พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำการค้าขายและธุรกรรมซื้อขายผ่านทางระบบออนไลน์ หรือทางอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ซึ่งสามารถขายสินค้าได้ทุกที่ ที่อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึง โดยไม่ต้องเช่าพื้นที่หน้าร้านในแหล่งชุมชนซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกได้มีโอกาสพบเห็นสินค้าของคุณ สำหรับผู้ซื้อช่วยให้สะดวกสบายไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดไปซื้อสินค้าจากหน้าร้านค้าโดยตรง เพียงเลือกสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่ที่บ้าน ชำระเงินผ่านระบบที่น่าเชื่อถือ และรอสินค้ามาส่งถึงที่บ้าน
ในกรณีที่ใช้บริการเปิดร้านค้าออนไลน์จากเว็บไซต์ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน จริงๆก็ได้ สามารถตั้งชื่อร้าน รวมไปถึงกำหนดชื่อเว็บไซต์ของคุณเอง (URL) สามารถตกแต่งป้ายร้านค้าออนไลน์ สีสันของหน้าร้าน จัดหมวดหมู่ของสินค้า ตั้งราคาสินค้า ลงรูปสินค้า ไปจนถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ของร้าน ได้อย่างอิสระ และสามารถ เปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านี้ ได้ตลอดเวลา
ในปัจจุบันการขายของออนไลน์ได้รับความนิยมสูงมาก เนื่องจากมีข้อได้เปรียบกว่าการเปิดร้าน แบบปกติทั่วไป ทั้งประหยัดงบประมาณและประกาศขายสินค้าได้ไม่ยาก เพียงแค่อาศัยบริการเปิดร้านค้า ออนไลน์หรือบริการฝากขายสินค้าจากเว็บไซต์ต่างๆ ก็สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้แล้ว
1.1 ความหมายของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ความหมายของอิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยครอบคลุมถึงการซื้อขายสินค้าบริการ การชำระเงิน การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต
กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่าน และระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์
องค์กรการค้าโลก ให้คำจำกัดความไว้ว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์
Electronic Commerce หรือ E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยส่งข้อมูลด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่าย เช่น Internet ถ้าผู้ใช้มีเครื่องคอมพิวเตอร์ คู่สายโทรศัพท์ โมเด็ม และเป็นสมาชิกของบริการ Internet ก็สามารถทำการค้าผ่านระบบเครือข่ายได้
E-Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Internet กับการจำหน่ายสินค้าและบริการ โดยสามารถนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการผ่านทาง Internet สู่คนทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การดำเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดรายได้ในระยะเวลาอันสั้น
อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ดังนี้
1. ธุรกิจกับธุรกิจ (Bus iness-to-Business : B2B) คือ e-commerce ที่ครอบคลุมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของสินค้าหรือบริการที่ดำเนินการระหว่างบริษัท ผู้ผลิตและผู้ค้าส่งแบบดั้งเดิม
2. ธุรกิจกับผู้บริโภค (Business-to-Consumer : B2C) เป็นประเภทธุรกิจ e-commerce ที่มีความโดดเด่นด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค ซึ่งจะสอดคล้องกับส่วนค้าปลีกของอีคอมเมิร์ซที่จะทำให้การค้าปลีกแบบดั้งเดิมทำงานได้ตามปกติ เพราะในปัจจุบันการค้าประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการเข้าถึงเว็บไซตได้ง่ายและมีร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าเสมือนจริงอยู่หลายแห่งบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภทเช่นคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์หนังสือ รองเท้า รถยนต์ อาหาร ผลิตภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ดิจิตอล และอื่น ๆ
3. ผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer-to-Consumer : C2C) ประเภทนี้จะครอบคลุมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของสินค้าหรือบริการที่ดำเนินการระหว่างผู้บริโภค โดยทั่วไปธุรกรรมเหล่านี้จะดำเนินการผ่านทางบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการดำเนินธุรกรรมอย่างแท้จริง เช่น ebay.com เป็นต้นลูกค้ากับธุรกิจ (Consumer-to-Bus iness : C2B) ประเภทของ e-commerce นี้ คือการติตต่อจากลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจ เป็นที่นิยมมากในวางแผน โดยบุคคลจำนวนมากจะสามารถทำให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของตนสามารถขายด้ห้กับบริษัทที่กำลังหาบริการหรือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่นักออกแบบเสนอโลโก้ให้บริษัทและบริษัทเลือกเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีอีกแพลตฟอร์มหนั่งที่เป็นที่นิยมมากในการค้าประเภทนี้คือตลาดที่ขายภาพถ่าย ภาพสื่อและองค์ประกอบในการออกแบบที่ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ เช่น iStockphoto หรือ Pixabay เป็นต้น
