ผลิตภัณฑ์ชาบ้านแม่เลย ทำจากชาอัสสัม ซึ่งเป็นชาที่มีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสมัยนั้นมีชาวจีนฮ่อที่รู้ว่าพื้นที่บ้านแม่เลยมีต้นชาเมี่ยง จึงได้ชี้บอกชาวไทใหญ่นาม "ส่างเกเล" ว่า "เขาลูกนั้นมีชาดี ส่างเกเลจึงได้อพยพเข้าไปตั้งรกรากบริเวณบ้านแม่เลยและทำการเก็บชาเมี่ยงนำไปขาย ต่อมาชาวไทใหญ่กลุ่มนี้ก็ได้ล้มหายตายจากไป เหลือเพียงซากวัดที่ทิ้งเป็นหลักฐาน

จากนั้นประมาณปี พ.ศ. 2450 ได้มีชาวไทยที่เป็๋นทาส อพยพเข้ามาในพื้นที่บ้านแม่เลย ซึ่งเป็นที่ล่ำลือกันมาว่าบริเวณนี้มีต้นชาเมี่ยง (ต้นชาป่า) ชาวไทยกลุ่มนี้จึงได้อพยพมาอาศัยอยู่บริเวณนี้ เพื่อแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม โดยทำการตั้งรกรากและเก็บชาเมี่ยงเป็นอาชีพ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 ชาวบ้านแม่เลยได้เก็บใบชาส่งให้กับบริษัทใบชา ตราภูเขาทองของพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี และประมาณปี พ.ศ. 2482 ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 ได้มีชาวจีนหนีทหารอพยพเข้ามาอยู่ในไทย โดยได้เข้ามาตั้งโรงชาที่บ้านแม่เลยและรับซื้อใบชาจากชาวบ้าน หลังจากนั้นไม่นานโรงชาก็ได้ปิดตัวลง จากนั้นชาวบ้านได้มีการบุกเบิกพื้นที่ป่าชา-ป่าเมี่ยง เพื่อปรับปรุงทำเป็นสวน โดยการตัดต้นไม้ส่วนที่ไม่ใช่ต้นชาป่าออกไป เหลือแต่ต้นชาป่าไว้และแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน โดยอาศัยการแบ่งแนวเขตป่าตามแนวเขตลำห้วย และชาวบ้านก็ยังมีการเก็บชาป่ามาทำเป็นเมี่ยงอมเพื่อเป็นอาชีพอีกทางหนึ่ง

ในปี พ.ศ. 2557 สำนักงานเกษตรอำเภอสะเมิง ร่วมกับโครงการหลวงแม่แพะ ได้ทำการสำรวจพ้นที่เพื่อทพฐานข้อมูลที่มีแหล่งชาป่า พบว่าแหล่งชาป่าบริเวณนี้ เป็นชาที่มีอายุหลายร้อยปี มีรสชาติดี กลิ่นหอม สามารถพัฒนาให้เป็นชาที่มีคุณภาพได้ จึงได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชา (เมี่ยง) ของบ้านแม่เลยให้มีคุณภาพและมีความหลากหลาย และในปัจจุบันชาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มีทั้งชาเขียว ชาขาว ชาดำ เพื่อเพิ่มมูลค่าชองชาบ้านแม่เลย