นิกาย
1. นิกายไวษณพ เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า พระนารายณ์อวตาร 24 ครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์โลกในคราวทุกข์เข็ญนิกายนี้เคารพบูชาพระรามพระกฤษณะรวมทั้งหณุมาน และพระพุทธเจ้าโดยอ้างว่าเป็นอวตารปางที่ 9 ของพระนารายณ์ นิกายนี้ไม่เน้นพิธีกรรมเรียกตนเองว่าศาสนาฮินดูเคารพบูชาเทพเจ้าต่างๆและถือคตินิยมสร้างเทวรูปไว้บูชาแบบพหุนิยม
2. นิกายไศวะ เชื่อในพระศิวะและมีความหวังว่าในอนาคตพระศิวะจะอวตารลงมาเป็นบุรุษชื่อลกุลิศะ เพื่อโปรดปรานมนุษย์และสอนมนุษย์ถึงวิธีเข้าถึงพระศิวะ นิกายนี้ประพฤติตนตามแบบลัทธิอัตตกิลมถานุโยค ใช้ขี้เถ้าทาตามร่างกายและทำเครื่องหมายที่หน้าผากด้วยขีด 3 ขีด เรียกสีหาสันทร์
คัมภีร์
คัมภีร์พระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" คือ
1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฎในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์
2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ
ก. ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้องสวด
ข. กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย
3. สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อันเป็นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏในฤคเวท
ส่วนอถรวเวท หรือที่เรียกกันว่า อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่างๆ
หลักธรรม
หลักธรรมคำสอนสำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มีอยู่ 3 ข้อ ต่อไปนี้
1. อาศรม หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์วัยต่างๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งชาวงของการไว้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า อาศรม(วัย) อาศรมทั้ง 4 ช่วง มีดังนี้
อาศรมที่ 1 (ปฐมวัย) เรียกว่า พรหมจรยอาศรม เริ่มตั้งแต่อายุ 8-25 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้เรียกว่า พรหมจารี
อาศรมที่ 2 (มัชฌิมวัย) เรียกว่า "คฤหัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 25-50 ปี
อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวัย) เรียกว่า "วานปรัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 50-75 ปี
อาศรมที่ 4 คือ สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น(โมกษะ) จะออกบวชเป็น "สันยาสี" เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้
2. ปรมาตมัน หมายถึง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก ได้แก่ "พรหม" ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะดังนี้
2.1 เกิดขึ้นเอง
2.2 เป็นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่งทั้งหลาย และเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา
2.3 เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้งปวง
2.4 สรรพสิ่งล้วนแยกออกมาจากพรหม
2.5 เป็นตัวความจริง (สัจธรรม) สิ่งเดียว
2.6 เป็นผู้ประทานญาณ ความคิด และความสันติ
2.7 เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล
วิญญาณทั้งหมดเป็นส่วนที่แยกออกมาจากปรมาตมัน วิญญาณย่อยเหล่านี้เมื่อแยกออกมาแล้ว ก็เข้าจุติในชีวิตรูปแบบต่างๆ เช่น เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืช มีสภาพดีบ้าง เลวบ้าง ตามแต่พรหมจะลิขิต
3. โมกษะ ถือว่าเป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของศาสนาฮินดูสอนว่า "ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่าย ตาย เกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีก"
นอกจากนี้ชาวอินเดียจะมีการแบ่งผู้คนออกเป็นพวกๆหรือวรรณะตามความเชื่อจากศาสนาฮินดู คือ
1. วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุด ได้แก่พวกผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ
2. วรรณะกษัตริย์ ได้แก่พวกกษัตริย์ผู้ปกครองบ้านเมือง
3. วรรณะแพศย์ ได้แก่พวกพ่อค้า ช่างฝีมือ
4. วรรณะศูทร ได้แก่พวกคนใช้
ชาวอินเดียจะยึดถือเรื่องวรรณะกันมาก ถ้าใครแต่งงานกันต่างวรรณะ ลูกออกมาจะเป็นพวกจัณฑาล ซึ่งเป็นคนชั้นต่ำสุดที่สังคมรังเกียจ ส่วนวรรณะพราหมณ์ที่ถือว่าเป็นวรรณะสูงสุดเพราะเขาถือว่าพราหมณ์เกิดมาจากพรหม.
หลักปฏิบัติของศาสนาฮินดูนั้นก็มีหลักศีลธรรมอยู่มากมาย แต่เน้นไปที่การบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ และยังมีความอดทนที่จะรับความทุกข์ยากโดยไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไขเพราะถือว่านี่เป็นกรรมของตนหรือเป็นพรหมลิขิตไม่สามารถหลีกหนีได้ ไม่มีใครจะมาช่วยเหลือได้ จึงทำให้เกิดความนิ่งดูดายหรือใจดำไม่ค่อยจะมีใครช่วยเหลือใคร เพราะถือว่าเป็นกรรมของเขาเองที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่วนคนที่ไปช่วยก็ช่วยเพราะอยากให้ตนมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยเพราะความสงสารอย่างแท้จริง.
พิธีกรรม
ข้อปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มีทั้งที่เป็นส่วนเฉพาะและส่วนรวมต้องประพฤติปฏิบัติตามกฏประเพณีที่ทำไว้สำหรับวรรณะของตนนั้น แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ
1. กฎสำหรับวรรณะ ที่เกี่ยวกับการแต่งงาน อาหารการกิน อาชีพ และเคหสถานที่อยู่
2. พิธีประจำวัน ชาวฮินดูต้องทำพิธีกรรมประจำบ้านที่ขาดไม่ได้ การทำพิธีต้องอาศัยพราหมณ์ นักบวชเป็นผู้ทำเรียกว่า พิธีสังสการ เป็นพิธีประจำบ้านมี 12 ประการ
3. พิธีศราทธ์ ได้แก่ พิธีของผู้มีศรัทธาคือมีใจเชื่อมั่นเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่บิดา มารดา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในเดือน 10 ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 15 ค่ำ การทำบุญอุทิศนั้น เรียกอีกอย่างว่า ทำบิณฑะ
4. บูชาเทวดา การทำพิธีบูชานี้ต่างกันไปตามวรรณะ ถ้าวรรณะสูงพอจะกำหนดลงได้ เช่น สวดมนต์ภาวนา อาบน้ำชำระกายและสังเวยคงคาทุกวัน พิธีสมโภชน์ถือศีลในวันศักดิ์สิทธิ์และไปนมัสการบำเพ็ญกุศลในเทวาลัย ถ้าวรรณะต่ำก็มีพิธีผิดแผกแตกต่างกันออกไป