รูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2E DTK Q4GS Model คือ รูปแบบการบริหารจัดการ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเป็นรูปแบบการบริหารจัดการสถานศึกษาเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเชิงระบบ อันจะนำไปสู่การดำเนินงานที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเกิดความยั่งยืน ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) โดยมีการสะท้อน ผลกลับทั้งปัจจัยและกระบวนการ ดังนี้
1. ปัจจัยนำเข้า (Input) หมายถึง สภาพการปฏิบัติงานและความต้องการในการพัฒนา สถานศึกษา สู่ความเป็นโรงเรียนดีใกล้บ้าน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน โรงเรียนขนาดกลางในจังหวัดนครปฐม และผลการวิเคราะห์บริบท นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนโยบายของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
2. กระบวนการ (Process) หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการคุณภาพสถานศึกษาให้ถึงเป้าหมาย และผลลัพธ์สุดท้าย ด้วยการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยระบบ PDCA น้อมนำแนวทางศาสตร์พระราชามาเป็นแนวทางหลักในการพัฒนา ยึดหลัก ธรรมาภิบาลและระบบการประกันคุณภาพ (2E DTK Q4GS Model)
2E DTK
[E] Environment and Empowerment
[E] Environment
การจัดการสิ่งแวดล้อม (Environment) ในการศึกษาในโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาของนักเรียน โดยสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในโรงเรียนสามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment)
ห้องเรียนที่เหมาะสม : การจัดห้องเรียนที่สะอาด โปร่งสบาย มีแสงสว่างเพียงพอ และการระบายอากาศที่ดี ช่วยให้นักเรียนรู้สึกสบายและมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น
อุปกรณ์การเรียนที่ครบครัน : มีอุปกรณ์สื่อการสอนที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ หรือสื่อดิจิทัล เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
พื้นที่สำหรับกิจกรรม : การจัดสรรพื้นที่กลางแจ้งหรือห้องเฉพาะสำหรับกิจกรรม เช่น ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการ ห้องออกกำลังกาย หรือสนามกีฬา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social Environment)
ความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน : ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและนักเรียนสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่อบอุ่นและเปิดกว้าง ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนกล้าแสดงออก มีความมั่นใจในการเรียนรู้ และรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับ
การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย : การสนับสนุนการเรียนรู้แบบไม่แบ่งแยกและไม่เลือกปฏิบัติ สร้างสิ่งแวดล้อมที่นักเรียนทุกคนรู้สึกปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นและการเรียนรู้
การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมชั้น : การส่งเสริมให้เกิดการทำงานกลุ่มหรือการช่วยเหลือกันในหมู่นักเรียนเอง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกัน
3. สิ่งแวดล้อมทางวิชาการ (Academic Environment)
หลักสูตรที่ยืดหยุ่นและเหมาะสม : หลักสูตรที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนในแต่ละช่วงวัย รวมถึงการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เช่น การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ (Experiential Learning) การสอนที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และทักษะชีวิต
การใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน : การใช้สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีช่วยในการจัดการเรียนรู้ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ระบบการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและทันสมัย
การประเมินผลที่สร้างสรรค์ : การใช้วิธีการประเมินผลที่ส่งเสริมการพัฒนา เช่น การประเมินผลตามโครงการ (Project-Based Assessment) หรือการประเมินผลแบบต่อเนื่อง (Continuous Assessment) เพื่อติดตามความก้าวหน้าและพัฒนาศักยภาพของนักเรียน
4. สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา (Psychological Environment)
การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข : การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ลดความกดดันและความเครียด ส่งเสริมให้นักเรียนรักการเรียนรู้ รู้สึกมีความสุขและสนุกกับการศึกษา
