1. ประเภท (ข้อมูลเฉพาะ) แหล่งเรียนรู้
- แหล่งเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติ
2. ชื่อแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ในชุมชน (ตำบล)
บ่อเกลือสินเธาว์สินเธาว์บ้านเหมืองแพร่ ตำบลนาแห้ว อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย
3. ประวัติความเป็นมาของแหล่งเรียนรู้
บ้านเหมืองแพร่ ตำบลนาแห้ว อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย เป็นชุมชนขนาดเล็กอยู่ติดกับชายแดนประเทศลาว ที่นี่มีวัฒนธรรมเก่าแก่มากกว่า 500 ปี เป็นพื้นที่ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญระดับประเทศอย่างศึกร่มเกล้า รวมถึงมีบ่อเกลือกลางลำน้ำเหืองเป็นสถานที่สำคัญที่เกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตของคนในชุมชนในอดีตที่ยังหลงเหลือมาให้เห็นในปัจจุบันแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเก็บบันทึกหรือรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชุมชนทั้งหมดเหล่านี้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนของตนเอง โครงการประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเหมืองแพร่และบ่อเกลือโบราณกลางลำน้ำเหือง จึงเกิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลจากทั้งภาพถ่ายเก่าและคำบอกเล่าจากคนเฒ่าคนแก่ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ที่มาที่ไปของชุมชนบ้านเหมืองแพร่ โดยหวังว่าพวกเขาจะเห็นความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมเหล่านี้ และนำไปต่อยอดสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชนบ้านเหมืองแพร่ต่อไปในอนาคต
ชุมชนบ้านเหมืองแพร่ตั้งอยู่ในหุบเขาริมฝั่งลำน้ำเหือง ติดกับชายแดนไทย-ลาว ในท้องที่ตำบลนาแห้ว อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ห่างจากอำเภอเมืองเลย 109 กิโลเมตร แต่อยู่ห่างจากดินแดนลาวไม่เกิน 20 เมตร โดยมีแม่น้ำเหืองกั้นขวางเป็นพรมแดนสมมติอยู่เท่านั้น ในอดีตชุมชนบ้านเหมืองแพร่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของลำน้ำเหือง ชาวบ้านทั้งหมดต่างเป็นเครือญาติที่ดำเนินวิถีชีวิตและประกอบอาชีพโดยการข้ามแม่น้ำไปมา ต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์การปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้ส่วนหนึ่งของชุมชนที่อยู่ฝั่งซ้ายของลำน้ำเหือง ตกอยู่ในการกำกับดูแลของฝรั่งเศสและปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศลาว แม้ว่าชุมชนจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน แต่ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติยังคงอยู่ โดยคนบ้านเหมืองแพร่ฝั่งไทยมีคำเรียกบ้านเหมืองแพร่ที่อยู่อีกฝั่งลำน้ำเหืองว่า ‘ฟากน้ำ’ และพวกเขายังคงติดต่อไปมาหาสู่กับญาติที่อาศัยอยู่อีกฟากน้ำเป็นประจำ
ในอดีตเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มีการค้นพบบ่อเกลือสินเธาว์กลางแม่น้ำเหืองโดยบังเอิญ เมื่อน้ำในแม่น้ำเหืองลดลงจนมีชาวบ้านเดินไปพบดินริมแม่น้ำมีลักษณะเป็นเกล็ดขาวๆ ขึ้นมาเหนือผิวดินเป็นจำนวนมาก จึงมีการขุดลอกลงไปดูด้านล่างว่ามีเกล็ดสีขาวเหมือนเกลืออยู่ด้านล่างอีกหรือไม่ เมื่อขุดลงไปก็พบว่ามีก้อนหินลักษณะมีสีดำปนเทาขวางอยู่ และมีสายน้ำเล็กๆ ไหลผ่านก้อนหินออกมา เมื่อชิมดูก็ปรากฏว่าน้ำที่ไหลออกมามีรสชาติเค็มมากๆ ชาวบ้านจึงช่วยกันทดลองเอาน้ำนั้นมาต้ม