4.ธุรกิจกับหน่วยงานรัฐ (Business-to-Administration: B2A) ในส่วนนี้จะครอบคลุมธุรกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการแบบออนไลน์ระหว่างบริษัท และหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่าง ๆ เช่นการคลัง การประกันสังคม การจ้างงาน เอกสารทางกฎหมาย การลงทะเบียน และอื่น ๆ ดังนั้นการบริการประเภทนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการลงทุนใน e-government หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
5. กลุ่มบุคคลกับหน่วยงานรัฐ (Consumer-to-Government : C2A) เป็นรูปแบบที่ครอบคลุมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดที่ทำขึ้นระหว่างบุคคลและหน่วยงานรัฐเช่น การเผยแพร่ข้อมูล การศึกษาทางกล การชำระเงิน การยื่นแบบแสดงรายการภาษี เป็นต้น
สาระของการติดต่อธุรกิจ E-Commerce จะมี 4 ประการ คือ
1.การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
2.การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
3.การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
4.บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย
บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce
เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการ จัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะ จะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของ ที่ประชุมเอเปคด้วย
ความปลอดภัยกับ E-Commerce
ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation)เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต
สำหรับในประเทศไทย ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม
3. ชำระเงินปลายทาง ของบริการขนส่งของบริษัทต่าง ๆ
1.2 แรงผลักดันให้มีการพัฒนา E- commerce
แรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce
E-Commerce เกิดขึ้นจากความต้องการประสบความสำเร็จของธุรกิจ ซึ่งความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานภายในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สังคม คู่แข่งและเทคโนโลยี เป็นต้น ในที่นี้จึงขอจำแนกแรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce ออกเป็น 2 ประการ คือ
1. การปฏิวัติสู่ยุคดิจิตอล
เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิด E-Commerce ดังจะเห็นได้จากการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา ติดต่อสื่อสาร หรือการค้นหาข้อมูล ล้วนนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ทั้งสิ้น เรียกว่า เศรษฐกิจแบบดิจิตอล
เศรษฐกิจแบบดิจิตอล หมายถึง การทำเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานจากการนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้งาน ได้แก่ เครือข่ายการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล เช่น คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น
2. สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (Business Environment)
หมายถึง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประการ
1. แรงผลักดันทางการตลาดและสภาพเศรษฐกิจ (Market and Economic Pressure) เช่น ความรุนแรงของการแข่งขันในตลาด การรวมกลุ่มทางการค้า หรืออำนาจในการต่อรองของลูกค้า
2. แรงผลักดันทางสังคม (Societal Pressure) เช่น กฎหมายหรือนโยบายทางรัฐที่ส่งผลต่อธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม จรรยาบรรณทางธุรกิจ
3. แรงผลักดันทางเทคโนโลยี (Technology Pressure) เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ล้าสมัยเร็วกว่าอายุการใช้งานจริง
แบบจำลองทางธุรกิจของ E-Commerce
แบบจำลองทางธุรกิจ (Business Model) หมายถึง วิธีการดำเนินธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้อันจะทำให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการด้วย ซึ่ง กิจกรรมเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ได้จากตัวแบบห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain Model)
โครงสร้างของแบบจำลองทางธุรกิจ