การสนับสนุนทางอารมณ์ : การมีครูหรือที่ปรึกษาที่สามารถให้การสนับสนุนและคำแนะนำทางอารมณ์ ช่วยให้นักเรียนมีความมั่นคงทางจิตใจ รู้สึกได้รับการเอาใจใส่และการสนับสนุน
การพัฒนาแรงจูงใจ : สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่น การให้รางวัลหรือการยกย่องในความสำเร็จ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและเป้าหมายในการเรียน
การมีส่วนร่วมของชุมชน : การเชื่อมโยงการเรียนรู้ในโรงเรียนกับชุมชน เช่น การร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น โครงการฝึกงาน การทัศนศึกษา เพื่อให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ในบริบทที่หลากหลาย
การสนับสนุนจากผู้ปกครอง : ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน : การจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชน เช่น กิจกรรมอาสาสมัคร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมทางวัฒนธรรม ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
การจัดการสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ดี ไม่เพียงแต่ส่งเสริมพัฒนาการทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะชีวิตและสร้างนักเรียนให้เป็นพลเมืองที่ดีในสังคม
การนำการวิเคราะห์ SWOT มาใช้ในการบริหารโรงเรียนจะช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของสถานศึกษาในเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้สามารถพัฒนาโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการวิเคราะห์นี้จะแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ จุดแข็ง (Strengths), จุดอ่อน (Weaknesses), โอกาส (Opportunities), และอุปสรรค (Threats)
1. จุดแข็ง (Strengths)
การระบุจุดแข็งของโรงเรียนช่วยให้เข้าใจว่าโรงเรียนมีข้อได้เปรียบอะไรบ้างในระบบการศึกษา เช่น:
คุณภาพของครูที่มีความสามารถและประสบการณ์
หลักสูตรการเรียนการสอนที่เข้มแข็งและทันสมัย
สิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี เช่น ห้องสมุด ห้องวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์การสอนที่ครบครัน
ชื่อเสียงของโรงเรียนที่ได้รับการยอมรับในชุมชนหรือจากองค์กรภายนอก
2. จุดอ่อน (Weaknesses)
จุดอ่อนคือสิ่งที่โรงเรียนควรปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีขึ้น เช่น:
ขาดแคลนครูที่มีความเชี่ยวชาญในบางวิชา
ทรัพยากรหรืออุปกรณ์การเรียนที่ไม่เพียงพอหรือเก่าเกินไป
การจัดการทรัพยากรการเงินที่อาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนาโรงเรียน
ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง
3. โอกาส (Opportunities)
โอกาสคือปัจจัยภายนอกที่โรงเรียนสามารถใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง เช่น:
นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถใช้ในการจัดการเรียนการสอน
การเข้าร่วมโครงการความร่วมมือกับองค์กรภายนอก
การเติบโตของประชากรหรือความต้องการในการศึกษาที่เพิ่มขึ้นในชุมชน
4. อุปสรรค (Threats)
อุปสรรคคือความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อโรงเรียน เช่น:
การแข่งขันจากโรงเรียนอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษาที่อาจมีผลกระทบต่อการบริหารงาน
สภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ
ความคาดหวังที่สูงจากผู้ปกครองและสังคมในเรื่องคุณภาพการศึกษา
การใช้ SWOT อย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้โรงเรียนบริหารจัดการและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเรียนการสอนและสร้างคุณภาพที่ยั่งยืนในอนาคต
การวิเคราะห์ TOWS เป็นการต่อยอดจากการวิเคราะห์ SWOT โดยนำข้อมูลจุดแข็ง (Strengths), จุดอ่อน (Weaknesses), โอกาส (Opportunities), และอุปสรรค (Threats) มาประยุกต์ใช้ในการวางกลยุทธ์โดยพิจารณาแต่ละคู่ของปัจจัยเหล่านี้ เพื่อให้ได้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรงเรียน
การวิเคราะห์ TOWS ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก
1. กลยุทธ์ SO (Strengths-Opportunities)
ใช้จุดแข็งของโรงเรียนในการคว้าโอกาสที่มีอยู่
2. กลยุทธ์ WO (Weaknesses-Opportunities)
แก้ไขจุดอ่อนของโรงเรียนโดยใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่
3. กลยุทธ์ ST (Strengths-Threats)
ใช้จุดแข็งของโรงเรียนในการลดผลกระทบจากอุปสรรคหรือความท้าทายที่โรงเรียนเผชิญ
4. กลยุทธ์ WT (Weaknesses-Threats)
กลยุทธ์ป้องกันและลดผลกระทบของจุดอ่อนและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น
การใช้ TOWS จะช่วยให้โรงเรียนมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน สามารถจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
E2 (Empowerment)