พอน้ำแห้งจึงเกิดเป็นเกล็ดสีขาวของเกลือขึ้นมา ผู้นำหมู่บ้านได้ตกลงกันว่าต้องไปหาโพรงไม้มาสวมบ่อไว้เพื่อให้สะดวกต่อการนำน้ำเกลือขึ้นมาใช้ และโพรงบ่อเกลือกลางแม่น้ำเหืองยังคงปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนบ้านเหมืองแพร่เล่าว่าในอดีต เด็กทุกคนต้องเคยลงไปนอนเฝ้าบ่อเกลือกับแม่ และลุกขึ้นมาตักน้ำเกลือตอนเที่ยงคืน โดยใช้ตะขอหย่อนกระป๋องลงไปตักน้ำเกลือขึ้นมาทีละน้อยๆ เพื่อเทใส่คุ กว่าจะได้หาบหนึ่งต้องตักถึงสิบกระป๋อง จากนั้นจึงหาบน้ำเกลือที่ได้มาต้มที่ตูบต้มเกลือริมตลิ่ง เอาน้ำเกลือเทใส่โบมเกลือ (รางไม้) ตักน้ำเกลือใส่กระทะ ใช้เวลาต้มประมาณ 4-5 ชั่วโมง คอยเติมน้ำเกลือไม่ให้แห้ง เมื่อมีเกลือผุดขึ้นขอบกระทะจึงตักเกลือออก เอาเกลือใส่ตะกร้าให้น้ำหยด เมื่อเกลือแห้งจึงบรรจุเพื่อส่งขายไปยังชุมชนใกล้เคียง เป็นสินค้าหลักในการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับสินค้าต่างๆ จากชุมชนอื่นๆ ชาวบ้านเหมืองแพร่จะเริ่มต้มเกลือตั้งแต่ช่วงเดือนสามถึงก่อนสงกรานต์ มีการทำพิธีเลี้ยงบ่อก่อนเริ่มต้มด้วย เพื่อเป็นการบอกกล่าวแก่เจ้าบ่อให้ทราบว่าลูกหลานชาวบ้านจะทำการตักน้ำในบ่อขึ้นมาต้มเกลือเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว ชาวบ้านเชื่อกันว่าหากมีการทะเลาะแย่งน้ำเกลือในบ่อกัน น้ำเกลือในบ่อก็จะไม่ผุดขึ้นมา ปัจจุบันยังมีพิธีกรรมเลี้ยงบ่อเกลือ โดยลูกหลานจาก 28 ต้นตระกูลที่เป็นผู้ค้นพบบ่อเกลือจะมาร่วมทำพิธีกรรมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์อย่างพร้อมเพรียงกันทุกๆ ปี
ในเวลาต่อมาชาวบ้านเหมืองแพร่ได้เลิกต้มเกลือไปด้วยหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ. 2522 การเกิดสงครามร่มเกล้า และการประกาศเขตอุทยานแห่งชาตินาแห้วในปี พ.ศ. 2537 ที่ห้ามไม่ให้มีการไปหาฟืนในป่าเพื่อนำมาต้มเกลือ รวมถึงความเจริญด้านถนนหนทางที่ทำให้มีการนำเกลือราคาถูกจากท้องที่อื่นเข้ามาขายได้สะดวกขึ้น แต่อย่างไรก็ดี นี่คือวัฒนธรรมที่ยังตกทอดอยู่ในชุมชน และในอนาคต บ่อเกลือที่ถูกทิ้งร้างไว้อาจถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหรือพิพิธภัณฑ์ของท้องถิ่น หรืออาจมีการต่อยอดนำน้ำเกลือหรือเม็ดเกลือมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การทำสปาเกลือออนเซ็น ไข่เค็มจากน้ำเกลือ หรือไปต่อยอดทำเครื่องปรุงอาหารประจำถิ่น อย่าง น้ำผักสะทอน เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการนำเรื่องราวและวิถีชีวิตของบรรพบุรุษมาสร้างสรรค์ใหม่ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
“ทำเกลือกันมาตั้งแต่รุ่นกำนันคำภา จันทะคุณ รุ่นตาม่อน (รุ่นทวด) ตอนเด็กเคยไปนอนกับยายม่อน(ทวด) กับยาย กับแม่ เราต้องไปนอนเฝ้าบ่อเกลือ เที่ยงคืนลุกลงไปตักน้ำเกลือ ไม่งั้นไม่ทันคนอื่น มีกระป๋องเล็กๆ ใช้ตะขอหย่อนลงไป ตักขึ้นมาทีละน้อย เทใส่คุ หาบนึงกว่าจะได้ก็ต้องตักสิบกระป๋องน้อย ตลิ่งมันสูงเดินหาบขึ้นลงบ่อเกลือกับตูบต้มเกลือ เอาน้ำเกลือมาเทใส่โบมเกลือ (รางไม้) ตักน้ำเกลือใส่กะทะ ใช้เวลาต้ม 4-5 ชั่วโมง คอยเติมน้ำเกลือไม่ให้แห้ง เมื่อมีเกลือผุดขึ้นขอบกะทะ ก็ตักเกลือออก เอาเกลือใส่ตะกร้าให้น้ำหยด พอแห้งจึงไปบรรจุ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงทำ กลางคืนมีเพื่อนไปอยู่ด้วยกัน คนแก่คุยกัน นั่งเคี้ยวหมากนั่งเฝ้า มีหลานรุ่นอายุ10-13 ปี ไปช่วยงานและนอนเฝ้ากับยายม่อน ทุกเตาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหมด มีผู้ชายน้อยมาก ผู้ชายหาฟืนมาให้ ไม่นอนเฝ้าแล้ว เราต้องใส่ฟืนตลอดไม่ให้ดับ ต้มกันทั้งคืนทั้งวัน”