1. Value Proposition เป็นหัวใจสำคัญของแบบจำลองทางธุรกิจ Value proposition อธิบายถึงมูลค่าเฉพาะขององค์กรที่เสนอแก่ลูกค้า ซึ่งมูลค่าเฉพาะนี้จะเติมเต็มความต้องการของลูกค้า และเป็นตัวที่ทำให้องค์กรโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ตัวอย่างของ Value proposition เช่น ความสามารถในการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย การให้บริการสืบค้นข้อมูลสินค้าทำให้ลูกค้าสามารถลดค่าใช้จ่ายในการค้นหาสินค้า
2. Revenue Model การที่องค์กรสร้างรายได้ ผลกำไร และผลตอบแทนจากการลงทุน
3. Market Opportunity โอกาสทางการตลาดกล่าวถึงพื้นที่ในตลาดที่องค์กรมุ่งหวัง และโอกาสในการทำเงินจากพื้นที่ในตลาดนั้น
4. Competitive Environment
สถานการณ์ในการแข่งขันกล่าวถึงวิธีการดำเนินงาน ความสามารถในการทำกำไร ส่วนแบ่งตลาด ตลอดจนการตั้งราคาของคู่แข่งขันต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่มีการดำเนินการทางธุรกิจอยู่ในพื้นที่ตลาดเดียวกัน และมีการขายสินค้าและบริการคล้ายๆกัน
ความได้เปรียบในการแข่งขันเกิดขึ้นเมื่อองค์กรสามารถที่จะสร้างความโดดเด่นหรือความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งขันที่ผลิตสินค้าและบริการที่เหมือนกันที่มีกลุ่มลูกค้าเดียวกัน
กลยุทธ์ทางการตลาด คือแผนการที่อธิบายถึงกระบวนการต่างๆ ที่องค์กรใช้เพื่อเข้าสู่ตลาดและดึงดูดลูกค้า รวมไปถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในการเพิ่มยอดขายและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันแบบยั่งยืน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
7. Organization Development
การพัฒนาองค์กร คือแผนการที่อธิบายถึงวิธีการจัดการความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของคนในองค์กร ตลอดจนการแบ่งโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก หรือเพื่อให้บรรลุผลในการทำงาน
ทีมผู้บริหารคือกลุ่มพนักงานที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนแบบจำลองทางธุรกิจให้ประสบความสำเร็จตามแผนการและเป้าหมายที่วางไว้ ทีมผู้บริหารที่เข้มแข็งจะช่วยให้แบบจำลองทางธุรกิจนั้นมีความน่าเชื่อถือต่อนักลงทุนภายนอก และสามารถนำพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จตามแผนธุรกิจหรือมีการปรับแบบจำลองทางธุรกิจหรือแผนธุรกิจตามสถานการณ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้
แบบจำลองทางธุรกิจของ E-Commerce
1. การตลาดขายตรงออนไลน์ (Online Direct Marketing) เป็นแบบจำลองที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเป็นแบบจำลองที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์
2. การประมูลออนไลน์ (Online Auction) เป็นแบบจำลองที่ผู้สนใจเข้าไปยื่นเสนอราคาประมูล เพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายผ่านระบบออนไลน์
3. ระบบการยืนประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Tendering System) เป็นแบบจำลองที่ใช้กับผู้ซื้อที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าการซื้อจำนวนมาก
4. การตลาดออนไลน์โดยใช้ตัวแทนเพื่อโฆษณาสินค้า (Affiliate Marketing) เป็นแบบจำลองที่เป็นการทำธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้ขายสินค้าและบริษัทตัวแทนรับฝากโฆษณา โดยการฝากชื่อลิงค์ของบริษัทผู้ขาย
5. การรวมกลุ่มกันซื้อ (Group Purchasing) เป็นแบบจำลองที่ใช้เพื่อเป็นข้อต่อรองในการซื้อขายสินค้า โดยการรวมกลุ่มกันซื้อเพื่อให้ได้ส่วนลด
6. การสั่งทำสินค้าและบริการ (Product and Service Customization) เป็นแบบจำลองที่อนุญาตให้ลูกค้าสามารถสั่งทำสินค้าและบริการตามที่ต้องการได้ผ่านทางเว็บไซต์
7. การสมัครสมาชิก (Membership) เป็นแบบจำลองที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สมัครเป็นสมาชิก
8. การกำหนดราคาที่ต้องการด้วยตนเอง (Name Your Own Price) เป็นแบบจำลองที่ผู้ซื้อสามารถกำหนดราคาสินค้าและบริการตามวงเงินที่ตนเองมีอยู่
9. บล็อกและชุมชนเพื่อการติดต่อสื่อสาร (Communication and Blogging) เป็นแบบจำลองที่นำเครือข่ายการติดต่อสื่อสารมาใช้ประโยชน์ทางการค้า
1.4 ข้อดีข้อเสียของการพัฒนา E- commerce
1. ลดค่าใช้จ่าย การใช้ค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์นั้นมีต้นทุนที่ตำมากเมื่อเทียบกับธุรกิจในระดับต่างๆ เว็บไซต์บางเว็บก็มีระบบการสร้างร้านค้าออนไลน์ให้ฟรีโดยเราสามารถจัดการข้อมูลได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องจ้างพนักงานจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าเองก็ได้และถ้าเว็บไซต์ของเราดูดี สวยงามและใช้งานได้ง่ายก็จะเป็นการเพื่อความเชื่อถือให้กับผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น ดูข้อมูลการสร้างเว็บไซต์
