ความหมาย ของคําว่า “ความขัดแย้ง” ความขัดแย้ง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง “การ ไม่ลงรอยกันการ ไม่ถูกกันความคิดไม่ตรงกัน ความพยายามอยากเป็น เจ้าของ และ ความเป็นคนต่างมุมมองกัน” ความ ขัดแย้งในสังคมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาแต่ก็หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะตราบใดที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม ก็ย่อมมี ความขัดแย้งเป็นธรรมดาความขัดแย้งมีทั้งประโยชน์และโทษ
สาเหตุที่ทําให้เกิดความขัดแย้ง ความขัดแย้งมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น ความเชื่อศรัทธาในคำสอน ของ ศาสนาแตกต่างกัน ความมีทิฏฐิมานะ ถือตัวว่าความคิดของตัวเองดีกว่าคนอื่นความมีวิสัยทัศน์ที่คับแคบขาดการ ประสานงานที่ดีขาดการควบคุมภายในอย่างมีระบบสังคมโลกขยายตัวเร็วเกินไปและการมีค่านิยมในสิ่งต่างๆ ผิดแผกกัน ความคิดแตกต่างกัน วิธีป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนาต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
วิธีป้องกันแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนาต่อการอยู่ร่วมกันมีหลายวิธี เช่น1. วิธียอมกัน คือ ทุกคนลดทิฏฐิมานะหันหน้าเข้ากันให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ดูถูกไม่ติฉินนินทาไม่กล่าวว่าร้ายป้ายสีศาสนาของกันและกันพบกันครึ่งทางรู้จักยอมแพ้ รู้จักยอมกันหวังพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันโดย มี ผู้ประสานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่าย ยอม รับนับถือ 2. วิธีผสมผสาน คือ ทุกฝ่ายทุกศาสนาเปิดเผยความจริงมีการแลกเปลี่ยนทัศนคติความคิดเห็นแลกเปลี่ยน ข้อมูลซึ่งกันและกัน ร่วมกันคิดร่วมกันทําและ ร่วมกันแก้ปัญหาทํากิจกรรมในสังคมร่วมกัน เช่น สร้างสะพาน ถนน ฯ ลฯ 3. วิธีหลีกเลี่ยง คือ การแก้ปัญหาลดความขัดแย้งโดยวิธีขอถอนตัวขอถอยหนีไม่เอาเรื่องไม่เอาความไม่ไปก้าวก่าย ความคิดความเชื่อของผู้นับถือศาสนาที่ไม่ตรงกับศาสนาที่ตนนับถือ 4. วิธีการประนีประนอม คือ การแก้ปัญหา โดยวิธี ทําให้ทั้งสองฝ่าย ยอม เสียสละ บางสิ่งบางอย่างลง มีทั้งการให้และ การรับภาษาชาวบ้าน เรียกว่า แบบยื่นหมู-ยื่น แมว คือ ทุกฝ่ายยอมเสียบางอย่าง และได้บางอย่างมีอํานาจพอๆ กัน ต่างคนต่างก็ไม่เสียเปรียบ
หลักธรรมในแต่ละศาสนาที่ส่งผลให้อยู่ร่วมกับศาสนาอื่นได้อย่างมีสุข
ศาสนาพุทธ มี หลักสําคัญ คือ การมุ่งเน้นให้ไม่เบียดเบียนไม่จองเวรซึ่งกันและกันจะเห็นว่า ศีลข้อ 1. ของ ศาสนาพทุธ คือ ปาณาติปาตาเวระมะณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ คือ งดเว้นการฆ่าเบียดเบียน ทำร้ายร่างกายคน และ สัตว์ และ หลักสำคัญต่อมา อีกคือยึดหลักพรหมวิหาร 4 คือ 1. เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข 2. กรุณา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ 3. มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี 4. อุเบกขา คือ การวางเฉยไม่ลำเอียง ทำใจเป็นกลาง ใครทำดีย่อมได้ดีหลักธรรมที่สําคัญอีก คือ สังคหวัตถุ 4 คือ หลักธรรม ที่ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ ผู้อื่นได้แก่ ทาน คือ การให้ความเสียสละ แบ่งปันของตนเองให้ผู้อื่น ปิยวาจา คือ พูดจาด้วยถ้อยคําที่ไพเราะอ่อนหวานพูดด้วยความจริงใจ ไม่หยาบคาย ก้าวร้าว อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ผู้อื่นทําประโยชน์ให้ผู้อื่น และสมานัตตา คือ ความ เป็นผู้สม่ำเสมอ ประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย เน้นคุณธรรมสําคัญในการ อยู่กับผู้อื่นในสังคมและที่สาํคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ในศาสนาพทุธ มุ่งเน้นที่การเจริญปัญญานั่นคือ ปัญหาต่างๆ คือ ผลและย่อมเกิดจากสาเหตุของปัญหาการแก้ไขต้อง พิจารณาที่สาเหตุและแก้ที่สาเหตุ ดังนั้น แต่ละปัญหาที่ เกิดขึ้นสาเหตุที่เกิดจะแตกต่างกันตามสถานการณ์นอกจากจะ พิจารณาที่สาเหตุแล้วในการแก้ปัญหายังใช้วิธีการประชุมเป็นสําคัญพอจะเห็นรปูแบบการประชุมร่วมกันของสงฆ์ที่ส่งผล ถึงปัจจุบัน ตัวอย่าง คือคำว่า สังฆกรรม ซึ่งเป็นการกระทำร่วมกันของพระสงฆ์ เช่น การรับบุคคลเข้าบวชในพทุธศาสนา พระสงฆ์ ประกอบด้วยอุปัชฌาย์ พระคู่สวดจะต้องหารือกันไถ่ถามกันเป็นภาษาบาลีเพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้มาบวช ว่าสมควรให้บวชได้ไหม