ยายคำภู ดวงอุปะ และ ยายคำผุน พรมใจ สองพี่น้องอายุ 73 ปี และ 62 ปี เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศการต้มเกลือสมัยครั้งยังเด็ก แม้จะเหนื่อยแต่ก็เป็นความทรงจำอันอบอุ่นของพวกเธอ ผลลัพธ์ที่ได้จากการต้มเกลือไม่ใช่แค่ได้เครื่องปรุงรสสีขาวเนื้อละเอียด แต่มันสร้างพื้นที่ทางสังคมที่ผู้หญิงส่งต่อความรู้ เรื่องราว และเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่น
ควันไฟจากเตาต้มที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากตูบต้มเกลือหลายสิบหลัง ที่ปลูกเรียงรายบนตลิ่งใกล้บ่อเกลือกลางลำน้ำเหืองของ 28 ตระกูล ที่ได้รับสิทธิในการต้มเกลือ เนื่องจากเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเป็นผู้ช่วยขุดบ่อเกลือเมื่อตอนพบบ่อเกลือครั้งแรกเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว ชาวบ้านจะเริ่มต้มตั้งแต่เดือนสามจนถึงก่อนสงกรานต์ มีการทำพิธีเลี้ยงบ่อก่อนเริ่มต้มด้วย
4. สถานที่ตั้ง (พิกัด) ของผู้ประกอบอาชีพหรือของชุมชน
สถานที่ตั้ง บ้านเหมืองแพร่ ตำบล นาแห้ว อำเภอ นาแห้ว จังหวัด เลย โทรศัพท์ -. โทรสาร - โทรศัพท์มือถือ E-mail -
พิกัด 17.5022141,101.0754129
5. ความสัมพันธ์ของชุมชนกับการส่งเสริมความยั่งยืนของแหล่งเรียนรู้
การดำรงชีวิตนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาชีพทำนา เพราะที่ราบมีน้อยมาก หากมีการทำนาบ้างก็เป็นแบบขั้นบันได ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะทำไร่ข้าวโพดและไร่ถั่วเขียวตามไหล่เขาและหุบเขาข้างเคียงกับหมู่บ้าน นำเงินรายได้จากการทำไร่ไปซื้ออาหารจากตลาดมาบริโภคแทน มีการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กในลำน้ำมาประกอบอาหารในครัวเรือน ครั้นเสร็จฤดูการทำไร่ ต้นปีใหม่ก็จะมีการทำบุญบ่อเกลือเพื่อนำเกลือมาต้มไว้ใช้ในรอบปี บางคนก็ต้มขายหรือนำไปแลกข้าวกับหมู่บ้านใกล้เคียง บ้านที่อยู่ริมทางหลวงก็จะมีการนำเกลือมาบรรจุถุงวางขายสำหรับผู้ที่สัญจรผ่านไปมา วิธีการต้มเกลือยังคงเป็นแบบโบราณและยึดถือข้อปฏิบัติดั้งเดิม แม้ว่าสภาพสังคมทั่วไปจะเปลี่ยนไปมากตามการเข้ามาของเทคโนโลยีและวัฒนธรรมสมัยใหม่ แต่ที่บ้านเหมืองแพร่ก็ยังคงรักษารากเหง้าแห่งวัฒนธรรมของชุมชนเอาไว้ได้
ปัจจุบันบ้านเหมืองแพร่ เป็นหนึ่งในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการคลังข้อมูลชุมชน กับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) บ่อเกลือกลางลำเหืองเป็น “มรดกวัฒนธรรม” ที่ชุมชนเห็นความสำคัญ และเลือกขึ้นมาเป็นสิ่งที่พวกเขาฝันอยากจะเห็นการรื้อฟื้น และต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมกับคิดค้นผลิตภัณฑ์อันเนื่องมาจากเกลือที่ไม่เหมือนใคร
6. สื่อประกอบ (ภาพถ่าย และหรือวิดีทัศน์)
7. ผู้ให้ข้อมูลและผู้เรียบเรียง หรือ ผู้เขียน
กรณีเนื้อหาเขียนด้วยตนเอง ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นายเกียรติชัย แสงรัตน์
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นายเกียรติชัย แสงรัตน์
กรณีเนื้อหาเป็นการสัมภาษณ์ ข้อมูลเนื้อหา โดย (ชื่อผู้ถูกสัมภาษณ์)
เรียบเรียงเนื้อหา โดย (ชื่อหรือคณะทีมงาน)
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย (ชื่อหรือคณะทีมงาน)
.