2. สามารถบริการลูกค้าได้อาทิตย์ละ 7 วัน วันละ 24 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าและบริการได้ตลอดเวลาและสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทุกเวลาอีกด้วย
3. มีระบบชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิต ลูกค้ามักสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีและถือเป็นความสะดวกสะบายให้แก่ลูกค้า
4. จัดการข้อมูลลูกค้า สินค้าและบริการ ได้อย่างง่ายดายเช่นการเพิ่ม การลดลงของสินค้า ราคา เราสามารถกำหนดได้ทันทีและสามารถทำได้ทุกที่ที่อินเตอร์เนตสามารถเข้าถึงได้
5. ร้านค้าออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีลูกเล่นเยอะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ รวมถึงมีเว็บบอร์ดทำให้สามารถถามตอบปัญหาให้กับลูกค้าได้และลูกค้าบางคนก็สามารถให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าใหม่ของเราได้
6. ชื่อร้านค้าหรือโดเมนของร้านค้าที่ดีจะสามารถเป็นที่จดจำให้แก่ลูกค้าได้มากกว่าเบอร์โทรศัพท์ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับเราได้ง่าย
7. ระบบเว็บไซต์มีข้อมูลสถิติผู้เข้าชมและสามารถนำมาวิเคราะห์แผนการตลาดได้ในอนาคต
8. สร้างภาพพจน์ให้กับธุรกิจทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราเป็นองค์กรที่ทันสมัยและไม่ตกยุค
1. ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล ข้อมูลบนบัตรเครดิตอาจถูกดักฟังหรืออ่าน เพื่อเอาชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้โดยที่เจ้าของบัตรเครดิตไม่รู้ได้ การส่งข้อมูลจึงต้องมีการพัฒนาวิธีการเข้ารหัสที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน เพื่อให้ข้อมูลของลูกค้าได้รับความปลอดภัยสูงสุด
2. ประเทศไทยยังไม่มีธนาคารที่จะแบกรับความเสี่ยงสำหรับการชำระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์และปัจจุบันก็ยังมีการใช้บริการผ่านธนาคารของต่างประเทศอยู่แต่ทุกวันนี้ก็เริ่มมีธนาคารในเมืองไทยได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
3. ปัญหาความยากจนและยังเข้าถึงอินเตอร์เนตยังไม่สามารถกระจายข้อมูลได้บางบริเวณ
4. E-Commerce ยังมีประเด็นเชิงนโยบายที่ทำให้รัฐบาลต้องเข้ามากำหนดมาตรการ เพื่อให้ความคุ้มครองกับผู้ซื้อและผู้ขาย ขณะเดียวกันมาตรการเรื่องระเบียบที่จะกำหนดขึ้นต้องไม่ขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยี
5. ผู้ซื้อไม่มั่นใจเรื่องการเก็บรักษาความลับทางธุรกิจ ข้อมูลส่วนบุคคลเช่น ไม่มั่นใจว่าจะมีผู้นำหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบหรือไม่
6. ผู้ขายไม่มั่นใจว่าลูกค้ามีตัวตนอยู่จริง จะเป็นบุคคลเดียวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่ มีความสามารถในการที่จะจ่ายสินค้าและบริการหรือไม่ และไม่มั่นใจว่าการทำสัญญาซื้อขายผ่านระบบ E-Commerce จะมีผลถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
7. E-commerce นั้นขึ้นอยู่กับการจัดการธุรกิจที่ดีด้วยเพราะการนำระบบนี้มาใช้ไม่ควรทำตามกระแสนิยมและไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้ก็เป็นการเสียผลประโยชน์หรือการเสียต้นทุนโดยไม่จำเป็น
ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix)
1. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ การกำหนดตราสินค้า (Brand) คำขวัญ (Slogan) โลโก้ (Logo) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ฉลาก (Label)
2. กลยุทธ์ราคา การกำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย และกลยุทธ์การตั้งราคา
3. กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การกำหนดช่องทางการจัดจำหน่าย (ช่องทางตรง ช่องทางอ้อม) ประเภทคนกลางและการควบคุมคนกลาง การปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า (การขนส่ง การคลังสินค้า การควบคุมสินค้าคงเหลือ เป็นต้น)
4. กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การโฆษณา (สื่อโฆษณา งบประมาณการโฆษณา ฯลฯ) การประชาสัมพันธ์ (การให้ข่าว การจัดเหตุการณ์พิเศษ กิจกรรมบริการชุมชน ฯลฯ) การขายโดยบุคคล (การกำหนดค่าตอบแทน การจูงใจ การควบคุม การประเมินผล ฯลฯ) การส่งเสริมการขาย (มุ่งสู่ผู้บริโภค มุ่งสู่คนกลาง มุ่งสู่พนักงานขาย) และการตลาดทางตรง (จดหมายตรง การตลาดทางโทรศัพท์ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น)