การเสริมพลังในบริหารโรงเรียน เป็นแนวทางที่เน้นการเปิดโอกาสให้ครู บุคลากร และนักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและพัฒนาศักยภาพของตนเอง การใช้ Empowerment สามารถช่วยให้โรงเรียนมีบรรยากาศที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ โดยมีวิธีการหลักๆ ดังนี้:
1. ส่งเสริมการตัดสินใจร่วมกัน (Participative Decision Making): เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เช่น การร่วมคิดวิธีการพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรม หรือการจัดการงานประจำ ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีความรับผิดชอบมากขึ้น
2. พัฒนาภาวะผู้นำในทุกระดับ (Leadership Development): การส่งเสริมภาวะผู้นำให้กับครูและนักเรียน ทำให้ทุกคนสามารถเป็นผู้นำในบทบาทของตนเอง เช่น มอบหมายให้ครูเป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมต่างๆ หรือให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านโครงการที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบ
3. ส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ (Continuous Learning & Skill Development): โรงเรียนที่ใช้ Empowerment จะสนับสนุนให้บุคลากรและนักเรียนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้โอกาสในการอบรมทักษะใหม่ๆ จัดการฝึกอบรมที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกคนมีศักยภาพที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สร้างความไว้วางใจและการสื่อสารที่ดี (Trust & Open Communication): สร้างบรรยากาศที่สนับสนุนให้ทุกคนรู้สึกสบายใจที่จะแสดงความคิดเห็นและสื่อสารกันอย่างเปิดเผย ลดอุปสรรคในการทำงานร่วมกัน การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความเป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้น
5. การมอบอำนาจในการตัดสินใจบางอย่างให้กับครูและบุคลากร (Delegation of Authority): ผู้บริหารสามารถมอบหมายอำนาจบางอย่างให้กับครูหรือหัวหน้าฝ่าย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการงานต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวและตัดสินใจได้ตามความเหมาะสม
6. การให้ความสำคัญกับการให้และรับคำติชม (Feedback Culture): การให้คำติชมเชิงบวกและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รับคำติชมจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บริหาร จะช่วยให้สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องและเห็นคุณค่าของตนเองในระบบงาน
ผลลัพธ์ของการใช้ Empowerment ในโรงเรียน
การใช้ Empowerment จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในหลายด้าน เช่น เพิ่มขวัญกำลังใจในการทำงานของครู ส่งเสริมบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน และทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่มีความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง
[D] = Decentralization, Development and Democracy
[D] = Decentralization : การกระจายอำนาจ คือ การกระจายอำนาจการบริหารงานบนพื้นฐานความพร้อมและความสอดคล้อง โดยยึดหลักการมีส่วนร่วม มุ่งผลสำเร็จ คุณภาพ และความรับผิดชอบ ในเขตเขตภารกิจตามโครงสร้างการบริหารงานของสถานศึกษา การบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และบริหารทั่วไป
[D] = Development : การพัฒนา คือ การพัฒนาการสถานศึกษา ในเรื่องของหลักสูตร ระบบการบริหารจัดการ ครูและบุคลากร อาคารสถานที่ สื่อเทคโนโลยี และนวัตกรรมการเรียนรู้ ร่วมถึงเครือข่ายร่วมพัฒนาโรงเรียน มีการพัฒนาให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ โดยน้อมนำวิธีการแห่งศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางหลักในการดำเนินงาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา สืบสาน รักษา ต่อยอด พัฒนาโรงเรียน ผู้บริหาร ครู บุคลากร และนักเรียน ให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของชุมชน
[D] = Democracy : ประชาธิปไตย คือ กระบวนการที่เสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ของนักเรียนในการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกลยุทธ์หลักที่สามารถปฏิบัติได้จริง เริ่มจากการจัดตั้งคณะกรรมการนักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีโอกาสในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ภายในโรงเรียน นอกจากนี้การจัดกิจกรรมประชาธิปไตย เช่น การอภิปรายและดีเบต ทำให้นักเรียนมีโอกาสฝึกฝนทักษะการแสดงออกและการฟังความเห็นที่หลากหลาย การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนในสังคม สุดท้ายการสร้างบรรยากาศการสื่อสารอย่างเปิดกว้างและโปร่งใสในโรงเรียนจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความร่วมมือระหว่างนักเรียนและครูมากยิ่งขึ้น ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ สถานศึกษาจะเป็นพื้นที่ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้และเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต
[T] = Teamwork and Technology
[T] = Teamwork : การทำงานเป็นทีม คือ การพัฒนาทีมงานให้มีความเข้มแข็ง มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม หลักประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และการทำงานเป็นทีม โดยสร้างทีมงานในด้านต่างๆ ตามความถนัด เพื่อให้ร่วมกันขับเคลื่อนงานและกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้
[T] = Technology : การใช้เทคโนโลยี คือ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนางานด้านการศึกษา สร้างพัฒนานวัตกรรมในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้
[K] = Knowledge Management and Knowledge transfer
[K] = Knowledge Management : คือ การจัดการความรู้หรือสร้างองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ทั้งในตัวบุคคลและเอกสาร เพื่อให้คนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และนำมาพัฒนาตนเองรวมถึงพัฒนาองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกด้าน
[K] = Knowledge transfer : การสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการบริหารและจัดการงานด้านการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ที่มีความชัดเจนและยั่งยืน
Q4
3. เป้าหมาย (Output) หมายถึง คุณภาพที่ต้องการให้เกิดที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนา ประกอบด้วย
Q1 [Quality Students] นักเรียนคุณภาพ : นักเรียนเป็นคนดี เก่ง และมีความสุข ตามความหวังของสังคม และเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพที่กำหนด โดยพิจารณาได้จากทักษะ 3R8C ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21
Q2 [Quality School Director] ผู้บริหารคุณภาพ : ผู้บริหารมีคุณลักษณะตามมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารสถาน โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้เกิดแก่ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ สามารถวัดได้จาก 3 ประเด็น ดังต่อไปนี้
1) ผู้บริหารมีสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่งอย่างมีประสิทธิภาพ
2) ผู้บริหารใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมและนวัตกรรมในการปฏิบัติงาน
Q3 [Quality Teachers] ครูคุณภาพ : ครูมีคุณลักษณะตามาตรฐานวิชาชีพตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ครูที่ครองตน ครองคน ครองงานเป็นแบบอย่างที่ดี และจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถโน้มน้าว จูงใจให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจและมีความร่วมมือในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างมีความสุข สามารถวัดได้จาก 6 ประเด็น ต่อไปนี้
1) ครูมีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ตามสมรรถนะและมาตรฐานวิชาชีพ
2) ครูจรรยาบรรณในวิชาชีพและจิตวิญญาณความเป็นครู
3) ครูจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
4) ครูจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
5) ครูมีสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานตำแหน่งอย่างมีประสิทธิภาพ
6) ครูใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมและนวัตกรรมในการปฏิบัติงาน
Q4 [Quality School] โรงเรียนคุณภาพ : โรงเรียนมีคุณภาพ โดยยึดตามแนวทางการพัฒนา คุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในด้านคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพการบริหารจัดการตอบสนองความต้องการของชุมชนและเป็นไปตามความคาดหวังของสังคม สามารถวัดได้จาก 5 ประเด็น ดังต่อไปนี้
1) โรงเรียนมีการพัฒนา ปรับปรุง แลบริหารหลักสูตรสอดคล้องตามความต้องการของผู้เรียน และบริบทอย่างมีประสิทธิภาพ
2) โรงเรียนบริหารตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3) โรงเรียนมีการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
4) โรงเรียนมีเครือข่ายความร่วมมือในการบริหารจัดการ
5) โรงเรียนมีการปฏิบัติงานเป็นตามมาตรฐานการปฏิบัติงานโรงเรียนมัธยมศึกษา
GS
4. ผลลัพธ์สุดท้าย (Outcome) หมายถึง คุณภาพที่ต้องการให้เกิดที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนา
[GS] Good School : โรงเรียนดีใกล้บ้าน/ผลลัพธ์สุดท้ายของคุณภาพนักเรียน การเป็นคนดี เก่ง และมีความสุข