ศาสนาอิสลาม ได้วางหลักเกณฑ์แบบแผนในการประพฤติปฏิบัติในส่วนที่เป็นศีลธรรม และ จริยธรรม อันนํามาซึ่งความ สามัคคี และความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันของกลุ่มในสังคมศาสนาอิสลามมีคำสอน ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติสาํหรับครอบครัวและชมุชน โดยมีหลักศรัทธา หลักจริยธรรม และ หลักการปฏิบัติ สาสน์แห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่ มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เป็นอดุมการณ์ที่สอนมนษุย์ให้ศรัทธาในอัลลอห์ พระผู้เป็นเจ้า เพียงพระองค์เดียวที่สมควรแก่การเคารพบูชา และ ภักดี ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ศรัทธาในพระโองการ แห่งพระองค์ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนษุย์ ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อรับการพิพากษา และ ผลตอบแทนของความดี ความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจ และ ไว้วางใจ ต่อพระองค์ เพราะพระองค์ คือที่พึ่งพา ของทุกสรรพสิ่งมนุษย์ จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของ พระองค์และ พระองค์ คือ ปฐมเหตุ แห่งคุณงามความดีทั้งปวง 2. เป็น ธรรมนูญสําหรับ มนุษย์เพื่อให้เกิดความสงบสุข ในชีวิตส่วนตัว และ สังคมเป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือ นิติศาสตร์อิสลาม สั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้น การรบราฆ่าฟันการทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและ รุกรานสิทธิของผู้อื่นไม่ ลักขโมยฉ้อฉลหลอกลวง ไม่ผิดประเวณี หรือ ทําอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมา หรือ รับประทาน สิ่งที่เป็นโทษต่อ ร่างกาย และ จิตใจ ไม่บอนทําลายสังคม แม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม 3. เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่าง มี เกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรณุา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาด ของ กาย และ ใจ ความกล้าหาญ การ ให้อภัย ความเท่าเทียมและความเสมอภาคระหว่างมนษุย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่ง สอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลา และ ความขลาดกลัว การทรยศ และ อกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น อิสลามเป็นศาสนา ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทางนําในการดํารงชีวิตทุกด้าน แก่ มนุษย์ ทกุคนไม่ยกเว้น อายุ เพศ เผ่าพันธุ์ วรรณะ
ศาสนาครสิต์ นอกจากบญัญัติ 10 ประการ ที่สำคัญ ในการ อยู่ร่วมกับ ผู้อื่นของศาสนาคริสต์ คือ จงอย่าฆ่าคน จงอย่า ล่วงประเวณีในคู่ครองของผู้อื่น จงอย่าลักขโมย จงอย่าพูดเท็จ จงอย่ามักได้ในทรัพย์ของเขา และ คำสอนที่สำคัญ คือ ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ให้มีเมตตาต่อกัน จงรักผู้อื่นเหมือนพระบิดารักเรา ให้อภัยแล้วท่านจะได้รับการอภัยล้วนแต่เป็นคณุธรรมพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สอนให้มีความมั่นคงมีความเพยีรความพอใจในสิ่งที่ตนมีให้อดทน อดกลั้นมีเมตตากรณุา ข่มใจไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ไม่ลกัขโมยไม่โจรกรรมทําตน ให้สะอาดท้ังกาย และใจ มีธรรมะสําหรับคฤหัสถ์ คือ จบการ ศึกษาให้กลับบ้านช่วยบิดามารดาทำงานแต่งงานเพื่อรักษาวงศ์ตระกูล ประกอบอาชีพโดยยึดหลักธรรมเครื่องดำเนินชีวต