ประวัติศาสตร์ ยางพาราในประเทศไทย
ต้นยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่า "สยาม" ประมาณกันว่าควรเป็นหลัง พ.ศ. 2425 ซึ่งช่วงนั้นได้มีการขยายเมล็ดกล้ายางพารา จากพันธุ์ 22 ต้นนำไปปลูกในประเทศต่างๆ ของทวีปเอเชีย และมีหลักฐานเด่นชัดว่า
เมื่อปี พ.ศ. 2442 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ได้นำต้นยางพาราต้นแรกของประเทศมาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง จึงได้รับเกียรติว่าเป็น "บิดาแห่งยาง" จากนั้นพระยารัษฎา-นุประดิษฐ์ ได้ส่งคนไปเรียนวิธีปลูกยางพาราเพื่อมาสอนประชาชนพร้อมนำพันธุ์ยางพาราไปแจกจ่าย และส่งเสริมให้ราษฎรปลูกทั่วไป ซึ่งในยุคนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคตื่นยางพาราและชาวบ้านเรียกยางพารานี้ว่า “ยางเทศา” ต่อมาราษฎรได้นำเข้ามาปลูกเป็นสวนยางพารามากขึ้น และได้มีการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราไปในจังหวัดภาคใต้รวม 14 จังหวัด ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปถึงจังหวัดที่ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศได้เจริญรุดหน้าเรื่อยมาจนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพาราได้มากที่สุดในโลก
พ.ศ. 2444 พระสถลสถานพิทักษ์ ได้นำกล้ายางพารามาจากประเทศอินโดเซีย โดยปลูกไว้ที่บริเวณหน้าบ้านพักที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือให้เห็นเป็นหลักฐานเพียงต้นเดียวอยู่บริเวณหน้าสหกรณ์การเกษตรกันตัง และจากยางรุ่นแรกนี้ พระสถลสถานพิทักษ์ ได้ขยายเนื้อที่ปลูกออกไป จนมีเนื้อที่ปลูกประมาณ 45 ไร่ นับได้ว่า พระสถลสถานพิทักษ์คือผู้เป็นเจ้าของสวนยางคนแรกของประเทศไทย
กิจกรรมภายในศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรัง
ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางพารา
ถุงมือแพทย์จากน้ำยางพารา
ของเล่นจากน้ำยางพารา
นิทรรศการยางพารา
การทำถุงมือแพทย์จากน้ำยางพารา
การเตรียมสารเคมี
สารเคมี ที่นำมาผสมกับน้ำยางพาราเพื่อทำถุงมือทางการแพทย์มี 8 ชนิด คือ
สารเคมี
น้ำยางข้น 60%
10% โปรแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH)
20% โพแทสเซียมลอเรต
50% ดิสเพอร์ชั่น S
50% ดิสเพอร์ชั่น ZDEC
50% ดิสเพอร์ชั่น ZMBT
50% ดิสเพอร์ชั่น Wingstay L
50% ดิสเพอร์ชั่น ZnO
25% ดิสเพอร์ชั่นสี
สารเคมีสำหรับผสมกับน้ำยาง มีคุณสมบัติดังนี้
1. โปรตัสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide) - สารเพิ่มความคงตัว
2. โพแทสเซียมลอเรต - เพิ่มความเสถียรให้กับน้ำยาง
3. กำมะถัน (Sulfur) - สารที่ทำให้ยางคงรูป
4. แซด ดี อี ซี (Z D E C - Zinc Diethy dithiocarbamatte) - สารเร่งยางคงรูป
5. แซด เอ็ม บี ที (Zinc – 2 –mercapto benzthiazole) - สารเร่งยางคงรูป
6. วิงสเตย์ แอล (Wing stay L) - สารป้องกันยางเสื่อมคุณภาพ ไม่ทำให้ยางสีคล้ำ
7. ซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide) - สารเสริมตัวเร่งให้ยางคงรูป
8. สี - เพิ่มความสวยงามให้กับชิ้นงาน
หมายเหตุ ดิสเพอร์ชั่น (Dispersion) เป็นการเตรียมสารเคมีที่มีสถานะเป็นของแข็งที่ไม่ละลายน้ำ
ทำให้กระจายตัวในน้ำโดยขนาดอนุภาคของสารใกล้เคียงกับขนาดอนุภาคยาง
การเตรียมน้ำยางสำหรับผลิตถุงมือแพทย์
การผสมสารเคมีกับน้ำยาง
1. ใช้น้ำยางข้น 60 % จำนวน 167 กรัม
2. นำน้ำยางใส่ถังพลาสติก เพื่อเตรียมกวนน้ำยางกับสารเคมี
3. ค่อยๆเติมสารละลายของสารเคมีที่เตรียมเรียบร้อยแล้ว ลงในน้ำยางตามลำดับ ซึ่งในขณะที่เติม
สารเคมีให้เครื่องกวนทำงานตลอดเวลา
3.1 เติมสารละลาย 10% KOH จำนวน 2 กรัม
3.2 เติมสารต่าง ๆ ต่อไปนี้ตามลำดับ
20% โพแทสเซียมลอเรต 1.0 กรัม
ดิสเพิสชั่น 50 % กำมะถัน 2.5 กรัม
ดิสเพิสชั่น 50 % แซด ดี อี ซี 1.0 กรัม
ดิสเพิสชั่น 50 % ZMBT 0.5 กรัม
ดิสเพิสชั่น 50 % วิงสเตย์ แอล 0.5 กรัม
ดิสเพิสชั่น 50 % ซิงค์ออกไซด์ 1.0 กรัม
ดิสเพิสชั่นสี 25 % 0.1 กรัม
หมายเหตุ น้ำยางที่ผสมสารเคมีสูตรสำหรับผลิตถุงมือแพทย์นั้นจะต้องบ่มไว้อย่างน้อย 2 วัน
จึงจะนำมาใช้ได้ และต้องเก็บน้ำยางไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อจะรักษาน้ำยางไม่เสียสภาพ