจ้าคณะปกครอง ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมาย สามารถปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะปกครองได้ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเจ้าคณะปกครอง และเพิ่มบทบาทการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ให้แก่รองเจ้าคณะปกครองมากขึ้น การถ่ายโอนอำนาจนั้นอาจเป็นไปได้ยาก แต่หากมีการผลักดันจากเจ้าคณะปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ผู้แต่ง พระมหาเสาร์คำ ธมฺมธีโร (ใส่แก้ว)
สังกัด วิทยาลัยสงฆ์ชลบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบกฎหมาย รวมถึงการลงโทษ (นิคหกรรม) ทั้งในส่วนของคณะสงฆ์ และส่วนของฝ่ายบ้านเมือง ในมิติที่มีความสัมพันธ์ หรือเกี่ยวเนื่องกัน อันปรากฏในกระบวนการยุติธรรมคณะสงฆ์ภายใต้กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 พุทธศักราช 2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม โดยเป็นการอธิบายถึงลักษณะ การนำมาปฏิบัติใช้ การนำกฎหมายมาบังคับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะความผิด และความเชื่อมโยงกันในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมของระบบกฎหมาย รวมถึงโทษที่จะได้รับจากการกระทำผิดที่มีลักษณะเป็นความผิดเดียว กรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายฉบับ ทั้งในพระธรรมวินัย ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 และกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 23 พุทธศักราช 2541 จึงนำมาสู่ระบบกฎหมายคณะสงฆ์ที่นำมาปฏิบัติใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบลายลักษณ์อักษร และคำสั่งทางการปกครองที่เรียกว่า คำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่อย่างไรก็ดีลักษณะการลงโทษ (นิคหกรรม) นั้น ก็ยังมีช่องว่างของกฎหมาย หรือการให้อำนาจแก่ฝ่ายบ้านเมืองมากอยู่พอสมควร จึงเกิดความเหลื่อมล้ำในการใช้กฎหมาย ส่งผลให้พระภิกษุที่ได้รับโทษจากช่วงว่างของกฎหมาย ไม่สามารถกระทำกิจของสงฆ์ได้ตามปกติ ทั้งนี้จึงมีการเสนอรูปแบบแนวทางการลงโทษที่ไม่ต้องสิ้นสุดลงด้วยการสละสมณเพศ เพื่อจุดประสงฆ์สำคัญที่จะปกครองคณะสงฆ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อยและปฏิบัติกิจการของคณะสงฆ์ต่อไปได้ สามารถนำไปบังคับใช้ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภายในประเทศที่มีความแตกต่างหลายหลายทางประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคม ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และสามารถลดความอยุติธรรมที่เกิดกับการลงโทษพระภิกษุสงฆ์ให้น้อยลงได้ในอนาคต