ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ คือ การริเริ่ม พัฒนา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง ในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
ประเด็นท้าทาย เรื่อง การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และและคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
จากการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของ ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผ่านไประยะหนึ่ง สังเกตและตรวจงาน พบประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหาดังนี้
1.ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อกำหนดของหลักการของรูปสามเหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการ โดยนักเรียนบางคนอาจไม่เข้าใจหรือสับสนเกี่ยวกับข้อกำหนดนี้ เช่น การไม่เข้าใจว่า "มุมที่อยู่ระหว่างด้าน" หรือ "ด้านที่เชื่อมกับมุม" คืออะไร อาจทำให้ไม่สามารถแยกแยะเงื่อนไขที่จำเป็นใน การพิสูจน์ความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยมได้อย่างถูกต้อง
2.ใช้ทฤษฎีและการพิสูจน์ไม่เป็น ว่า"รูปสามเหลี่ยมสองรูปมีความเท่ากันทุกประการ" จำเป็นต้องใช้ทักษะในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ แต่บางครั้งนักเรียนอาจไม่คุ้นเคยกับการพิสูจน์โดยวิธีการทางเรขาคณิต เช่น การเขียนขั้นตอนการพิสูจน์ที่ถูกต้อง หรือการใช้สมมติฐานในการพิสูจน์ความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยม นักเรียนอาจไม่รู้ว่าจะเริ่มพิสูจน์จากไหน หรือไม่เข้าใจว่าแต่ละขั้นตอนที่ต้องพิสูจน์มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
3.ความยากในการวาดและเข้าใจรูปสามเหลี่ยม ซึ่งนักเรียนบางคนอาจประสบปัญหาในการวาดรูปสามเหลี่ยมที่มีความเท่ากันทุกประการ ให้ได้อย่างถูกต้อง อาจเกิดความสับสนระหว่างการวาดด้านหรือมุมที่สัมพันธ์กันผิด และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างด้านและมุมในรูปสามเหลี่ยมเป็นสิ่งที่สำคัญ
4.ใช้เครื่องมือวัดไม่ถูกต้อง โดยนักเรียนใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสมหรือไม่รู้วิธีการใช้อย่างถูกต้อง เช่น การวัดมุมด้วยโปรแทรคเตอร์ที่ไม่ตรงหรือใช้ไม้บรรทัดวัดความยาวไม่แม่นยำ ซึ่งจะส่งผลต่อการพิสูจน์หรือการตรวจสอบว่ารูปสามเหลี่ยมทั้งสองมีความเท่ากันหรือไม่
5. แยกแยะระหว่างเกณฑ์ต่างๆ ของการพิสูจน์ความเท่ากัน :ซึ่งนักเรียนสับสนระหว่างเกณฑ์การพิสูจน์ความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยมต่างๆ เช่น ด้าน-มุม-ด้าน, ด้าน-ด้าน-ด้าน, มุม-ด้าน-มุม, หรือ มุม-มุม-ด้าน โดยไม่สามารถเลือกใช้เกณฑ์ที่ถูกต้องตามลักษณะของปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้
6. ไม่เข้าใจในเชิงลึกของความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยม ซึ่งนักเรียนบางคนมีความเข้าใจแค่เพียงผิวเผินว่า "รูปสามเหลี่ยมที่มีด้านหรือมุมเท่ากันก็เท่ากัน" โดยไม่เข้าใจว่า ความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยมนั้นเกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ลักษณะต่างๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างมุมและด้าน หรือข้อกำหนดที่ต้องเป็นจริงในเวลาเดียวกัน
7. ขาดทักษะในการคิดเชิงตรรกะ การพิสูจน์ความเท่ากันของรูปสามเหลี่ยม ต้องใช้ทักษะการคิดเชิงตรรกะและการวิเคราะห์ขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องพิสูจน์ นักเรียนที่ขาดทักษะในการคิดอย่างเป็นระบบอาจไม่สามารถวิเคราะห์และแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
ผู้วิจัยมีการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะดำเนินการ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ดังนี้
1.นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความเท่ากันทุกประการของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างขึ้นและผ่านการวิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขแล้วมาทดสอบก่อน การจัดการเรียนการสอน
2. จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างไว้ เรื่อง ความเท่ากันทุกประการ โดยการใช้ร่วมกับแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
3. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ความเท่ากันทุกประการ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาทำการทดสอบหลังการจัดการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ครบตามแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว
3. สรุปผลการศึกษา
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน พบว่า การใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ มีคะแนนแบบทดสอบย่อยของนักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองทั้งหมดมีค่าประสิทธิ์ภาพสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน ด้านความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วย แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์นักเรียนมีความพึงพอใจ ด้านกิจกรรมที่แบบฝึกช่วยให้นักเรียนคิดอย่างเป็นลำดับขั้นตอน และ แบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะการคิดได้ดีขึ้น